สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 949-2 ตอนอวสาน (2)

บทที่ 949-2 ตอนอวสาน (2)

บทที่ 949 ตอนอวสาน (2)

……….

ห้องหารือทั้งหมดสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว ร่างกายของหลงอีโงนเงน หลังกำแพงไม้นั้น เก้าอี้ของเซียวเหิงและกู้เจียวไถลไปข้างหน้า

กู้เจียวกัดฟันกรอด เอาชนะความอ่อนแอของร่างกายแล้วกอดเซียวเหิงไว้

ทั้งสองกลิ้งตลบไปกันก่อนจะหยุดลง

ส่วนชายชุดดำที่เสียหลัก ชนเข้ากับกำแพงไม้ด้านหลัง

กำแพงไม้พังทลายลง เขากลิ้งไถลไปถึงพื้นห้องหารือ

เขามองไปที่เจ้าสำนักหรงที่นอนจมกองเลือด สีหน้าพลันเปลี่ยน แล้วรีบคว้าตัวเขาออกไป

แรงสั่นสะเทือนยังคงดำเนินต่อไป

หลงอีเห็นเซียวเหิงและกู้เจียวที่อยู่ด้านหลังห้องหารือ เขาจึงรีบทะยานตัวขึ้น

เขาไม่สามารถใช้กระบี่ได้เพราะมีสองคน

เขาโยนกระบี่นิลบุหลันทิ้งไป อุ้มเซียวเหิงและกู้เจียวด้วยมือทั้งสองข้างแล้วพุ่งตัวออกนอกประตูไป

ทว่าสิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ พื้นดินพลันแยกออกจากกัน ทั้งสามคนร่วงตกลงไป

ท่ามกลางถนนมืดมิด กู้เหยี่ยนและกู้เฉิงเฟิงสะเทือนจนกลิ้งตลบ หัวของกู้เฉิงเฟิงกระแทกกับผนังอย่างแรง แต่กู้เหยี่ยนนั้นได้เปรียบที่เคยล้มหน้าขมำกับจิ้งคงมาแล้ว จึงสำเร็จ “วิชาหัวทิ่ม” เรียบร้อยแล้ว

จึงไม่เจ็บตัวเลยแม้แต่นิด

“เกิดอะไรขึ้น มังกรพลิกตัวหรือไร” กู้เฉิงเฟิงตะเกียกตะกายหาที่เกาะพลางเอ่ยถาม

กู้เหยี่ยนไม่พูดไม่จา ก้มศีรษะลงชิดอก อยู่ท่าป้องกันตัวเอง

ในที่สุดแรงสั่นสะเทือนก็หยุดลง

กู้เฉิงเฟิงคว้ากำแพงพยุงตัวขึ้น ยามนั้นทั้งสองคนมีสภาพมอมแมม เขาค่อนข้างอนาถ มงกุฎผมก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน

“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” เขาเข้าไปพยุงกู้เหยี่ยน

“ไม่เป็นไร” กู้เหยี่ยนจับมือเขาลุกขึ้น มองไปรอบๆ แล้วถาม “พวกเราอยู่ที่ไหนกัน”

กู้เฉิงเฟิงลูบประครองศีรษะที่วิงเวียนของเขา หายใจเข้าลึกพลางเอ่ย “ไม่รู้สิ เอ๊ะ เจ้ามีตะบันไฟหรือไม่ ของข้าเหมือนจะหายไปแล้ว”

กู้เหยี่ยนล้วงตะบันไฟออกมาจากอกเสื้อ “มี”

กู้เฉิงเฟิงรับมา หลังจากเป่าลมแล้วตะบันไฟสว่างขึ้น จากนั้นจึงเดินตามทางทีละก้าวโดยอาศัยแสงไฟ

เมื่อครู่พวกเขาร่วงตกลงมาจากลานบ้านของเรือนไม้ไผ่หลังเล็กๆ จากนั้นก็มาอยู่ในทางเดินประหลาดนี้ พวกเขาเดินหน้าไปตามเส้นทางในอุโมงค์ที่ทอดยาวเป็นเส้นตรงนั้น ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นได้อย่างไร

เขาคิดว่าอุโมงค์นี้กำลังจะถล่มเสียอีก

“ที่นี่ที่ไหน บนพื้นมีแต่เลือด” กู้เฉิงเฟิงเข้าไปในห้องหารือ เขานั่งยองๆ ใช้นิ้วแตะรอยเลือด “ยังใหม่อยู่เลย มีการต่อสู้ที่นี่”

เขามองไปรอบๆ และพบกระบี่ที่ส่องประกายระยิบระยับท่ามกลางซากปรักหักพัง

เขาหยิบกระบี่ขึ้นมาจ้องพินิจก่อนจะอุทานออกมา “ว้าว กระบี่เหล็กทมิฬ! เป็นของข้า!”

กู้เหยี่ยนพบหน้ากากอยู่ข้างๆ

กู้เหยี่ยนหยิบหน้ากากขึ้นมาดมพลางเอ่ย “กลิ่นของพี่สาวของข้า! พี่สาวข้าเคยมาที่นี่!”

ภายในห้องลับอันมืดมิด หลงอีใช้ร่างกายของเขาเป็นโล่ คว้าตัวกู้เจียวและเซียวเหิงเอาไว้

ทั้งสองรีบลุกขึ้นยืน

กู้เจียวแตะชีพจรของหลงอี เซียวเหิงจุดตะบันไฟ

“เจ้าเป็นอะไรไหม” เขาถาม

กู้เจียวเอ่ย “ข้าไม่เป็นไร หลงอีได้รับบาดเจ็บ”

เซียวเหิงมองไปที่หลงอีทีใบหน้าซีดเผือดพลางถาม “สาหัสหรือไม่”

กู้เจียวถอนมือออก “ก็สาหัสอยู่หรอก แต่น่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะร่างกายของเขาพิเศษ”

ขณะที่นางเอ่ย ก็ไปหยิบชุดปฐมพยาบาล

“ชุดปฐมพยาบาลหายไป และหน้ากากก็หายไปด้วย”

ซ่างกวานชิ่งเป็นคนทำหน้ากากให้ จู่ๆ พ่อบ้านเจิ้งก็มาหาถึงจวนบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับอันกั๋วกง นางจึงจับพลัดจับผลูยัดหน้ากากใส่กล่องปฐมพยาบาลมาด้วย

เซียวเหิงมองไปรอบทิศ “มีทางเดินข้างหน้า ออกไปจากที่นี่ก่อน”

กู้เจียวพยักหน้า ช่วยเซียวเหิงประคองหลงอีขึ้น ก่อนจะเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “หมู่บ้านซ่อนกระบี่เล็กๆ แห่งนี้ กลับสร้างทางลับขึ้นมาด้วย ช่างลึกลับเสียจริง”

เซียวเหิงขมวดคิ้วขณะมองไปที่กำแพงที่เย็นยะเยือกโดยรอบ รู้สึกว่าที่นี่อันตรายมากอย่างบอกไม่ถูก “ไปกันเถอะ”

กู้เจียวพลันหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาของหลงอีทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว หลงอี ชายชุดดำเมื่อกี้คือใครรึ”

“หมอผี” หลงอีเอ่ย

กู้เจียวยิ้มมุมปาก และดวงตาเป็นประกาย “ในที่สุด เจ้าก็พูดแล้ว”

หลงอี “….”

ในอีกเส้นทางหนึ่ง กู้เหยี่ยนกำลังมองหาร่องรอยของกู้เจียวอย่างระมัดระวัง เขาไม่พบร่องรอยใด แต่ด้วยสัญชาตญาณองฝาแฝด เขาแค่รู้สึกว่านางน่าจะอยู่ใกล้ๆ

“พวกเราตะโกนเรียกดีไหม”

กู้เหยี่ยนหันกลับไปถามกู้เฉิงเฟิง แต่ตกใจกับหน้ากากทองแดงที่มีเขางอกอันน่าสะพรึงกลัวนั้น “อ้ะ! เจ้าทำอะไรน่ะ!”

กู้เฉิงเฟิงสวมหน้ากากพลางเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ “ตกใจละสิ”

กู้เหยี่ยนลูบอกที่เต้นแรงด้วยความตกใจ เอ่ยเสียงเคือง “เล่นเป็นเด็กไปได้! เจ้าห้ามเดินตามหลังข้าเด็ดขาด!”

กู้เฉิงเฟิงเอ่ยพึมพำ “ข้าไม่มีสัญชาตญาณแฝดกับท่านพี่แบบเจ้านี่ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องเดินไปทางไหน”

กู้เหยี่ยนเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ตรงไป!”

กู้เฉิงเฟิงจัดหน้ากากบนใบหน้าของเขา ลูบกระบี่เหล็กทมิฬที่เอวของเขาอีกครั้ง พลางเอ่ยกับกู้เหยี่ยน “เอาตะบันไฟมาให้ข้า”

กู้เหยี่ยนยื่นให้เขาอย่างเย็นชา

เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างมาดมั่น

“ขี้ขลาดขนาดนี้ รู้งี้ไม่พาเจ้ามาด้วยตั้งแต่แรก!”

“เจ้าบอกว่าเจ้ากับท่านพี่ออกมาจากท้องเดียวกัน เหตุใดนิสัยถึงได้ต่อกันราวฟ้ากับเหว”

“อ้อ ใช่แล้ว นางไม่ใช่เจ้า… เหอะๆ ข้าหมายถึงนางไม่ได้เติบโตมากับเจ้า”

“นี่ ข้าพูดไปตั้งเยอะแยะ เจ้าควรจะตอบบ้างสิ”

กู้เฉิงเฟิงหันกลับมาด้วยความสงสัย ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของกู้เหยี่ยน

“กู้เหยี่ยน!”

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันใด เขาเดินกลับไป ทันทีที่เขาเลี้ยว เงาดำก็พุ่งเข้ามาหาเขา ก่อนที่เขาจะหมดสติด้วยฝ่ามือ

“หลงอี หมอผีเก่งหรือไม่” ภายในอุโมงค์ กู้เจียวเอ่ยต่อในหัวข้อเมื่อครู่

หลงอีคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางเอ่ยเสียงจริงจัง “ต่อสู้นั้นไม่เท่าไหร่ แต่ใช้แมลงพิษนั้นเก่งมาก”

หมอผีต้องเลี้ยงแมลงพิษ โดยปกติแล้วจะร่างการอ่อนแอมาก พวกเขาเก่งในการใช้แมลงพิษ เพื่อเพิ่มทักษะของพวกเขา ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนเป็นปรมาจารย์ แต่จริงๆ แล้วมันคือผลของแมลงพิษ

เมื่อเอ่ยเช่นนั้นกู้เจียวก็เข้าใจ “ถ้าสู้กับเจ้าหมอนั่นในฐานะประชิด คงไม่มีทางชนะสินะ”

หลงอีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหลบตาลง “แต่หมอผีสามารถควบคุมคนได้”

กู้เจียวถาม “ความทรงจำของเจ้าถูกลบไปโดยหมอผีรึ”

หลงอี “ใช่”

ไม่เพียงแค่ลบความทรงจำของเขา แต่ยังเปลี่ยนเขาให้เป็นเครื่องมือสังหาร ฆ่าคนที่ไม่ควรฆ่า และทำลายสิ่งที่เขาควรจะปกป้อง

“มีคนมา!” เซียวเหิงเอ่ย

ปลายอุโมงค์ ประตูหินเปิดออกอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นแสงสลัวๆ

หลงอีเดินไปที่ประตูหินด้วยสายตาเย็นชา ปกป้องทั้งสองไว้ข้างหลังเขา

เมื่อมาถึงประตู พบว่าข้างในเป็นห้องลับที่กว้างขวาง มีคนอยู่ในห้องลับรออยู่พักหนึ่งแล้ว… เจ้าสำนักหรงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังเล่นกับหน้ากากทองแดงมีเขานั้น

หมอผีชุดดำที่ยืนอยู่ข้างเขา รวมถึงกู้เหยี่ยนและกู้เฉิงเฟิงที่ถูกหมอผีจับตัวมา

อาวุธของเจ้าสำนักหรงถูกกำจัดแล้ว บาดแผลดูเหมือนจะได้รับการรักษาเบื้องต้น แต่ยังคงมีเลือดออกมาไม่หยุด ร่างทั้งร่างของเขาอ่อนแรง หากไม่ผ่านตัดคงไม่อาจรอดชีวิต

กู้เจียวและเซียวเหิงเดินออกมาจากด้านหลังหลงอี ทั้งสองมองไปที่กู้เฉิงเฟิงและกู้เหยี่ยนที่หมดสติ จากนั้นก็มองไปที่หมอผีและเจ้าสำนักหรง

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เซียวเหิงถาม

ร่างกายของเจ้าสำนักหรงอ่อนแอ แต่รังสีที่แผ่ซ่านของเขาก็ไม่ได้ลดกำลังลง เขามองไปที่เซียวเหิงพลางเอ่ย “เจ้าคือพระนัดดาแห่งต้าเยี่ยนรึ ข้าเคยเห็นภาพวาดของเจ้า ข้ารู้ภูมิหลังของเจ้าและซ่างกวานชิ่ง และข้ารู้ว่าพิชิตเวหาอยู่เคียงข้างเจ้ามาหลายปียามที่เขาหายตัวไป ตอนนั้นข้าประมาทไป เจ้าถึงพลอยได้ประโยชน์”

เซียวเหิงเอ่ยเสียงจริงจัง “ยี่สิบเอ็ดปีก่อน หลงอีละทิ้งภารกิจลอบสังหารเซวียนหยวนฉี จากนั้นหลงอีก็ความจำเสื่อม เป็นฝีมือเจ้ารึ”

เจ้าสำนักหรงหัวเราะเยาะ “เขากล้าทรยศข้า แน่นอนว่าเขามีราคาที่ต้องจ่าย น่าเสียดายที่ถึงแม้ความทรงจำของเขาจะถูกล้างไปแล้ว เขาก็ยังหนีไปอีก”

สัญชาตญาณของหลงอีต้องบอกให้เขาหนีจากเจ้าสำนักหรงแน่นอน แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะจับพลัดจับผลูเข้าไปในจวนองค์หญิง

เซียวเหิงมองไปที่เจ้าสำนักหรง “เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนั้น”

เจ้าสำนักหรงเอ่ย “อันที่จริงแล้ว ข้าก็ทำเพื่อเขา การเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักเจี้ยนหลูมีอะไรไม่ดีรึ ช่างเถอะ อย่าเอ่ยถึงเรื่องในอดีตเลย”

เขาเอ่ยพลางเหลือบมองกู้เฉิงเฟิงที่อยู่ข้างๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “คนสองคนนี้เป็นเพื่อนของพวกเจ้าใช่ไหม ถ้าอยากช่วยเขา ก็ส่งตัวแม่เด็กที่มียาอมตะออกมา!”

เซียวเหิงขมวดคิ้ว “ยาอมตะอะไร”

เจ้าสำนักหรงเอ่ยเสียงดัง “ยาอายุวัฒนะ!”

……….

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset