044:งานเปิดตัวแห่งความร้าวฉาน⑧ การพบกันครั้งแรกสุดแสนเร้าใจ
ในทางทฤษฏีแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ขอ แต่ก็สมเหตุสมผลที่จะเช่าห้องโถงขนาดใหญ่ในปราสาทเพื่อจัดงานเลี้ยงเปิดตัว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติและสมเหตุสมผลที่จะเข้าทักทายองค์ราชาที่เป็นเจ้าของปราสาท
อย่างไรก็ตาม เป็นอีกครั้งที่ “ไม่ได้รับคำขอจากมาร์ควิสดิแซค”
ใครจะเชื่อจดหมายและใบหน้าที่พูดว่า “จะให้ไอ้คนแบบนี้เนี่ยนะมาเช่าที่ของเรา”
เรื่องแบบนี้เรียกว่าการผลักภาระ
ในความเป็นจริงเพื่อให้ปราสาทเป็นสถานที่จัดงานฉลองจำเป็นต้องคัดเลือกบรรดาแขกที่เข้าร่วม
จำเป็นต้องมีส่วนร่วม ไม่เพียง ขุนนางที่ใกล้ชิดกับฝ่าบาท แต่ยังรวมถึงพวกมีอิทธิพลทางฝ่ายอื่นๆด้วย
หากไม่ทำแบบนั้น เป็นไปได้อย่างมากที่จะได้รับการดูหมิ่นจากภายนอกว่าใช้สิทธิ์ผูดขาดทางราชวงศ์ และบางกรณี กลุ่มอื่นๆก็อาจจะมารวมหัวบดขยี้
นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่หนึ่งเพื่อเลือกแขกเข้าร่วมงาน
ยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งสิ้นเปลือง
ไม่ต้องพูดถึงเครื่องดื่มและอาหาร การจัดที่พักสำหรับแขก และแม้กระทั่งลานจอดรถม้าแ และ รถรับส่งหากจำเป็น
หากไม่มอบความบันเทิงแก่แขกเป็นอย่างดี ก็อาจจะไม่ได้รับการยอมรับว่านี่เป็น “งานเปิดตัวของขุนนางชั้นสูง”
แล้วแบบนี้จะให้พวกเราพูด “ขอบคุณ”ได้อย่างไงเพราะนี่เป็นการผลักภาระค่าใช้จ่ายให้ตระกูลของพวกเราต้องเสียเงินจำนวนมากเกินความจำเป็น
ความโกรธภายในอกซาราเอล่าที่มีต่อองค์ราชานั้นไม่เพียงแค่เธอ แต่ลูน่าเองก็เข้าใจหัวอกของท่านแม่เช่นกัน ท่านพ่อเองก็ด้วย และแม้แต่คุณมิน่าและอลิซ่ายังเข้าใจความรู้สึกของพวกเราเลย
พูดอย่างง่าย ไม่ใช่องค์ราชาที่สนใจพวกเราแต่เป็นราชินีที่คิดจะกลั่นแกล้งพวกเรามากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ซาราเอล่าของขึ้นเพราะคำพูของราชินีเอลิซ่า
บางทีพวกเธอทั้งสองอาจมีความบาดหมางกันเป็นเวลานาน
ลูน่ามีความรู้สึกว่าเธอไม่ควรพูดออกไป แต่ต่อให้พูดออกไปได้เธอก็จะไม่พูด
「คุณชาย คุณหญิง คุณหนู รถม้าพร้อมแล้วครับ」
「อืม」
หลังจากเครียมตัวแล้ว แม่และลูกสาวก็ออกจากคฤหาสน์พร้อมกับจิลล์ หลังจากนั่งรถม้าได้ครึ่งชั่วโมง ก็เงยหน้ามองปราสาทออกัสท์
จิลล์สวมสูทสีดำ เนคไทสีน้ำเงินเข้มและปักสัญลักษณ์ของตระกูลไว้บนอก
เสื้อคลุมแขนของตระกูลดิแซค ได้รับการออกแบบให้ดูเหมือนไม้กางเขน ที่เป็นการไขว้กันระหว่างดาบกับไม้เท้า ในขณะที่ธงโบกสะบัดที่ปลายๆดูเหมือนสิงโตสองตัวซึ่งเป็นตราของราชวงศ์ที่กำลังถือดาบ
นี่เป็นเพียงแค่การอ้างอิง แต่อย่างน้อยก็ไม่มีตระกูลไหนใช้มังกรเป็นสัญลักษณ์ในอาณาจักรอัลฟิเลีย นี่เป็นเพราะมังกรเป็นสัตว์ประหลาดที่พ่ายแพ้กับมนุษย์ และเป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้ายที่แพร่กระจายไปทั่วมนุษย์โลก
และมังกร (竜)กับมังกร(龍) ต่างกันโดยสิ้นเชิง
(TN:เขียนเหมือนกันแต่ริวจะเป็นมังกรตะวันตกส่วนริวด้านหลังมาจากอักษรจีนจะอ่านว่าหล่งจะเป็นมังกรแบบจีน)
มังกร(ริว)เป็นสัตว์ประหลาดที่คล้ายกับกิ้งก่ามีปีก กับ มังกร(หล่ง)ที่เป็นเทพเจ้า
ตามวรรณกรรมโบราณมีเพียงครั้งเดียวในอดีตที่มังกรและจ้าวมังกรได้ต่อสู้กันในเวลานั้นอธิบายได้ว่าราชามังกรนั้นมีลูกน้องมากกว่าหนึ่งล้านตัวแต่ก็ต้องแพ้ให้กับจ้าวมังกรด้วยลมหายใจเพียงครั้งเดียว ดังนั้นในแง่ความแข็งแกร่งมันแตกต่างกันมาก
จบการพูดนอกเรื่องแต่เพียงเท่านี้
พ่อสวมสูทในขณะที่ท่านแม่สวมเดรสสีขาว
มีการเพิ่มสีน้ำเงินตรงนั้นตรงนี้เพื่อกระชับภาพรวม
มากกว่านั้นเมื่อแม่และลูกสาวที่มีผมสีเงินพวกเราดูเหมือนพี่น้องเทพธิดาเลยล่ะ
「――งั้นไปกันเถอะ」
หลังจากพ่อบ้านพาพวกเรามาถึงพวกเราก็เข้ามาที่ห้องบัลลังก์เพื่อเข้าเฝ้า
พื้นหินปูด้วยพรมสีแดงเข้ม และต้นไม้ใบไม้เองก็เพิ่มสีสันภายในห้อง
โถงทางเดินดูเหมือนจะออกแบบมาให้รับแสง และทุกซอกทุกมุมสว่างขึ้น ทั้งสามคนเดินผ่านและในที่สุดก็หยุดอยู่หน้าประตูใหญ่
ครืนนนนนนนนนนนนน……。
ที่ด้านหลังของประตูมีทางเดินที่ลาดไปด้วยพรมสีแดง
ที่ปลายสุดคือบัลลังก์
ชายคนหนึ่งสวมมงกุฏนั่งอยู่บนบัลลังก์ และสามารถเห็นข้าราชบริพารของเขาหลายคนยืนอยู่บนพรมด้านในสุด
ภายใต้การเฝ้าระวังของพวกเขา ตระกูลมารควิสดิแซคก้าวไปข้างหน้า จนกระทั่งจิลล์ตามด้วยภรรยาและลูกสาวคุกเข่าตรงหน้าบัลลังก์
「ขอบคุณที่ส่งคำเชิญมาหาพวกเรานะครับ กระผมจิลล์ โคลด์ เบลล์ ดิแซค หัวหน้าตระกูลมาร์ควิสดิแซคที่ถูกเรียกตัวพะยะค่ะ」
「เงยหน้าขึ้น」
เมื่อจิลล์พูดก็มีเสียงทุ้มดังๆที่บัลลังก์
ทั้งสามคนเงยหน้าเพื่อมองเจ้าของเสียง
ร่างบนบัลลังก์เป็นชายอายุสามสิบกลางๆ
เป็นการยากที่จะแยกแยะเขาเพราะเขาสวมชุดหลวมๆแต่ว่าสัดส่วนเองก็ได้รูปสมชายอยู่
ผมสีบลอนด์และใบหน้าที่เรียบเนียนมีอาการฝาดอยู่บ้างเนื่องจากอายุที่มากขึ้น
อาจกล่าวได้ว่าสีผมและใบหน้าของอาเบลนั้นคล้ายกับท่านแม่ของเขามากกว่าท่านพ่อ
องค์ราชามีนามว่าอัลดาโต้
อัลดาโต้・รูเทีย・ฟอน・อัลฟิเลีย
องค์ราชาผู้ไว้เครามองมาที่หน้าของจิลล์และตามด้วยซาราเอล่าและฉัน
「เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกันครั้งแรก เธอคนนี้เป็นลูกสาวของ จิลล์ เบลล์ ดิแซค นามว่าลูน่าค่ะ」
「อืม งดงามมากเหมือนกับซาราเอล่ามากเลยนะ」
「ขอบคุณสำหรับคำชมเพคะ」
เป็นเกียรติมากที่มีคนอธิบายแทน
อลัดาโต้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ราชินีเอลิซ่ายืนอยู่ข้างบัลลังก์ ดวงตาของเธอจ้องมองลูน่าราวกับสัตว์กินเนื้อเลียริมฝีปากต่อหน้าเหยื่อของเธอ
「วันนี้ที่ข้าเรียกมาเพราะอยากจะเห็นหน้าพวกเจ้า และถ้าไม่เป็นการรบกวนข้าอยากจะถามคำถามสักสองสามข้อจะได้ไหม เพราะข้าไม่สามารถขัดคำขอของคนที่ข้ารักได้」
「ไม่เลย จะเป็นพระทัยอย่างยิ่งหากพระองค์ทูลถามเพคะ」
องค์ราชามองลูน่าด้วยแววตาอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด
เฮ้อ หมอนี่ ถ้ายังโสดและเป็นคนธรรมดาสาวๆทั่วไปคงหลงโงหัวไม่ขึ้น
ลูน่ายิ้มขณะรำคาญใจ
「ข้าจำได้ว่าภรรยาของข้าได้ไปหาเจ้าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้และนางอยากได้เจ้ามาเป็นลูกสะใภ้บ้านเรามาก ถ้างั้นข้าจะถามเจ้าตรงๆ เจ้าเต็มใจที่จะเป็นลูกสะใภ้ให้ลูกชายข้าไหม?」
เมื่อพูดแบบนั้นองค์ราชาก็ปล่อยหมัดฮุคเข้ามาใส่ตระกูลดิแซคอย่างรวดเร็ว
ใช่แล้ว
หากจะพูดต่อหน้าองค์ราชานั่นถือการประกาศหมั้นอย่างเป็นทางการต่อข้าราชบริพารที่อยู่เป็นพยานด้วย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่เป็นกลอุบายที่จะทำให้ตระกูลดิแซคปฏิเสธไม่ได้
「ต้องขออภัยฝ่าบาทด้วยเพคะ แต่ดิฉันทรงเกรงกลัวว่าจะเป็นผลเสียต่อท่าน」
ลูน่าเริ่มร่ายคำพูด
「ดิฉันน่ะคิดว่าการขึ้นครองบัลลังก์เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายและมีมุมมองต่อโลกทัศน์ที่คับแคบเป็นอย่างมากเพคะ หากสามารถขจัดความหรูหราที่ใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองได้ดิฉันจะเก็บไปพิจารณาเพคะ」
「ฟุ่มเฟือยงั้นเหรอ……..เพราะแบบนี้นี่เองเอลิซ่าเลยถูกใจเจ้าอย่างมาก」
ก็ถ้าหากขุดความหมายให้มันลึกซึ้ง
ลูน่าพูดว่า “ฉันไม่สนใจบัลลังก์โง่ๆนั่นหรอก ฉันแค่มาหาเพราะมีคนเรียกมามีอะไรไหมคะ?” แต่ในขณะเดียวกันก็ตอบว่า “นี่เป็นปัญหาของขุนนาง ราชวงศ์เดือดร้อนทำซากอะไรคะ?”
กล่าวโดยย่อ หากคิดจะถอนรากถอนโคนขุนนางและกรอบความคิดอันคับแคบภายในอาณาจักรอัลฟิเลีย พวกเขาจะต้องเก็บสิ่งที่ลูน่าพูดไปคิด
ซึ่งหากตีความตามตรงก็คือการปฏิเสธอาณาจักรอัลฟิเลียที่ปกครองด้วยชนชั้นขุนนาง
ลูน่าหวังไว้ในใจว่าจะโดนข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เธอจะใช้พลังปราณพังเพดานและหนีไปพร้อมกับพ่อแม่ของเธอและหากยุ่งไม่เข้าเรื่องก็จะลบปราสาทออกัสท์ที่ภูมิใจหนักหนานี่ทิ้งให้เป็นของแถม
อ่า ถ้าแบบนั้น หากปราสาทหายไปเนื้อหาในเกมจีบหนุ่มก็ชิบหายวายวอดกันพอดี
ในการตอบสนองต่อการยั่วยุของลูน่า หากคิดจะใส่หน้ากากเข้าสู้ฉันอยู่ล่ะก็เตรียมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีเลยเถอะ
「ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้」
หมายถึงเรื่องที่จะทำให้ฉันเป็นลูกสะใภ้น่ะเหรอ?
ตราบใดที่ยังไม่ชี้ชัด ก็ไม่น่าแปลกใจหากเรื่องราวจะพลิกผัน
ลูน่ายังคงยิ้ม และยังเฝ้าระวัง ราชินีทรงถามคำถามถัดมา
「มากกว่านั้น ได้คราวว่าเจ้าได้สร้างทหารชั้นยอดที่สามารถโบยบินบนท้องฟ้าได้ด้วยความสามารถของเจ้าเอง เวทมนตร์สำหรับการบินมันยากมาก และเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนด้วยกันเอง นั่นเป็นสิ่งที่หัวหน้ากระทรวงเวทมนตร์กล่าวเจ้าจะว่าเช่นไร?」
เขาหันไปทางราชาและราชาเองก็ชี้นิ้วไปยังชายชราคนหนึ่งที่มีหนวดเคราขาวอยู่บนคางอยู่ในชุดพิธีการ
กระทรวงเวทมนตร์ นั่นหมายถึง “กระทรวงเวทมนตร์ขั้นสูงสุดงั้นเหรอ”
ลูน่าจับตาดูเขาขณะดูว่าเป็นหัวหน้าของกระทรวงหรือไม่
「ดิฉันไม่ได้เชี่ยวชาญพลังเวทย์แต่อย่างใด แต่ดิฉันเชี่ยวชาญพลังปราณ ดังนั้นหน่วยรบทางอากาศกองกำลังพิทักษ์นางฟ้า บินอยู่ด้วยพลัง “ปราณ” เพคะ」
จากนั้นเธอที่สวมชุดสีขาวก็หันไปหาราชาและตอบ
ตัดสินจากสิ่งที่เพิ่งพูด ดูเหมือนว่าทางราชวงศ์จะได้ข้อมูลมามากเกินพอแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่งหากพยายามหลอกลวงก็จะโดนจับได้ทันที และโดนขยี้มากขึ้น
ลูน่าสรุปก็คือตอบมันให้จบในคราวเดียวจะได้ไม่ต้องใช้คำพูดมากมาย
「พลังปราณ งั้นเหรอ?!」
ชายชราอ้าปากค้าง
「ถ้างั้นขอถามอีกครั้งว่าการจะสร้างหน่วยรบทางอากาศแบบนี้อีกเป็นไปได้หรือไม่?」
「ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่หนทางที่จะเป็นไปได้นั้นยากลำบากเพคะ」
「ทำไมล่ะ?」
「ก่อนอื่นต้องมีการฝึกอบรมเกี่ยวกับพลังปราณและผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านนี้ก็ไม่สามารถสอนได้หรอกเพคะ ประการที่สองปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม นี่เป็นเพราะพวกพระองค์ทรงไม่มีสนามฝึกซ้อมหรืออุปกรณ์คุณภาพสูงเพียงพอที่จะฝึกพลังปราณ และในทางกลับกันมีเพียงแต่อุปกรณ์ที่เกะกะการฝึกเต็มไปหมดเพคะ」
「อืม เข้าใจแล้ว ช่วยเล่าให้ละเอียดกว่านี้ได้ไหม?」
เอ๋ ตั้งใจไปเปล่าเนี่ยราชาเอ๋ย
มุ่งมั่นเกินไปไหม?
จากวิธีที่อัลดาโต้พูดแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจที่จะรับลูน่าเข้าราชวงศ์มากนัก
เอ่อนี่ราชาไม่ค่อยถูกกับราชินีงั้นเหรอ ความต่างสุดขั้วนี่มัน
แต่ เขาก็ยังกล่าวอีกว่า「อยากจะทำให้อำนาจทางการทหารมั่นคงขึ้น」
อืม ลูน่าลังเล
เขาต้องการสร้างหน่วยรบทางอากาศเป็นของตัวเอง แต่ฉันไม่รู้ว่าจะดีรึเปล่าที่ให้ทำเช่นนั้น
หากสอนให้พวกเขาบินได้ อาณาจักรอัลฟิเลีย จะกลายเป็นศูนย์รวมสัตว์ประหลาดทันที
แม้ว่าการรุกรานของปีศาจจะมากขึ้น แต่ในแง่ของการจัดการนั้นง่ายขึ้นมากเพราะกำลังรบมากขึ้น
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยู่ข้างลูน่าเสมอไป
ตราบใดที่ไม่ได้สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อลูน่า ก็ไม่มีทางเชื่อใจได้
มันเป็นดาบสองคม
ตัวฉันที่ได้เห็นหน้าของราชาก็เข้าใจ
ดูเหมือนเขาจะมองฉันเป็นอาจารย์มากกว่า
มันเป็นเพียงการหาผลประโยชน์ที่จำเป็นต่อตัวเอง
หมอนี่มันยังมีคุณสมบัติการเป็นราชาอีกเหรอ
ลูน่าสงสัยว่าเป็นความคิดที่ดีไหมที่จะทดสอบดู
ถ้าคิดว่ามันไม่ดีก็แค่บดขยี้ทุกอย่างทิ้ง
เป็นความรับผิดชอบของอาจารย์ที่สอน และมันก็สมเหตุสมผลแม้ว่าจะถูกบังคับ
ลูน่าอ้าปากและยิ้มออกมา「เพคะ」
「พูดแบบกว้างๆนะเพคะ การฝึกอบรมพลังปราณประกอบด้วยสองส่วนใหญ่ๆ คือ การมีวินัยทางกายภาพ จะต้องหมั่นฝึกฝนร่างกายเป็นประจำเพื่อทำให้ร่างกายสามารถซึบซับพลังปราณได้มากขึ้น แต่คุณสมบัติของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่าจะสามารถควบคุมพลังปราณที่ละเอียดอ่อนได้มากแค่ไหน หากไม่มีพรสวรรค์ต้องให้พวกเขาพยายามจนเกือบตายและพักผ่อนในปริมาณที่พอดีเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้า ส่วนการพิสูจน์เรื่องนั้นจะขึ้นอยู่แต่ล่ะบุคคลว่าขยันฝึกซ้อมรึเปล่า แต่มันต้องใช้เวลาอย่างมาก ไม่สามารถตัดสินได้จากเพียงแรกเห็นเพคะ」
เรียกได้ว่าเป็นการตบหน้าครั้งใหญ่
ท้ายที่สุดหากให้พูดเรื่องที่ลูน่าถนัดแล้วเธอก็จะพล่ามไม่หยุดนั่นเอง
ฝ่าบาททรงรับฟังและพึมพำ「อืม」
「แต่ว่าถ้าจะสั่งให้ฉันไปฝึกสอนหน่วยดังกล่าว ดิฉันขอไม่เอาด้วยนะเพคะ」
「ทำไมล่ะ?」
「จังหวะเวลามันแย่เกินไปเพคะ ฉันเองก็เพิ่งอายุสิบสองขวบ และเหนือสิ่งอื่นใดฉันยังต้องวุ่นกับการฝึกทหารของฉันเองด้วยเพคะ」
「กำลังพูดถึงกองกำลังส่วนตัวของเจ้าน่ะเหรอ?」
「เพคะ หากไม่ฝึกฝนให้พวกเขาเข้าสู่สนามรบได้ก่อน ทุกอย่างที่สร้างมาจะพังทลายลง」
「อืม ตามคำพูดในอดีตของเจ้าบอกว่าจะมีการรุกรานครั้งใหญ่ของปีศาจในดินแดนของเจ้า ในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งมันสอดคล้องกับเรื่องนี้อย่างงั้นเหรอ?」
「เพคะ」
เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวที่ลูน่าเล่าว่า「เป็นแค่ความฝัน」เองก็ไปถึงหูราชาด้วย
ฉันพยายามได้ทดลองช่วยเจ้าเมืองของคีร์กีซและเข้าไปควบคุมสถานการณ์อุทกภัยในดินแดนของไวเคานต์ซิลเวอร์อาร์ค ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่หน่วยข่าวกรองจะดมหากลิ่นแหล่งที่มา
ลูน่าพยักหน้าและพูดซ้ำ
「เป็นเวลากว่าห้าปีที่ดิฉันเริ่มก่อตั้งกองกำลังของตนเองขึ้นมา แต่ปัจจุบันมีเพียงแค่ห้าสิบนายเท่านั้นที่สามารถใช้เป็นทหารได้ เมื่อพูดถึงการฝึกทางทหารไม่มีอะไรมีประสิทธิภาพเท่านี้อีกแล้ว พูดตรงๆ ไม่ทำก็ขาดทุน เนื่องจากการผลักดันที่เป็นตัวกระตุ้นอย่างรุนแรงทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ พวกเรามีทั้งหมดห้าสิบนาย ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากสรุปว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่องค์ราชาจะสำเร็จในการฝึกเวลาสั้นๆ」
สาวน้อยอายุ สิบสองปี กำลังต่อว่าราชาที่นั่งบัลลังก์
ฉันได้ยินพวกข้าราชบริพารกระซิบกระซาบ「สามห้าว」ไม่ก็「สมแล้วที่เป็นเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า」
ถ้าพวกเอ็งทำประโยชน์ไม่ได้พวกเอ็งก็อย่าไปดูถูกเธอคนนั้นสิวะ ! ราวกับราชาจะบอกแบบนั้น
พวกเขามองหน้ากันสองสามวินาที จากนั้นราชาก็ผ่อนคลายเล็กน้อย
「เข้าใจโดยละเอียดแล้วล่ะ ไว้ค่อยมาคุยเรื่องเหล่านี้ยามเจ้ามีเวลาว่าง แค่คราวนี้พวกเรามีนัดประชุมกันอย่างเป็นทางการ」
「เพคะ」
ลูน่าโค้งศีรษะ
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือการประชุมได้จบลงอย่างรวดเร็ว
ไม่มีการพูดคุยเพิ่มเติม ทำเอาฉันใจเต้นเลยเนี่ย
「ลูน่า…….ลูกนี่เหมือนซาราเอล่าตอนยังเด็กจริงๆ ทำพ่อใจหายใจคว่ำหมดแล้ว」
ขณะที่กำลังออกจากห้องประชุมและไปถึงรถม้าที่รออยู่ท่านพ่อก็กระซิบกับลูกสาว
「เอ๊ะ เคยมีอะไรที่ทำให้ประหม่าขนาดนี้ด้วยเหรอ?」
ลูน่าได้แต่สงสัย
ท่านแม่รีบกล่าวปฏิเสธ「ฉันเองก็ไม่ได้ใจกล้าขนาดนั้นหรอกนะคะ」
◆ ◆ ◆
――หลังจากมาร์ควิสดิแซคจากไป ราชาก็หายใจเข้าลึกๆ
「เอลิซ่า เจ้าพูดถูก ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องรับเธอเป็นลูกสะใภ้บ้านเราให้ได้」
「ใช่ไหมล่ะคะ」
ราชินียิ้มอยู่ข้างบัลลังก์
「แต่ถ้าพวกเรารับมือไม่ดีพอประเทศของเราได้ล่มสลายแน่」
「การทำให้สัตว์ร้ายเชื่องนั้นจะทำให้บารมีของฝ่าบาทได้แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างแน่นอน」
「พูดอย่างกับเป็นเรื่องปกติไปได้ แต่อืม……..ข้าคิดไม่ออกเลยว่าต้องทำเช่นไร」
ราชาม้วนแขนเสื้อของเขาขึ้น
ขนของเขาลุกขึ้นชูชัน
ชายคนนี้ไม่ได้เชี่ยวชาญวิชาดาบเหมือนเอลิซ่า
เดินทีเกิดในครอบครัวขุนนางและเขาก็มั่นใจในการฝึกฝนอย่างหนักของตัวเอง
แต่ว่าตัวเขาก็มีหัวใจที่เย็นชา
เขารู้สึกหนาวสั่นไปทั่วทั้งร่างจนราวกับว่าจิตวิญญาณถูกบดขยี้ทันทีที่ได้จ้องมองเธอคนนั้น
ดังนั้นเลยยอมถอยแต่โดยดี
ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอย
แค่นั้นแหละ
คนแปลกหน้าที่สวมผิวหนังของสาวน้อยวัยสิบสองปีไม่ควรจะตกเป็นของประเทศอื่น
ราชาเชื่อมั่นว่าการทำให้เธอเป็นปรปักษ์จะกลายเป็นการทำลายล้างตนเอง
ป.ล.ช่วงนี้ร้อนจังเลย