ตอนที่ 526 : เรื่องน่าตลก
“ประมาณ 25,000 ปีก่อน ดาวนิบิรุได้รู้ถึงคนร้ายที่ปล่อยก๊าซลึกลับออกมา นั่นก็คือดาร์คลอร์ด !”
“ดาร์คลอร์ด เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ชนชั้นปกครองในจักรวาล มันมีชีวิตนิรันดร์ได้มาจากการดูดซับชีวิตในจักรวาล มันยังเป็นต้นตอของภัยพิบัติของโลกต่าง ๆ อีกด้วย มันราวกับเป็นหลุมดำที่มีหนวดนับไม่ถ้วนยื่นออกมาจากร่างกายมัน เมื่อหนวดนั้นยื่นเข้ามาในโลกไหน มันจะปล่อยก๊าซลึกลับออกมาซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตในโลกนั้นเกิดการพัฒนาตัวเองขึ้นมา เมื่อโลกนั้นพัฒนาจนถึงขีดจำกัดแล้ว ดาร์คลอร์ดก็จะเข้ากลืนกินโลกนั้น แม้ว่าเจ้าของโลกใบนั้นจะหาทางต้านทานหนวดนั้นและก๊าซลึกลับ แต่หนวดนั้นก็ยังหาทางในการกลืนกินพวกเขาจนได้ ประมาณสองหมื่นปีก่อน พันธมิตรดวงดาวจากดาวนิบิรุกับอีกหลายกองกำลังในจักรวาลได้ร่วมมือกันในการต้านทานการรุกรานของดาร์คลอร์ด ประมาณพันปีก่อน นักรบดวงดาวคนหนึ่งได้ตัดหนวดนั้นออกได้ มันเป็นเวลาเดียวกับกับตอนที่นายต่อสู้กับเผ่าชูมิ นายได้ฉีกมิติออกและทำลายกฎของจักรวาล หนวดนั้นรับรู้ได้ถึงรอยแตกของโลกที่นี่และมุ่งหน้ามาที่นี่ แม้ว่าชูโม่จะปิดรอยแยกมิติไปด้วยร่างของเธอ แต่มันก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้”
“หลายสิบปีก่อนหนวดนั่นได้ใช้โลกนี้เป็นฐานและได้เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ โลกมนุษย์กับโลกนี้คล้ายกันแต่ เพราะมันไม่อาจจะยึดครองโลกนี้ได้ มันจึงเริ่มรุกรานเข้าไปในโลกมนุษย์ ชีวิตนี้มันรู้จักแต่การยึดครองทุกที่ทั่วจักรวาล มันมีตัวตนเพื่อกลืนกินทุกอย่าง เมื่อหนวดของดาร์คลอร์ดได้สัมผัสกับดาวเคราะห์นั้นแล้ว มันก็หมายความว่าดาวเคราะห์นั้นอยู่ไม่ห่างจากความตายเท่าไหร่”
หลังจากที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดจากเชินสิ่ว ฉิงจีก็ได้แต่รู้สึกผิดขึ้นมา “ ฉันผิดเอง ฉันผิดเอง… ฉันน่าจะหยุดชูโม่ เพราะมัวแต่นึกถึงความรู้สึกของตัวเอง ความผิดของฉันทำให้โลกทั้งสองต้องพินาศ” ฉิงจีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วร้องไห้ออกมา
“นี่มัน..” ฉิงจีลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะหันไปถาม “ผู้อาวุโสเชินสิ่ว มันมีอะไรที่จะชดเชยได้รึเปล่า ? ”
เชินสิ่วส่ายหน้า “พลังแม่เหล็กในเกราะฉันหมดไปนานแล้ว หนวดนั่นเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกวันจนฉันไม่อาจจะต้านทานได้ ฉันรู้มาจากนักสำรวจจากโลกมนุษย์ว่าเกาะแห่งหนึ่งบนโลกในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับการทำลายล้าง หายนะมันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ตามการคำนวณของฉันแล้ว สัตว์อสูรกลายพันธุ์ในโลกนี้จะเข้าโจมตีตรงจุดที่ปิดมิติเอาไว้ เมื่อรูปปั้นนี้พังลง ก๊าซลึกลับนับไม่ถ้วนจะแผ่ออกมาจากรอยแยกนั้นก่อนจะครอบคลุมไปทั่วโลกนี้แล้วจะแผ่ไปที่โลกมนุษย์ต่อ”
ฉิงจีตัวสั่น “ ไม่ใช่ว่า…มันเท่ากับจุดจบรึ ? ”
เชินสิ่วยิ้มออกมา “ไม่ ยังไงซะเผ่าชูมิก็พบกับหินกฎสยบดวงดาว เมื่อมันหลอมรวมกับมนุษย์แล้ว ดาวเคราะห์ใหม่จะสลัดตัวออกจากขีดจำกัด มันจะกลายเป็นดาวเคราะห์ใหม่ในระบบสุริยะ ราวกับเรือโนอาเลยก็ว่าได้ ! ”
ฉิงจีได้สติ “ผู้อาวุโสหมายถึงลูกปัดนั่นหรือ ? ”
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าการดูดซับลูกปัดนั้นจะทำให้กลายเป็นจ้าวมิติและยังสามารถต้านทานการรุกรานของก๊าซลึกลับได้ แต่เขาไม่รู้ว่าลูกปัดนี้ทำอะไรได้บ้าง
ฉิงจีได้สติกลับมาและพูดขึ้น “ งั้นที่ท่านบอกหวังเย่าว่าหากเขาเอามันให้กับท่าน แล้วท่านจะพาเขาออกไป มันคือความจริงงั้นหรือ ? ”
เชินสิ่วพยักหน้า “ใช่ แต่มันไม่ใช่ฉันที่พาพวกเขาออกไป แต่เป็นเด็กสาวคนนั้นต่างหาก”
“เราคนนิบิรุได้วิจัยหินกฎนี้มาหลายหมื่นปีแล้ว ฉันรู้ถึงความลึกลับของมันมากมาย เมื่อลูกปัดนี่อยู่ในมือฉัน ฉันก็ไม่มีทางจัดการมันได้ นอกซะจากฉันจะทำให้เด็กสาวนั่นกลายเป็นจ้าวมิติ”
ฉิงจีแสดงท่าทีตกใจออกมา ยังไงซะทั้งสองก็สู้กันเพื่อแย่งลูกปัดนี่มา เขาไม่คิดเลยว่าเชินสิ่วจะมีความคิดแบบนี้
เชินสิ่วมองไปที่ฉิงจีแล้วยิ้มออกมา “ก่อนหน้านี้ฉันคิดจะแย่งลูกปัดนั่นมาเป็นแหล่งพลังงานเพื่อบินกลับไปที่ดาวนิบิรุ แต่ตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว ร่างกายของฉันได้รับบาดเจ็บมาหลายปี บวกกับการต่อสู้กับนาย ตอนนี้ฉันเกือบจะตายแล้ว แม้แต่การแย่งลูกปัดนั่นมา ฉันก็กลัวว่าคงทำไม่ได้ ฉันคงต้องตายในดาวเคราะห์แห่งนี้ ”
เชินสิ่วยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและมองไปที่ฉิงจี “นายกับฉันต่างก็รู้ว่าเราคงอยูต่อได้ไม่นาน ถึงจะทนแค่ไหนแต่อย่างมากก็คงทนได้แค่ 2 ปี ทำไมเราไม่ใช้ชีวิตนี้ช่วยคนอื่นก่อนที่จะตายล่ะ ? ”
“ฉันต้องยอมรับว่าด้วยความสามารถของนายแล้วแม้แต่ในดาวนิบิรุก็ถือว่าแข็งแกร่ง ตราบใดที่เรายอมใช้พลังชีวิตที่เหลือ แน่นอนว่าจะต้องทำลายเขตลวงตานี้ได้ เราจะบอกความจริงกับเด็กผู้หญิงคนนั้น จากนั้นเธอก็จะเป็นพวกของเรา”
ฉิงจีมองไปที่เชินสิ่ว “นี่เป็นความผิดของฉัน ฉันควรจะชดเชย ฉันไม่อยากดึงท่านเข้ามาเกี่ยว”
ทั้งสองเคยสู้กันมาหลายปีแต่ตอนนี้กลับมาขอโทษกัน เชินสิ่วหัวเราะออกมา “ฉันเป็นนักรบดวงดาว ฉันผ่านสถานการณ์เป็นตายมามาก ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด ฮ่าฮ่า…”
ฉิงจียิ้มออกมา “โชคร้ายที่ไม่มีเหล้า”
เขาจับเนื้อกระต่างย่างขึ้นมาและมองไปที่เชินสิ่ว “กินนี่แล้วไปลงนรกด้วยกัน ! ”
“ได้ ! ” เชินสิ่วตอบกลับ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หวังเย่าก็พบว่าเขตลวงตาที่สร้างขึ้นโดยนาฬิกาโดนสองคนพังลงไปแล้ว ทั้งสองได้ออกมาจากเขตลวงตาได้
ภายใต้การสนับสนุนจากฉิงจี ทั้งสองคนก็ได้เผาไหม้พลังชีวิตและหนีออกมาจากป่าได้ พวกเขาได้มุ่งหน้าไปที่ทะเลต่อ
“พี่เชินสิ่ว ถ้ามีชีวิตหน้า ฉันอยากให้เราเป็นพี่น้องกัน“
“ไม่ต้องถึงชีวิตหน้าหรอก ตอนนี้เราก็เป็นแล้วไม่ใช่รึไง ? ” เชินสิ่วหัวเราะออกมา
แสงแดดสาดเข้าที่ใบหน้าของพวกเขา พวกเขายิ้มให้กันด้วยความพอใจในตอนพระอาทิตย์ตกดิน
ชูหยุนได้ทำตะกร้าจากกิ่งไม้ขึ้นมาเพื่อเก็บผลไม้ เธอนั่งอยู่ที่ริมหน้าผามองออกไปยังทะเลตรงหน้า
เธอนั่งเท้าคางพร้อมกับมองไปที่ดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้า
ก่อนจะยิ้มหวานออกมาและพูดขึ้น “ ถ้าฉันได้อยู่ที่นี่กับพี่หวังเย่าไปตลอดชีวิต เราคงมีลูกสัก 8-10 คน เราจะใช้ชีวิตที่สงบสุขที่นี่ นั่นอาจจะเป็นชีวิตที่ดี”
ร่างของคนสองคนโผล่มาด้านหลังชูหยุน
“เธอชอบที่นี่งั้นหรือ ? ”
ชูหยุนหันกลับมามองด้วยความแปลกใจ เมื่อเธอเห็นทั้งสองคน เธอก็ตัวสั่น เธอรีบพยักหน้าตอบรับ “ก็ที่นี่มันสวย”
“เรานั่งคุยกับเธอสักพักได้รึเปล่า ? ”
ฉิงจีและเชินสิ่วเผยรอยยิ้มเป็นมิตรออกมา รอยยิ้มนี้ดูเป็นกันเองจนทำให้คนปฏิเสธไม่ได้
“แน่นอน” เธอยิ้มรับและเชิญทั้งสองคนให้นั่งด้วยกันตอนนั้น หวังเย่าได้กำลังสำรวจรอบ ๆ ด้วยกล้องไม้ไผ่ที่ทำขึ้นมา
รอบ ๆ มีแต่ทะเล มันไม่มีเกาะอื่นให้เห็น เขาเห็นแต่กำแพงมิติที่อยู่สุดขอบทะเล
เกาะแห่งนี้เล็กจริง ๆ ถ้ามีเครื่องบินสักลำงั้นคงบินไปมาได้สบาย
“มันจริงตามที่ฉิงจีบอกว่ามิตินี้ต่างจากมิติอื่น ๆ มันไม่ได้มีทางเข้า หากต้องการออกไปต้องพึ่งลูกปัดเท่านั้น ? ”
เขาจับไปที่ลูกปัดในเสื้อตัวเอง เขาคิดอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจหาถ้ำใกล้ ๆ ก่อน
พวกเขาคงไม่อาจจะออกจากที่นี่ไปได้สักพัก มันคงจะดีหากว่าหาที่กันฝนที่ปลอดภัย
ไม่นาน หวังเย่าก็พบถ้ำสองแห่งในภูเขาใกล้ ๆ เมื่อตรวจสอบถ้ำนั้นแล้วก็พบว่ามันเป็นที่ที่เหมาะสำหรับใช้เป็นที่พัก
หวังเย่าได้จัดการพวกนกที่อยู่ในถ้ำก่อนจะเอากิ่งไม้แห้งและใบไม้แห้งมาทำเป็นเตียงชั่วคราว
จากนั้นเขาก็ได้ไปจับแพะเอามาขังไว้ในรั้วที่เขาสร้างไว้ด้านนอก เขาผูกแพะเอาไว้ก่อนจะกลับไปยังที่พักเก่าแต่ตอนที่หวังเย่ากลับไปถึงที่นั่น เขาก็พบว่าเขตลวงตานั้นโดนทำลายแล้ว เขาได้ตะโกนออกมาด้วยความหงุดหงิดทันที
เมื่อเดินทางออกมาเรื่อย ๆ เขาก็พบกับพวกนั้นที่ริมหน้าผา
ลมทะเลพัดเข้ามาเบา ๆ จนทำให้ผมของชูหยนสะบัดไปตามลม ตาของเธอแดงก่ำราวกับว่าร้องไห้มา
หวังเย่ามองไปที่ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ที่ริมผา
มันมีฉิงจีที่ตอนนี้พลังชีวิตหมดลงไปแล้ว ร่างของเขากลายเป็นรูปปั้นเหม่อมองทะเลตรงหน้า
ไม่มีใครรู้ว่าฉิงจีคิดอะไรอยู่ในตอนที่ตายไป แต่ชูหยุนกลับเศร้ากับการตายของเขา ยังไงซะเธอก็ได้เห็นความรักระหว่างฉิงจีกับชูโม่มาแล้ว
บาดแผลบนตัวฉิงจีน่ะหนักกว่าเชินสิ่ว ดังนั้นจึงเป็นฉิงจีที่ตายไปก่อน แต่ทว่าเชินสิ่วก็ดูไม่ห่างจากความตายเท่าไหร่นัก
เชินสิ่วพึมพำออกมา “หวังเย่านั่งลงก่อน มาคุยกับฉันเป็นครั้งสุดท้าย”
หวังเย่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องนั่งลงไป
เชินสิ่วได้บอกเรื่องต้นกำเนิดของมนุษย์รวมถึงอดีตต่าง ๆ ให้หวังเย่าฟัง
“การหนีจากหนวดปีศาจนั่น มากกว่าหมื่นปีก่อนดาวนิบิรุได้หยุดการโคจรของดวงอาทิตย์และหาดาวเคราะห์ดวงใหม่ นายไม่มีทางหามันเจอยกเว้นว่านายจะเป็นสมาชิกของพันธมิตรดวงดาว”
“มันมีดาวเคราะห์ 200 ดวง โลกอยู่ประมาณอันดับ 90 ตามการจัดลำดับของพันธมิตรดวงดาว”
“บนดาวนิบิรุ สัตว์อสูรเลเวล 90 ถือว่าเป็นแรงงานชนชั้นต่ำที่สุด โลกมนุษย์กำลังถูกทำลาย นายต้องออกจากที่นี่ในไม่ช้า ถ้านายต้องการที่ในจักรวาล นายต้องไปหาพันธมิตรดวงดาว”
เมื่อพูดจบ เชินสิ่วก็ส่งกำไลให้กับหวังเย่า
“ฉันขอยกเกราะนี่ให้กับนาย แม้ว่ามันจะไม่มีพลังงาน แต่หากโลกมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกันจริง ๆ ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะยอมสละสัตว์อสูรของตัวเองเพื่อเติมเต็มพลังงานให้กับมัน”
หวังเย่ามองไปที่เชินสิ่วด้วยความสับสน “ หมายความว่ายังไง ? ”
“นายจะเข้าใจเอง แต่ตอนนี้นายต้องออกจากที่นี่ให้ได้เสียก่อน” เชินสิ่วเผยรอยยิ้มลึกลับออกมา
“อายุขัยของคนบนดาวนิบิรุนั้นยาวหลายหมื่นปี ตอนที่สร้างพวกนายขึ้นมา พวกนายก็มียีนส์ของเราแต่ยีนส์นั้นผิดพลาด ส่งผลให้ชีวิตของพวกนายไม่อาจจะอยู่ได้ถึงร้อยปี พวกนายมักจะเจอกับโรคร้ายรึภัยพิบัติอื่น ๆ ”
“วันนี้นายยังเป็นมนุษย์ทั่วไป อายุขัยของนายสั้นเกินไปหากเทียบกับสัตว์อสูร” เชินสิ่วมองไปที่หวังเย่าแล้วถามขึ้นมา “นายรู้ไหมว่ามันต้องใช้เวลากี่ปีก่อนที่อสูรเลเวล 90 จะขึ้นเป็นเลเวล 100 ? ”
หวังเย่าตอบกลับ “100 ปีงั้นหรือ ? ”
เชินสิ่วยิ้มและพูดขึ้น “ เพิ่ม 0 อีกตัว”
คำพูดนี้ทำให้หวังเย่าสะดุ้ง แม้ว่าตอนนี้เขาจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่อาจจะมีอายุยาวนานแบบนั้นได้
“ดาวนิบิรุมีสัตว์อสูรมาหลายหมื่นปีแล้ว พวกนายแค่เพิ่งเริ่มต้น ฉันไม่รู้ว่านายเติบโตมายังไง แต่ฉันบอกได้ว่ามีทางลัดในการพัฒนาสัตว์อสูรให้ แม้แต่ดาร์คลอร์ดที่เชี่ยวชาญด้านการการยึดครองจักรวาลก็ยังไม่อาจจะเร่งความเร็วได้เช่นนี้”
“งั้น…หากนายอยากมีชีวิตที่ยืนยาว นายต้องไปที่ดาวนิบิรุ นายต้องพัฒนายีนส์ของตัวเองให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะกลายเป็นมนุษย์เต็มตัว ! ”
“ผมเข้าใจแล้ว”
สิ่งที่เชินสิ่วบอกกับหวังเย่าในวันนี้ทำให้หวังเย่าตกตะลึงอย่างมาก
หลังจากที่พูดจบ ผิวของเชินสิ่วก็เริ่มแห้งและแตกออก เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นรูปปั้นไป
หวังเย่าและชูหยุนได้เดินทางกลับไปที่ถ้ำ
แสงจันทร์สาดลงมายังทั้งสองคน โดยที่ทั้งสองคนก็ยังไม่คิดจะพูดอะไรออกมา
ถึงจะจุดไฟในถ้ำแล้ว แต่ชูหยุนก็ไม่ได้ถามว่าลูกปัดนั่นอยู่ที่ไหน
หวังเย่าได้ทำการฆ่าแพะก่อจะใช้เครื่องปรุงต่างหมักมันแล้วนำมาย่าง
บอกได้ว่าเนื้อแพะย่างในวันนี้ถูกย่างออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันส่งกลิ่นหอมลอยคลุ้งไปทั่ว
หวังเย่ายอมรับว่าเนื้อย่างที่เขาเคยทำมาก่อนหน้านี้ไม่เคยอร่อยเท่ากับวันนี้มาก่อน แต่ชูหยุนก็ยังคงกินมันราวกับคนไม่มีวิญญาณ
ทั้งสองต่างก็มีเรื่องต้องคิด
ถึงหวังเย่าจะเป็นคนที่มั่นใจตัวเอง แต่เขาก็ไม่อาจจะบอกกับชูหยุนได้ว่า “ฉันอยากมีชีวิตต่อ เธอพาฉันออกไปที ! ”
เขาไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ !
เพราะมันขัดกับหลักการของเขา !
ตอนนี้…ทั้งสองก็ได้แต่กินเนื้อแพะย่างไปอย่างกระอักกระอ่วน
ลมค่อย ๆ พัดผ่านพร้อมทำให้กองไฟสั่นไหวไปมา
บอกได้ว่าแสงจันทร์ที่สาดเข้ามานี้ทำให้ชูหยุนสวยขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมยาว ๆ ของเธอที่สะบัดไปมา
หวังเย่ามองเธออยู่สักพักก่อนที่จะเช็ดปากตัวเองแล้วลุกขึ้น “ฉันกินอิ่มแล้ว ฉันจะนอนด้านซ้าย เธอนอนด้านขวานะ ! ”
“อื้อ” ชูหยุนพึมพำออกมา
ตอนแรกหวังเย่าตั้งใจจะให้ชูหยุนมาอยู่กับเขาโดยแยกจากฉิงจีและเชินสิ่ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นแล้ว ยังไงซะในเกาะนี้ก็มีแค่เขากับชูหยุน หากมันเกิดเรื่องแบบครั้งที่แล้วขึ้นมา งั้นบางทีพวกเขานี่แหละที่เป็นต้นเหตุ
ถ้ำทั้งสองที่หวังเย่าพบนั้นอยู่ในสภาพดี มันมีรูบนกำแพงที่เหมือนกับเป็นหน้าต่างถ้ำได้
หน้าต่างนี้หันหน้าไปหาทะเล มันทำให้ได้ยินเสียงคลื่นที่ซัดเข้ามา
หวังเย่านอนอยู่บนเตียงหญ้ามองขึ้นไปบนเพดานแล้วคิดถึงบางอย่าง
ไฟด้านนอกเริ่มหม่นลงแต่จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเท้า เขาเดาว่าคงเป็นชูหยุนที่กำลังจะเดินไปนอน
คืนนั้นเงียบสงบ แสงจันทร์สว่างจ้า เสียงของคลื่นพร้อมกับเสียงลมนั้นทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกสงบ แต่ทว่าหวังเย่ากลับนอนไม่หลับ
“ออกไปเดินเล่นหน่อยดีกว่า”
หวังเย่าเดินออกมาจากถ้ำและพบว่าถ้ำของชูหยุนนั้นมืดไปแล้ว เธอน่าจะนอนหลับไปแล้ว
แสงจันทร์สาดไปที่ตีนเขา หวังเย่าเดินไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเดินลงไปที่ผืนทราย
เสียงลมที่พัดผ่านเข้ามาได้นำพาน้ำทะเลมากับมันด้วย
เขาเดินไปตามชายหาดไปเรื่อย ๆ พร้อมกับทิ้งรอยเท้าเอาไว
หวังเย่าชอบความรู้สึกแบบนี้ ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาได้กลับมาเป็นคนธรรมดาอีกครั้ง
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง หวังเย่าก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าไกลออกไปนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ตรงหน้าเขา
นั่นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชูหยุน
เธอนอนไม่หลับเหมือนกันจึงเลือกออกมาเดินเล่น
ทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมา
จานนั้นทั้งสองก็เดินไปด้วยกัน
“บังเอิญจริง ๆ ที่เธอก็นอนไม่หลับ”
“วิวสวย ๆ แบบนี้ แต่พี่กลับออกมาดูคนเดียว ไม่พาฉันออกมาด้วย” ชูหยุนหัวเราะออกมา
หวังเย่าลูบจมูกและอยากจะเอ่ยว่า “เธอไม่ใช่แฟนฉันสักหน่อย”
แต่ยังไงซะเขาก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร เขาไม่อาจจะพูดออกมาตรง ๆ ได้
“เธอเดินทางมาทั้งวัน การที่เธอไม่พักผ่อนแบบนี้มันจะไม่เป็นปัญหาหรือไง ? ”
“ผู้หญิงน่ะเขียนทุกอย่างบอกผ่านใบหน้า” ชูหยุนพูดขึ้น
หวังเย่าพยักหน้า “ใช่ เขาว่ากันว่าใจของผู้หญิงน่ะเหมือนกับทะเล”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” ชูหยุนพูดขึ้น
“งั้นเธอช่วยบอกฉันหน่อยสิ”
ชูหยุนทำท่าคิดสักพักก่อนจะตอบกลับ “งั้นเดินไปคุยไปก็แล้วกัน ”