================================
หลังจากที่ผมปิดประตู ความรู้สึกเศร้าก็แทรกซึมเข้ามาในใจผมเล็กน้อย
ผมยังคงปล่อยอดีตเหล่านั้นไปได้ไม่ทั้งหมด
ผมควรที่จะแค่พูดตอบกลับ แต่ผมกลับพูดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปมากมาย
มันไม่มีค่ามากพอที่ผมจะต้องไปเสียใจกับมัน
“แก…อย่ามาขวางทางฉัน–”
ผมพบว่า ชิโนซูกะซัง อยู่ตรงหน้าผม และเธอกำลังมองมาที่ ในที่สุด ผมก็รู้ตัวว่าผมยืนขวางประตูอยู่
เธอทำเพียงแค่มอง ในแววตาของเธอ ไม่ได้มีความคิดมุ่งร้ายแต่อย่างใด
“หลบไป…” เธอบอกผมอีกครั้ง
ผมหลบเธอ และเธอก็เดินเข้าไปในห้องเรียน
ผมคิดว่าเธอคงลืมอะไรบางอย่างไว้ในห้อง
ผมเดินไปยังห้องคอม ก่อนที่ชิโนซูกะซังจะเดินออกมาจากห้อง
ในตอนกลางวัน ผมกินมื้อกลางวันและอ่านหนังสือที่โต๊ะของผม ตามปกติ
ผมควรที่จะช่างหัวเรื่องของไซโตะซะ
มีนักเรียนแค่ไม่กี่คนที่เข้ามาคุยกับผม ในขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่
ผมไม่ชอบความวุ่นวายภายในห้อง ผมอยากจะไปกินมื้อกลางวันในที่ๆสงบ แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก
ตอนนี้นักเรียนในห้องน้อยกว่าปกติมาก นั่นเพราะหลายๆคนไปกินอาหารกลางวันกันนอกห้อง รวมถึงทำกิจกรรมต่างๆ ภายนอกห้อง ในเวลาพักกลางวัน
ซึ่งบริเวณรอบๆ ผมและชิโนซูกะซัง ก็ยังคงเงียบอยู่เช่นเคย
ไซโตะซังดูเศร้าซึม นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเพื่อนของเธอถึงเข้าไปหาเธอด้วยความเป็นห่วง
เห็นได้ชัดว่า ไซโตะซังไม่คิดที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับผม
แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมก็รู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องมองมาที่ผม ผมเดาว่าน่าจะเป็นนักเรียนชาย
มันเป็นสายตาแห่งความสงสัย ความอิจฉา และ…ความหึงหวง?
ผมควรที่จะลืมมันไปซะ แล้วนอนต่อดีกว่า
ผมปิดหนังสือของผมและตัดสินใจนอน ในขณะทีนักเรียนหญิงคนหนึ่งในห้อง…ซึ่ง ผมก็ไม่รู้จักชื่อของเธอ เดินมาที่โต๊ะผม
“เน่! ชินคุง มาทานอาหารกลางวันกับฉันไหม? โอ้! นายกินเสร็จแล้ว! งั้นพวกเรามาคุยกันดีกว่า!”
อยู่ดีๆ ระเบิดลูกใหม่ก็หล่นใส่ผม…. มันเหมือนกับว่า ความพยายามที่ผมสั่งสมมาถูกทำลายด้วยระเบิดที่ไม่รู้ว่ามันระเบิดมากี่ครั้งแล้วในอาทิตย์นี้…
มันเคยเกิดขึ้นกับผมตอนอยู่โรงเรียนมัธยมต้น
วันนั้นเป็นวันที่หนาวเหน็บ
วันนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับผมตอนที่ผมอยู่คนเดียว ผมจำนามสกุลของเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ เธอเรียกชื่อของเธอเองว่า นานาโกะ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไซโตะซัง ทำให้ผมไม่ชอบใครเลยรอบๆตัวผม รวมเธอคนนั้นด้วย (TSL: เหตุผลว่าทำไมมาโกโตะถึงบอกว่า จำชื่อสกุลไม่ได้ เป็นเพราะโดยปกติแล้วการเรียกชื่อของเพื่อนที่ไม่สนิทจะใช้ชื่อสกุลเรียก แต่เพราะมาโกโตะไม่อยากจะมีเพื่อน เลยไม่แม้แต่จะสนใจจำชื่อสกุลของใครเลย เขาอาจจะไม่อยากเรียกใครด้วยซ้ำ)
เธอเข้ามาหาผมทุกครั้งในเวลาพัก
นักเรียนทุกคนรอบๆตัวเธอพยายามที่จะห้ามเธอ เธออาจจะโดนทำร้าย ลวนลาม หลอกลวง และอาจถูกขืนใจ
แต่นานาโกะ ผู้หญิงที่ผมจำไม่ได้แม้แต่นามสกุลของเธอ ยิ้มและยังคงพยายามทำความรู้จักกับผม
กว่าที่ผมจะรู้ตัว ผมก็ได้ค่อยๆพูดถึง ความกังวลใจต่างๆภายในใจของผม ให้กับเด็กสาวผู้สดใสและไร้ซึ่งความกังวล อย่างเธอคนนั้น
มันไม่ได้หมายความว่าผมจะ…ชอบเธอหรืออะไรแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดเธอเช่นกัน อาจเป็นเพราะว่าผมเจอช่วงเวลาที่หนักหน่วงด้วยตัวคนเดียวมาตลอด
วันหนึ่ง เธอชวนผมไปคาราโอเกะด้วยกันกับเธอ
ผมลังเล การที่ผู้ชายและผู้หญิงอยู่ด้วยกัน 2 ต่อ 2 ในห้องเดียวกัน มันอาจจะทำให้เกิดข่าวลือที่เลวร้ายอีกครั้ง
เธอพูดว่าเธอจะพาเพื่อนของเธอไปด้วย
ผมหวังว่าสิ่งนี้จะทำให้ผมกลับไปใช้ชีวิตเหมือนปกติได้
ใช่ ตอนนั้นผมยังคงอ่อนต่อโลก ผมไม่สามารถที่จะผ่อนคลายตัวเองได้เลย
“นายคือคนที่กินข้าวกับนานาโกะใช่ไหม? นายดูเป็นผู้ชายที่มืดมนนะ หรือว่าไม่ใช่? นายแม่งน่าขยะแขยงวะ”
“มองหานานาโกะหรอ? คิดว่าเธอจะมาเหรอ?”
“ฉันหมายถึงว่านายควรที่จะหยิบกระเป๋าและออกไป พวกฉันจะได้ร้องคาราโอเกะกัน”
ผมเข้าใจแล้ว ผมได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ใช่ครับผมถูกหลอก ถูกหักหลัง มันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ผมโดนแบบนี้ แต่ผมก็ยังคงไม่จำ
ผมไปยังห้องที่นัดเอาไว้ และผมพบกับกลุ่มนักเที่ยวกลางคืน ผมว่าพวกเขาน่าจะเป็นนักเรียนที่มาจากโรงเรียนอื่น
หนึ่งในนักเที่ยวกลางคืนกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคน
เขาเปิดเสียงลำโพงจากมือถือของเขา
“โอ้! นายได้ยินเสียงที่ฉันพูดไหม ชิน? ฉันไปไม่ได้…แต่ถ้านายอยาก นายสามารถที่จะร้องคาราโอเกะกับพวกเขาที่อยู่ที่นั่นได้ ทุกคนเป็นคนดี!”
มันเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคย
ผมเข้าใจ ผมจะร้องคาราโอเกะกับพวกเขา…หืม?
เสียงร้องเพลงในห้องคาราโอเกะดังขึ้นปลุกสติของผมอีกครั้ง นั่นทำให้ผมรู้ว่าตอนนั้น…ผมได้ถูกไล่ออกมาแล้ว
ผมเกลียดตัวเองที่ทำในสิ่งที่ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผมจำไม่ได้แล้วว่า ผมออกมาจากห้องนั้นได้ยังไง ผมได้รับความรู้สึกเดียวกับที่ผมได้รับจากครอบครัวอีกครั้ง ผมคิดว่าถ้าน้องสาวผมรู้ เธอคงสนุกที่จะเล่ามันให้พ่อแม่ของผมฟัง…
ไม่มีน้ำตาที่จะให้ไหลออกมาอีกแล้ว ในทางกลับกันความทรงจำในอดีตของผมกับไซโตะซังกลับมาอีกครั้ง นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวผมเริ่มสั่น และความเจ็บปวดเริ่มเข้ามาแทรกซึมใจของผมอีกครั้ง
“เน่ๆ ชินคุง นายดูห่างเหินนะ ทุกอย่างปกติดีใช่ไหม?”
ผมโอเค ผมสบายดี ไม่ต้องสนใจผม
ผมพูดกับเธอด้วยรอยยิ้มจอมปลอมของผม
“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ผมอ่านหนังสืออยู่….”
“ใช่ แต่นายปิดหนังสือนั่นแล้ว ใช่ไหม? เรามาคุยกันดีกว่า!”
ผมรู้ว่าเธอไม่ได้คิดร้ายอะไร ผมต้องไม่ใจอ่อน ถ้าผมใจอ่อนอาจจะต้องเสียใจอีก
แต่ไม่ว่ายังไง เธอยังคงเป็นเด็กสาวที่มีบางสิ่งเก็บซ่อนไว้ ผมก็ยังคงไม่รู้ชื่อของเธออยู่ดี
ผมเหลือบมองไปยังคนที่นั่งข้างผม ชิโนซูกะซัง
-ผมควรจะทำอย่างไร ถึงจะสามารถรอดพ้นจากเหตุการณ์นี้ได้โดยไม่มีปัญหาตามมา?
ชิโนซูกะซังดูเหมือนจะรำคาญบทสนทนาของพวกผม สังเกตุได้จากรอยย่นระหว่างคิ้วของเธอ
เธอดูน่ากลัว แต่ผมเข้าใจว่านั่นคงเป็นบุคคลิกของเธอ
ผมพูดออกไปแบบที่ไม่ได้คิด
“ชิโนซูกะซัง ผมอ่านหนังสือของผมเสร็จแล้ว ผมขออ่านของคุณได้ไหม?”
“เอ๋? ชิโนซูกะซัง?”
ผมไม่รู้ว่าทำไมผมพูดแบบนั้นออกไป ผมเชื่อว่าเธอคงต้องการความสงบและเงียบเช่นกัน
“อืม เอาไปสิ”
ชิโนซูกะให้หนังสือกับผมด้วยสีหน้ารังเกียจอย่างยิ่ง…
ผมสามารถอ่านความหมายจากหน้าของเธอได้ว่า “อย่าลากตูไปเอี่ยวด้วย” จากสีหน้าของเธอ
เธอไม่ได้โยนหนังสือให้ผม แต่วางมันอย่างทะนุถนอมผิดคาด
ผมก็ให้หนังสือของผมกับเธอด้วยรูปแบบเดียวกัน
“ขอบคุณมากครับ”
หลังจากนั้นพวกเราก็ต่างคนต่างอ่านหนังสือที่ได้มาในความเงียบ
ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมกับชิโนซูกะซัง เธอเกลียดมัน และก็มีข่าวลือไม่ดีมากมายเกี่ยวกับเธอ
เราไม่รู้ความจริงอะไรเกี่ยวกับเธฮเลย แต่ผู้คนมักเชื่อในข่าวลือเสมอ
ผมต้องการให้ “ผู้คน” ที่ว่า อยู่ห่างจากผมให้มากที่สุด
นักเรียนหญิงในห้องของผม…ซึ่งผมไม่รู้นามสกุลของเธอ มองที่พวกเราสลับกันไปมา ก่อนที่จะเดินกลับไปหาเพื่อนๆของเธอ
ตอนนี้เมื่อผมนึกถึงมันอีกครั้ง ผมควรที่จะละเลยเธอและเดินออกไปไกลๆ
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่
เมื่อเธอคนที่ผมไม่รู้นามสกุล (TSL : ย้ำชิบหาย5555555) เดินออกไป ผมกับชิโนซูกะซังก็คืนหนังสือของกันและกัน
“มิยู ตอนนี้เธออารมณ์ดีขึ้นแล้วสิน้าาา วันนี้เราไปคาราโอเกะกัน”
“ไปกันเถอะ มิยู เดี๋ยวฉันเลี้ยงค่าเครื่องดื่มเอง”
“ถ้ามิยูต้องการอะไรบอกพวกเราได้นะ โอเคไหม? พวกเราเป็นเพื่อนของเธอและเราจะปกป้องเธอ”
“อืม เข้าใจแล้ว เราไปคาราโอเกะกันเถอะ!”
กลุ่มของเธอล้วนเป็นคนที่ชอบเที่ยวกลางคืน พวกเขามีเล่ห์เหลี่ยมเพื่อใช้ต่อสู้กัน
-รีบกลับบ้านดีกว่า ผมไม่อยากยุ่งกับใคร ผมต้องอัพนิยายของผมวันนี้ ผมได้เขียนไว้ที่หน้าประกาศแล้วว่าผมจะลงมันในคืนนี้
ผมได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
ผมอยากที่จะไม่สนใจมันถ้าผมทำได้อะนะ
“โอ…นี่…จัง!!! กลับบ้านกันเถอะะะะะ วันนี้แม่สั่งให้หนูซื้อของเยอะแยะเลยยยย และหนูอยากให้พี่ไปช่วยหนูถืออออ”
ผมไม่สามารถที่จะไม่สนใจเธอได้ เพราะเธอคือครอบครัว… ถ้าผมไม่สนใจเธอ ผมเชื่อว่าปัญหาจะเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน
น้องสาวของผมเข้ามาในห้องของผม
มันเป็นครั้งแรกที่เธอทำแบบนี้
แต่ถ้าเป็นเรื่องของครอบครัว ผมไม่มีทางเลือกแต่…ผมต้องทำมัน
“เข้าใจแล้ว เอารายการของที่ต้องการมา เดี๋ยวผมจะไปซื้อให้ เธอกลับไปรอที่บ้านเถอะ ฮารุกะ”
“เอ๋! อ่า อืม รายการของ…ที่แม่สั่งให้ซื้อ..นั้น…อยู่ในหัวของหนู! แต่หนูทำใบที่หนูจดไว้หาย ดังนั้นไปด้วยกันเถอะ…”
ถ้าพูดถึงสาเหตุน่าจะเสียเวลา ผมเลยต้องทำตามที่เธอบอก
“เข้าใจแล้ว…”
ผมลุกออกจากที่นั่งของผม
มีสายตานักเรียนชายหลายคนที่จ้องมองมาที่ผม พวกเขาคงอิจฉาที่ผมมีน้องสาวที่สวยน่ารักแบบนี้
นั่นทำให้ผมลำบากใจมาก…
มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่? ตั้งแต่ที่ผมโตขึ้นมา ผมตั้งใจที่จะโฟกัสแค่เรื่องการใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนโดยไม่ให้มีผลร้ายกระทบต่อครอบครัว ผมแต่งนิยายของผมเป็นงานอดิเรกในเวลาว่าง นั่นคือทั้งหมดที่ผมทำ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็มีแต่เหตุการณ์สารภาพผิดและการพบเจอที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติมากมาย และมันเป็นแบบนั้นมาตลอด…
ดวงตาที่อิจฉาของเหล่านักเรียนชายทิ่มแทงมาที่ผม
ผมทำได้เพียงแค่ยิ้มด้วยรอยยิ้มจอมปลอมของผม และนั่นทำให้การจ้องมองที่ทิ่มแทงเบาบางลง
ใช่ มันคือสิ่งสำคัญที่จะต้องปล่อยมันไป
พวกเราเดินออกจากโรงเรียน
ผมเดินตามหลังน้องสาวของผมโดยทิ้งระยะห่างประมาณ 2 ก้าว
‘ถ้าผมเดินเคียงข้างน้องสาวผม ทุกคนอาจจะคิดว่าผมเป็นอาชญากร และอาจจะเกิดปัญหาตามมาในอนาคต’
‘พวกลวนลามที่น่าขยะแขยง ออกมาจากเขาคนนั้นเดี๋ยวนี้’
‘ฮารุกะที่น่าสงสาร เธอไม่ควรที่จะเดินเคียงข้างคนเลวๆแบบนั้น’
มันอาจจะเป็นแบบนั้น ผมเลยตัดสินใจที่จะเว้นระยะห่างระหว่างผมกับน้องสาวและแม่ไม่แท้ เพื่อไม่ให้พวกเธอโกรธผมอีก
อีกอย่างน้องสาวของผมนั้นก็มิต่างจากตัวหายนะเดินได้ เธอสามารถสร้างความชิบหายให้ผมได้ทุกเมื่อ
“เห้ๆ ทำไมพวกเราไม่มาเดินข้างกันละโอนี่จัง? ทำไมพี่เดินห่างจากหนูจังละ!”
ไม่ว่ายังไงผมก็ยังคงมองว่าระยะนี้เป็นระยะที่เหมาะที่สุด
เมื่อไหร่ที่น้องสาวผมหยุดเดิน ผมก็จะหยุดเดินเช่นกัน
ถ้าน้องสาวของผมพยายามจะเข้าใกล้ผม ผมก็จะถอยออกไป
“…มันหน้าน้อยใจนะพี่!”
“ผมขอโทษนะ แต่ถ้าผมเข้าใกล้มากกว่านี้ แม่จะไม่พอใจเอา”
เมื่อผมพูดถึงแม่เลี้ยง น้องสาวผมก็ทำใบหน้าขมขื่นเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มเดินอีกครั้ง ท่าทางเธอในตอนนี้ช่างเหมือนแม่ของเธอเสียนี่กระไร
“เน่ๆ เดี๋ยวหนูช่วยถืออันนึงนะ มันหนักใช่ไหมล่ะ?”
ผมนำสิ่งต่างๆที่ซื้อมาตามที่น้องสาวสั่งใส่ในตะกร้า และเดินหาของอื่นๆ อย่างรวดเร็ว โดยแยกกันกับน้องสาว นั่นเป็นวิธีที่ทำให้การซื้อของเสร็จเร็วที่สุด
น้องสาวผมดูเหมือนจะตกตะลึงกับความเร็วในการซื้อของของผม แต่นั่นคือสิ่งที่ผมทำมาโดยตลอด
“ไม่เป็นไร ถ้าผมให้คุณถือของเหล่านี้ แม่คงโกรธมาก”
“อ่า อืม งั้นกลับบ้านกันเถอะ”
ผมและน้องสาวเดินออกมาจากห้างด้วยกัน แต่ก็เช่นเดิมผมทิ้งระยะห่างในการเดินกับเธอ
ในระยะห่างนี้เป็นระยะที่ปลอดภัยในความคิดผม
“โอ้ นั่นมันแยงกี้นี่นา…น่ากลัวจัง”
ชิโนซูกะซังยังคงใส่ชุดนักเรียนและกำลังถือถุงของห้างสรรพสินค้า ผมเดาว่าเธอคงไปซื้ออะไรสักอย่างในห้างเช่นกัน ตอนนี้เธอกำลังเดินและอยู่ด้านหน้าของผม
เธอดูไม่พอใจมากนักเมื่อมองโทรศัพท์ของเธอในมือ
“ช่างน่ากลัว…เอ๊ะ! นั่นมัน ชุดนักเรียนโรงเรียนเรานิ!”
สายตาของผมกับชิโนซูกะได้สบกัน ดวงตาและรอยย่นที่คิ้วเช่นเดียวกับที่ผมเคยเห็นในห้องเรียน จะแตกต่างก็เพียงใบหน้าของเธอที่ใกล้มากกว่าตอนที่พวกเราอยู่ในห้องเรียน
ผมพยายามที่จะยิ้มด้วยรอยยิ้มจอมปลอมแบบที่ผมเคยทำ แต่ผมทำไม่ได้
ใช่ครับ ผมทำไม่ได้…
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ทำไม่ได้
ผมทำได้เพียงแค่ใบหน้าที่เรียบเฉย ผมแปลกใจที่ผมไม่มีความคิดที่จะซ้อนความรู้สึกที่แท้จริงของผมกับคนๆนี้?
และพวกเราก็เดินผ่านกันโดยไม่ได้พูดอะไร
ไม่มีคำทักทาย ไม่มีอะไรเลย เราแค่สบตากันเพียงเท่านั้น
มันเป็นความสมดุลที่ทำให้ผมรู้สึกว่าสบายใจ…
“นี่ๆ พี่จ๋า เธอมาจากโรงเรียนเราหรอ? อ๋าาา เธอคือแยงกี้ที่หนูเคยได้ยินในข่าวลือสินะ เธอมีสายตาที่น่ากลัวมากเลยยย หนูหมายถึง พวกแยงกี้ไม่ได้เรื่อง!”
“…” (TSL : พระเอกพูดกับตัวเอง ด้วยน้ำเสียงที่เบาจนน้องสาวไม่ได้ยิน)
“หืม? เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไรนะ? เข้ามาพูดใกล้หนูหน่อยเซ่!”
คำพูดที่น่าเบื่อของน้องสาวผมเข้ามาในหูของผม (TSL : น่าจะพูดว่า “น่ารำคาญ” อะไรประมาณนั้น)
ขณะที่พวกเรากำลังเดินผ่านสวนสาธารณะ
“นี่ พี่จ๋า! สวนสาธารณที่นี่เป็นที่ๆเราเคยเล่นกันตอนเด็กนิ ตอนนั้นพวกเราสนุกกันมากเลยนะ”
“กลับบ้านเถอะ”
“มาสิพี่ มาเล่นกันแบบที่เราเคยเล่น”
น้องสาวผมวิ่งเข้าไปในสวนสาธารณะ
ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากตามเธอเข้าไป
“นั่นๆ หนูจำได้ว่าหนูเคยมาสร้างปราสาททรายกับพี่ที่นี่”
“ใช่ เราเคยทำ”
ผมจำได้ แต่นั่นไม่ใช่ความทรงจำที่ผมอยากจำ
ของที่ผมถือมันหนักมาก…และมันกำลังทำให้แขนผมเจ็บ ผมอยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด ผมอยากจะอัพเดทนิยายของผม พวกนักอ่านกำลังรอผมอยู่
อยู่ดีๆ น้องสาวของผมก็เงียบไป
“เห้ พี่จ๋า ทำไมกัน? ฮารุกะและพี่ชายไม่สนิทกันเหมือนตอนนั้นแล้วมันเพราะเรื่องนั้นหรอ?”
(TSL : เรื่องนั้น คงน่าจะหมายถึงเรื่องที่ตัวเองพูดว่า ใส่ไฟให้พี่ชายเป็นตัวร้าย)
“หืม?”
มันช่วยไม่ได้ที่ผมจะส่งเสียงแปลกใจ ผมว่าผมกำลังตกตะลึง
“หนูรู้ โอนี่จังสนใจแต่ชิซูกะจัง ไม่เคยสนใจหนูเลย… นั่นคือเหตุผลที่หนูอยากให้พี่เห็นหนูสำคัญในสายตาบ้างในตอนนั้น…หนูเลยทำเรื่องบ้าๆแบบนั้นไป….”
ผมรู้สึกว่า เธอคงแยกไม่ออกระหว่างสิ่งที่ถูกและสิ่งที่ผิด
เชื่อในข่าวลือและทำร้ายจิตใจผม พูดใส่ร้ายผม
ผมไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ผมทำนั้นไปทำร้ายใคร
น้องสาวผมนั่งบนชิงช้าและยังคงพูดต่อไป
“มันเป็นความผิดของพี่จ๋าที่ไม่สนใจในตัวหนู พี่น่าจะรู้? แต่ตอนนี้หนูรู้แล้วว่าข่าวลือเกี่ยวกับพี่ชายนั้นไม่จริง มันไม่มีทางที่พี่ชายที่แสนแท่ของหนูจะทำแบบนั้น! หนูเป็นคนเดียวที่เชื่อในตัวพี่นะ!”
น้องสาวผมกระโดดลงมาจากชิงช้าที่เธอเคยนั่งอยู่
ชิงช้ายังคงส่งเสียงที่บ่งบอกถึงความเก่าของมัน
ผมเฝ้ามองมัน
ผมทำใจให้สงบ ผมไม่อยากที่จะทำผิดพลาดอีก
รอยยิ้มจอมปลอมถูกสร้างขึ้นอีกครั้งบนใบหน้าผม
มันผิดที่ผมจะพูดก้าวร้าวกับคนในครอบครัว
และใช่ ผมทำมัน
“ผมขอโทษ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปได้โปรดอย่าเรียกผมว่า พี่จ๋า ….อดีตมันไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ฮารุกะ กลับบ้านเถอะ”
ความสับสนปรากฎบนใบหน้าของเธอ
มันเหมือนกับว่าเธอไม่เข้าใจคำพูดของผม
เธอคงลืมสิ่งที่เธอเคยทำและเคยพูดในอดีตไปแล้วใช่ไหม?
“ผมขอโทษ แต่ว่าของที่ซื้อมากำลังจะละลาย ผมขอกลับบ้านก่อนละกัน กลับบ้านดีๆละ”
“เอ่! พี่ชาย…”
ผมเริ่มออกวิ่ง ผมไม่คำนึงถึงน้ำหนักของถุงใส่ของที่อยู่ที่แขนของผมอีกต่อไป
ผมเริ่มวิ่ง และผมก็เริ่มหายใจเร็วขึ้น
ความเจ็บปวดทางกายของผมกำลังกลืนกินตัวผม
ในใจของผมตอนนี้มีแต่ความว้าวุ่น และการแต่งนิยายของผมไม่ดีเท่าที่ผมเคยทำได้
ผมได้รับข้อความแจ้งเตือน
มันมีข้อความส่งมาถึงผม
ชื่อ : โปเมโกะ (TSL : ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าหมาปอมเมอริเนียน)
เรื่อง : ให้กำลังใจผู้แต่ง
‘การอัพเดทในวันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น ฉันอยากรู้แล้วว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไง! ฉันเป็นคนที่มืดมนมากเมื่ออยู่ที่โรงเรียน นิยายของคุณเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยฉัน ขอให้โชคดี’
เมื่อผมได้รับข้อความนี้ ผมตัดสินใจที่จะพักการเขียนนิยายไว้ก่อนในตอนนี้
ผมได้ปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงของผมอีกครั้ง
‘ขอบคุณนะ โปเมโกะ’
ในคืนนั้น ผมได้ยินเสียงสะอื้นไห้มาจากห้องน้องสาวผม
“มัน..มัน..หมายความว่า..ฮึก…ทำไมกัน…ทำไม!! พี่ชายถึง…”
=================================