================================
ตอนผมยังเด็ก ผมเป็นคนที่สร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อนคนอื่นๆในห้อง
ผมชอบที่จะโวยวายและทำอะไรโง่ๆ เพื่อให้ทุกคนในห้องหันมาสนใจผม
นอกจากนี้ ผู้หญิงที่ผมชอบก็ยังหัวเราะเยาะกับสิ่งโง่ๆที่ผมทำด้วย ทำให้ผมมีความสุขมาก
วันหนึ่ง ผมกับเพื่อนสมัยเด็ก ชิซูกะ มิยาซากิ ได้วิ่งและเล่นด้วยกันเหมือนทุกๆวัน แต่แล้วในขณะที่ผมกำลังวิ่งเล่นกับเธอนั้น เธอก็ล้มลง หัวเข่าของเธอถลอกปอกเปิกไปหมด และเริ่มมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลของเธอ ความเจ็บจากบาดแผลที่ได้รับทำให้เธอเริ่มที่จะร้องไห้
ผมเสียใจมาก…ผมพยายามที่จะขอโทษเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผมรู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆเริ่มเลวร้ายลง
[นายทำบ้าอะไรลงไป? ขอโทษเธอซะ!]
[นายมันแย่ที่สุด!…ฉันเห็นนายผลักเธอล้มลง!]
[ให้ฉันช่วยพยุงนะชิซูกะจัง!] (TSL : JP เรียกชิสึ)
ผมนึกขึ้นได้ว่า ในกระเป๋าผมมีพลาสเตอร์อยู่ ผมลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะไปหยิบมัน…
[อย่าหนีนะ! นายยังไม่ได้ขอโทษเธอเลย!]
[ใช่! นายควรขอโทษชิซูกะจังก่อน!]
[…ชิซูกะ ฉันจะพาเธอไปห้องพยาบาลเอง!]
คำพูดและความเกลียดชังของเพื่อนๆในห้องเข้าทิ่มแทงหัวใจของผม
ผมอยากจะตะโกนออกไปว่า มันไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่จะไปหยิบพาสเตอร์ในกระเป๋า
และเรื่องทั้งหมดก็ไม่ใช่อย่างที่เพื่อนๆคิดทั้งหมดมันเป็นแค่อุบัติเหตุ ทำไมเรื่องทั้งหมด…มันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้!?
ในตอนนั้น ผมก็ได้เข้าใจแล้วว่า ความหมายของสำนวนที่ว่า ตกกระไดพลอยโจร คืออะไร….
[หมอนั่นไง คนที่ผลักชิซูกะจังล้ม]
[หมอนั่นฉีกสมุดโน้ตของผมด้วยนะรู้ไหม?]
[เขาว่าผมน่าเกลียดด้วยละรู้ไหม?]
[ไอ้หมอนั่นมัน!! คนที่ขว้างก้อนหินใส่ผมนิ!!]
มันเป็นความจริงที่ผมอยู่ในตอนที่ชิซูกะจังล้ม แต่ผมไม่ได้เคยไปอยู่รวมกับเหตุการ์ณอื่นใดเลยนอกจากเหตุการ์ณนั้น
ไม่มีใครเชื่อผม ยิ่งผมปฏิเสธ ทุกคนก็จะยิ่งคิดว่าผมแก้ตัว แต่ถ้าผมเงียบ สุดท้ายแล้วข่าวลือพวกนั้นก็จะเป็นจริง….
ผมไม่รู้ว่าผมควรต้องทำยังไงเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านั้น สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะเงียบ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ
ไม่นานข่าวลือเรื่องของผมก็กระจายไปทั่วทั้งโรงเรียน
ผมทำให้ชิซูกะร้องไห้ สุดท้ายแล้วผมก็ถูกมองว่าเป็นตัวร้ายในละครหลังข่าว ไม่ใช่เพียงแค่ในสายตาของคนในห้อง แต่ยังรวมถึงคนทั้งโรงเรียนด้วย
นักเรียนจากห้องอื่นเข้ามาหาผม ชี้นิ้วมาที่ผมและว่าผมด้วยคำพูดหยายคาย เสียดสี ทุกรูปแบบ
สายตาของชิซูกะจังที่มองผมก็เย็นชาขึ้นเช่นกัน บางทีเธออาจจะคิดว่าผมก้าวร้าว ผมเดาว่าเธอคงเกลียดผมไปแล้ว
รักแรกของผมจึงได้จบลงในตอนนั้น
ทุกคนมองว่าผมเป็นคนโกหก ก้าวร้าว ชอบทำร้าย และลวนลามผู้หญิง
ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนว่าผมกำลังจะเป็นบ้า ไม่มีใครเชื่อคำพูดของผม ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง
ชิซูกะจังไม่พูดอะไรกับผมอีกเลยนับแต่นั้น ข่าวลือเรื่องผมถูกทำให้เชื่อว่าเป็นจริง
ไม่ใช่แค่ที่โรงเรียน แม้แต่ครอบครัวของผม พ่อผมที่พึ่งแต่งงานใหม่กับแม่เลี้ยงเจ้าอารมณ์ พวกเขาเป็นคนที่เข้มงวดมาก ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับผม พวกเขาโกรธและตำหนิผมพวกเขาบอกผมว่า ไม่ควรทำร้ายผู้หญิง
พวกเขาสอนว่า ผมไม่ควรทำร้ายใคร…แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า พวกเขากลับกำลังพูดจาทำร้ายลูกตัวเองอยู่…มันช่างย้อนแย้งกับสิ่งที่พวกเขาสอนเสียนี่กระไร
เพราะพวกเขาเป็นพ่อแม่…ผมเลยเถียงอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือ…เก็บสิ่งที่ผมอยากจะพูดไว้ในใจ
พวกเขาไม่เชื่อผมอยู่แล้ว พวกเขาไม่เชื่อใจลูกของพวกเขาเลย
พ่อและแม่เลี้ยงรักน้องสาวคนละแม่ของผมมากพวกเขาดูแลเธอเป็นอย่างดี ชนิดที่เรียกได้ว่า ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ผมเคยคิดว่า มันเป็นเรื่องที่ดีที่พวกเขาจะทำแบบนั้นกับลูกๆของพวกเขา
ผมถูกบอกเสมอว่า “ลูกเป็นพี่ชายของเธอ ลูกต้องอดทนและรับฟังเธอ ไม่ว่าเธอจะทำเรื่องแย่แค่ไหน ลูกก็ต้องยอมรับเธอ” ถึงแม้ว่าเธอจะเรียนอยู่ปีเดียวกับผม และผมนั้นก็เกิดก่อนเธอเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่ผมก็ยังต้องให้ทุกอย่างกับเธอก่อน….
น้องสาวของผมพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมที่โรงเรียนด้วยการเสริมเติมแต่งเหตุการ์ณบางส่วนให้มันดูเลวร้ายลงมากๆ และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อและแม่เลี้ยงตำหนิผม
ตั้งแต่นั้นมา บ้านก็ไม่ใช่ที่ที่ผมอยู่แล้วรู้สึกอบอุ่นอีกต่อไป
หากพวกเขาไม่เชื่อใจผม ก็ได้…ผมจะไม่ก่อปัญหาอะไรก็ตามที่อาจทำให้พวกเขาต้องกังวลกับลูกที่ไม่เอาไหนอย่างผม ผมจะไม่คุยกับพวกเขา นี่คือจุดยืนของผม ผมยังคงอ่อนต่อโลก ผมเตือนตัวเองอยู่เสมอ
ผมจะใช้เวลาในช่วง ม.ต้น อยู่คนเดียวเงียบๆ และไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครทั้งนั้น
มีคนที่โดดเดี่ยวเช่นเดียวกับผมเช่นกัน พวกเขาและผมก็ต่างพยายามที่จะทำตัวไม่โดดเด่นและตกเป็นเป้า
การอ่านหนังสือเงียบๆคนเดียวในห้องสมุดกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมในเวลาต่อมา
ผมมีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น มีสาวแว่นที่เป็นเพื่อนร่วมห้องอีกคนอยู่ในห้องสมุดเช่นกัน เธอมีชื่อว่า ไซโตะซัง
ตอนแรกผมไม่เคยมีความคิดที่จะคุยกับเธอเลย แต่เป็นเพราะว่าผมเห็นเธอลืมมือถือไว้บนโต๊ะ แล้วเธอกำลังจะเดินออกไปจากห้องสมุดแล้ว
ตอนนั้นผมสับสน ผมไม่อยากถูกเข้าใจผิดอีก แต่…. ผมก็ไม่ได้คุยกับใครมานานแล้ว แม้ว่าผมจะทำตัวเหมือนว่าเข้มแข็ง แต่ผมรู้ว่า ส่วนลึกๆในใจผมนั้นเหงามากเพียงใด
ผมตัดสินใจหยิบมือถือของไซโตะซัง และเดินเข้าไปหาไซโตะซัง
เธอดูโล่งใจเมื่อเห็นมือถือในมือของผม และพูดว่า [ขอบคุณ..ฉันลืมมันไปเลย] ผมยิ้มอย่างโล่งใจเช่นกันที่เธอไม่เข้าใจผมผิด
นับแต่นั้นมาผมก็เริ่มพูดคุยกับไซโตะซังมากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนั้นผมมีความสุขมาก ในที่สุดผมก็มีเพื่อน ผมเจอเพื่อนแล้ว นั่นทำให้ผมลืมเรื่องราวต่างๆในอดีตไปชั่วขณะ
ประตูที่ถูกปิดตายในใจผมได้เปิดออกมาอีกครั้ง ผมลืมเลือนสิ่งที่คนอื่นทำกับผมในอดีตไปชั่วขณะ ผมกำลังดื่มดำกับความสุขที่ห่างหายมานาน
ผมไม่ต้องการที่จะจดจำอีกต่อไป มันเจ็บที่จะเชื่อใจคนอื่น
แต่แล้วอดีตก็ซ้ำรอยเดิม มีข่าวลือว่าผมพยายามที่จะทำร้ายไซโตะซัง มันเป็นแบบนั้นเสมอ
ทุกครั้งที่ผมเชื่อใจใคร จะมีบางอย่างเกิดขึ้นเพื่อทำร้ายจิตใจผม
ไม่ใช่แค่เฉพาะ ชิซูกะจัง ไซโตะซัง และฮารุกะ ที่เป็นน้องสาวต่างแม่ของผมเท่านั้น…ยังมีอีกมากมาย
ผมเกลียดตัวเองที่พยายามจะเชื่อใจคนอื่น แม้ว่าทุกครั้ง คนที่จะต้องเจ็บคือผม
ผมเกลียดตัวเองที่เอาแต่มองโลกในแง่ดี และแสร้งทำตัวเองให้เข้มแข็ง
ถึงผมจะทำอย่างนั้น….แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็กลับกลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจในที่สุด
[มาโกโตะ เดินทางปลอดภัยนะลูก แม่หวังว่าลูกจะเข้ากับเพื่อนๆในห้องใหม่ของลูกได้นะ]
[ครับผม]
แม้ว่าตอนนี้ผมจะเป็นนักเรียนม.ปลายแล้ว แต่ผมก็ยังถูกมองว่าเป็นคนแปลกหน้าในครอบครัว
ผมแสร้งทำตัวเป็นเด็กเรียนที่จริงจัง เพื่อไม่ให้พวกเขาไม่ต้องมากังวลว่าผมจะไปก่อปัญหาอะไรให้พวกเขาอีก
[เดี๋ยวก่อนสิ! พี่จ๋า! ฮารุกะบอกว่าจะไปโรงเรียนกับพี่ชายไม่ใช่หรอ? ดีจังเลบที่พวกเราอยู่โรงเรียนเดียวกัน!]
[ขอโทษนะ ฉันมีเรื่องต้องไปทำ ขอตัวก่อน]
[เอ๋? พี่…]
ไม่มีใครสนใจสิ่งที่ผมทำในตอนเด็ก พวกเขาคงจะลืมเกี่ยวกับมันไปหมดแล้ว ยกเว้นเพียงแต่คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวลือของผมโดยตรง
หลังจากที่ผมตัดสินใจเข้าโรงเรียนมัธยมที่เดียวกับน้องสาวต่างแม่ เธอก็เริ่มที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตผมมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง พ่อและแม่เลี้ยงก็หันมาสนใจตัวผมเช่นกัน แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่คิดที่จะทำผิดอีกต่อไปแล้ว ผมไม่เชื่อใจใครอีกแล้ว
ผมสร้างกำแพงขึ้นมาในใจ และผมก็จะอยู่เพียงแต่ในนั้น
ตอนนี้ผมอยู่ม.ปลายปีหนึ่ง ผมถูกเรียกว่าเป็นไอ้หนุ่มมืดมนไร้เพื่อน หลังจากที่ผมเข้าเรียนได้พักหนึ่ง ผมก็เริ่มผ่อนคลาย และใช้ชีวิตที่สันโดษอย่างสงบสุข
[มาโกโตะ ฉ…ฉันชอบนาย ช่วยคบกับฉันได้ไหม?]
คำสารภาพรักแบบนี้เกิดขึ้นกับผมมานับครั้งไม่ถ้วน ผมคิดว่ามันไม่มีปัญหาอะไร ถ้าผมตอบไปอย่างระมัดระวัง
[ผมขอโทษ ผมไม่สามารถคบกับคุณได้ ครอบครัวของผมไม่พร้อม]
ตอนที่ผมอยู่ ม.ต้น ผมตื่นเต้นดีใจจนหน้ามืดตามัว และสุดท้ายคนที่เจ็บปวดก็คือผม ดังนั้น…ผมจะไม่ทำพลาดอีกแล้ว!
ผมไม่อยากถูกเข้าใจผิดอีก ผมต้องการคนที่จะอยู่ใกล้ๆ และเป็นพยานให้ในทุกการกระทำของผมผมจึงจำเป็นที่จะต้องขอร้องอาจารย์ให้มาคอยดูผมห่างๆ อย่างเงียบๆ เพื่อที่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นตามมา อาจาร์ยจะสามารถเป็นพยานและช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดให้ผมได้
ถึงผมจะยอมรับคำสารภาพของเธอคนนั้น และคบกับเธอคนนั้นเพียงไม่กี่วัน มันอาจจะเป็นผมที่ต้องกลับไปทนทุกข์ทรมาณอีก แผลใจที่กำลังสมานก็อาจจะกลับมาปริแตกเป็นทางยาวอีกครั้ง ผมจะไม่เดินไปในทางที่ผิดอีกแล้ว
เธอคนที่มาสารภาพรักกับผมวิ่งออกไปทั้งๆที่เธอยังคงร้องไห้อยู่
[อืม…ผมผ่านมันมาได้ ขอบคุณอาจารย์ที่มาช่วยเป็นพยานให้ผมด้วยครับ]
อาจารย์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เดินออกมาแล้วถอนหายใจ
[ทำไมเธอไม่เชื่อใจคนอื่นเลย เธอจะไม่มีวันมีเพื่อนถ้าเธอยังเป็นแบบนี้ มาโกโตะ]
[ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่สละเวลาอันมีค่ามาเพื่อเป็นพยานให้ผม งั้นผมขอตัว—]
[นี่! เดี๋ยวก่อนสิ! ฟังที่อาจารย์พูดก่อนสิ—]
ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจอาจารย์ แต่ก็ไม่มีใครคนไหนที่ผมสามารถเชื่อใจได้จริงๆ นี่เป็นเพียงวิธีการที่ผมจะทำเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ผมคิดว่าหากมีผู้เห็นเหตุการณ์เป็นพยาน ผลกระทบของข่าวลือที่จะตามมาอาจจะน้อยลงบ้างไม่มากก็น้อย
ผมโค้งคำนับอาจารย์ และเดินไปที่ประตู
ผมไม่ต้องการคำขอโทษจากสิ่งที่พวกเขาทำหรือการเมินเฉยต่อความจริงที่พวกเขาได้รับรู้
ผมมีชิซูกะ มิยาซากิ มิยู ไซโตะ และน้องสาวไม่แท้ที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของผมที่โรงเรียนนี้ ผมไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีก ผมคิดอย่างนั้น
ผมได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากด้านหลัง
[โย่! มาโกโตะ! กลับบ้านกันเถอะ! นานๆพวกเราจะได้กลับบ้านด้วยกันสักที]
ชิซูกะ มิยาซากิ คุยกับผมด้วยใบหน้าที่เฉยเมย นั่นทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดล็กน้อย
ผมแน่ใจว่าเธอไม่คุยกับผมเลยจนจบมัธยมต้น
ท ำ ไ ม ถึ ง ม า คุ ย กั บ ผ ม ต อ น นี้ ?
เธอพูดไปเรื่อย ราวกับว่าในอดีตไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน
ผมตัดสินใจกลับบ้านโดยไม่ใส่ใจถึงการมีตัวตนอยู่ของเธอ
มิยาซากิเดินตามผมมา
มันเป็นย่านที่มีนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผมอาศัยอยู่เพียงไม่กี่คน
ซึ่งมิยาซากิกับผมนั้นอาศัยอยู่บ้านใกล้กัน
เมื่อผมเดินมาถึงหน้าบ้าน ผมก็รีบเปิดประตูบ้านเพื่อที่จะเข้าบ้านโดยเร็วที่สุด
[เธอกลายเป็นคนที่มืดมนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เธอไม่มีเพื่อนเลย งั้นก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเธอไม่มีเพื่อน ฉันจะเป็นเพื่อนกับเธอให้ก็ได้ ตกลงไหม?]
มิยาซากิปฏิเสธที่จะกลับบ้านของเธอ และพูดขึ้น
หัวใจของผมเกือบหยุดเต้น
ชีวิตในโรงเรียนที่ผมเห็นกับมิยาซากิเห็นนั้นแตกต่างกันมาก
[มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย แต่เธอไม่ต้องกังวลถึงเรื่องนั้น ฉันเข้าใจผิดว่าฉันถูกนายทำร้ายในตอนนั้น…มีข่าวลือแย่ๆ มากมายเกี่ยวกับเธอ แต่ฉันไม่เชื่อหรอก นั่นเพราะฉันเชื่อในตัวเธอ!]
ผมเชื่อในตัวเธอ…คำพูดนี้มันเป็นดั่งคำสาป มันไม่เคยมีจริงในชีวิตที่ผ่านมาของผม
ที่สำคัญ…
ทำไมถึงมาบอกเอาตอนนี้!?
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงกรีดร้องและตะโกนว่า ทำไมเธอไม่ช่วยผม และแก้ไขความเข้าใจผิดในตอนนั้น !?
แต่ตอนนี้ ผมเข้าใจแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของผมเองที่เชื่อใจคนง่ายไป ผมไม่สามารถที่จะโทษคนอื่นได้
[นี่! อย่าเงียบสิ พูดอะไรโง่ๆอย่างที่เคยทำ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนวันเก่าๆ]
ไม่มีความโกรธเกลียดในคำพูดที่เธอพูดออกมา แต่ผมรู้ ความโกรธเกลียดมันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ผมพึมพำกับตัวเอง
[ทำไมถึงมาบอกผมตอนนี้ล่ะ?]
[เธอจะโกรธที่ฉันไม่ได้คุยกับเธอมานานอย่างนั้นเหรอ? ฮาฮา นั่นเพราะ…ฉันประหม่าเกินกว่าจะคุย…เธอกับฉัน มันเหมือนดอกฟ้ากับหมาวัด ไม่สิ ฉันหมายถึง ฉันขอโทษเกี่ยวกับเรื่องนั้น ฉันกลัวมาก แต่เมื่อฉันขึ้น ม.ปลายมา ฉันตัดสินใจที่จะเปลี่ยน กล้าหาญ และ….]
เธอมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ดูจริงจัง
[ฉันรักนายมาตลอด แม้แต่ตอนนี้ฉันก็ยังคงรักนาย]
จริงหรอ? อย่างนั้นเหรอ? อย่างนี้นี่เอง!…
เธอพยายามที่จะสกิดแผลใจของผมสินะ? เธอลืมมันไปแล้วหรือเปล่า….ว่าใจผมมันไม่เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว มันด้านชาไปหมดแล้ว
[ผมขอโทษ ได้โปรดหยุดโกหก อย่ายุ่งกับผมอีกเลย]
[ธ…เธอกำลังโกหก…หยุดล้อเล่นได้แล้ว….เพราะเธอชอบฉัน เฮ้ อย่าพูดอะไรแปลกๆอีกเลย ฉันคิดเรื่องนี้มานานมากแล้วนะ รู้ไหม?…]
[ผมขอโทษ มันเป็นความผิดของผม ดังนั้นได้โปรดหยุดเถอะ]
[เธอกำลังพูดเรื่องอะไร? ฉันเชื่อในตัวนายนะ….]
เชื่อผมอย่างนั้นหรอ!? น่าขำสิ้นดี…
หัวใจของผมในตอนนี้มันด้านชาไปหมดแล้ว ผมไม่มีความรู้สึกใดๆอีกแล้ว…
[ผมขอโทษจริงๆ แต่มันสายเกินไปแล้วที่จะบอกว่าคุณเชื่อในตัวผมในตอนนี้]
[นั่นสินะ…ไม่สิ!…เดี๋ยวก่อน! มาโกะ….ฉัน….]
ผมปิดประตูบ้านของตัวเอง…..ทิ้งมิยาซากิไว้ที่หลังประตูเช่นเดียวกัน….ผมก็ได้ทิ้งความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อเธอไว้ที่นั่นเช่นกัน
================================
อันนี้เป็นผลงานของพี่ผมที่แปลไว้ครับ ผมไปขอมารับช่วงต่อ และจะแปลต่อจนถึงตอนล่าสุดครับ
ปล.สำนวนอาจแปลกนิดๆนะครับ ผมแปลจากอังกฤษอีกที