หลังจากที่จ่ายเงินซื้อหนังสือของรุ่นพี่ 2 เล่ม กับหนังสือสอนเขียนนิยาย ที่รุ่นพี่เป็นคนจ่ายให้ (เธอยกให้ผม พร้อมกับขอโทษที่ทำหนังสือตก) พวกเราก็มาที่ร้านอาหารสำหรับครอบครัว ใกล้ๆ
“เราไปคุยกันระหว่างกินข้าวดีไหม?”
ผมตอบตกลงกับคำแนะนำของรุ่นพี่ ที่เพิ่งจะตั้งสติได้
ถ้าคุยกันแบบจริงจัง ผมคงรู้สึกอึดอัด แต่ถ้าคุยกันระหว่างกินข้าว ผมอาจจะพูดได้ง่ายขึ้น…
ผมหวังแบบนั้น พลางมองหาที่นั่งในร้านที่คนพลุกพล่าน เพราะเป็นวันหยุด
ผมสั่งข้าวอบชีส รุ่นพี่สั่งสปาเก็ตตี้ซอสไข่ปลา แล้วก็สั่งเครื่องดื่มรีฟิลสำหรับ 2 คน
ร้านอาหารสำหรับครอบครัว แห่งนี้ ขึ้นชื่อเรื่องราคาถูก และเกมส์หาคำตอบที่ยากมาก ที่มักจะเป็นประเด็นในโซเชียล
ถ้าเป็นปกติ ผมอาจจะเล่นเกมส์หาคำตอบกับเธอ… แต่คงไม่หรอก การที่ผมมากินข้าวกับรุ่นพี่คาบูรากิ ที่ร้านอาหารสำหรับครอบครัว มันก็แปลกอยู่แล้ว
[…เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละครับ]
[…งี้นี่เอง]
ผมเริ่มกินข้าวอบชีส พลางเล่าเหตุผลที่ผมอยากออกจากชมรม
พูดตรงๆ ก็คือ ผมไม่อยากเขียนนิยายลงหนังสือชมรม ผมรู้สึกผิดที่เธอซื้อหนังสือสอนเขียนนิยายให้ แต่ผมก็พยายามกลืนความรู้สึกผิดไปพร้อมกับข้าวอบชีส
รุ่นพี่เอาส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ คลายออก แล้วก็ม้วนใหม่… เธอไม่ได้กิน แต่ตั้งใจฟังผม
[ที่เธอพูดก็มีเหตุผล จริงๆ แล้ว ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย… ขอโทษนะ]
[มะ… ไม่เป็นไรครับ! รุ่นพี่ไม่ต้องขอโทษ!]
[ไม่เป็นไร ฉันรู้ตัวว่าฉันไม่ค่อยมองตัวเองจากมุมมองของคนอื่น แต่… อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเธอ]
[ผมไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อยครับ]
ถ้ามองในแง่ร้าย รุ่นพี่อาจจะหลอกผม
แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้น ผมคงไม่มีเวลาคิดมากขนาดนั้น
ผมไม่ได้โกรธ หรือไม่ไว้ใจรุ่นพี่
[ฉัน… แค่อยาก… สร้างความทรงจำกับเธอ ในเมื่อเราได้อยู่ชมรมเดียวกัน]
[ความทรงจำเหรอครับ?]
[ก็ยังอีกตั้งเกือบครึ่งปี เป็นเรื่องของอนาคตโน่นแน่ะ แต่ถ้าได้ทำหนังสือชมรมด้วยกัน มันก็จะกลายเป็นรูปร่างจับต้องได้ และจะคงอยู่ตลอดไปเลยนะ แน่นอนว่าช่วงเวลาที่เราได้ทำหนังสือด้วยกัน มันก็เป็นอะไรที่พิเศษมากๆ อยู่แล้วล่ะ]
รุ่นพี่พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ แล้วก็ถอนหายใจ
[แต่ฉันไม่ได้คิด ถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น หลังจากที่หนังสือวางแผงไปเเล้ว สิ่งที่เธอกังวล มันก็ถูก ฉันก็ ปฏิเสธไม่ได้ ว่าจะมีคนอ่านมากแค่ไหน… นี่เป็นครั้งแรก ฉันเลย เดามันไม่ได้]
[ครับ…]
[อืม เพราะงั้น… เรื่องหนังสือชมรม ขอพักไว้ก่อน น่าเสียดาย แต่ก็ช่วยไม่ได้]
[ผะ… ผมขอโทษครับ…]
[ไม่เป็นไร ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ]
รุ่นพี่พูดจบ ก็วางส้อมลง
แล้วก็… มองผม ด้วยสายตาจริงจัง
[แต่ฉัน ไม่อนุญาตให้เธอออกจากชมรม]
[เอ๋?]
[ปัญหาคือเรื่องหนังสือชมรม ในเมื่อยกเลิกไปแล้ว เธอก็ไม่มีเหตุผล ที่จะออกจากชมรม]
[แต่ว่า…]
[และตอนนี้ เหตุผลเดียวที่ชมรมวรรณกรรมยังอยู่ก็คือเธอ ถ้าไม่มีเธอชมรมนี้ก็ไม่มีความหมาย!]
[เว่อร์ไปแล้วครับ!]
[ไม่ได้เว่อร์ ถ้าเธอออก ฉันจะยุบชมรมเลย]
รุ่นพี่ทำหน้ามู่ทู่เหมือนกำลังงอน…
เมื่อกี้ตอนที่เธอแกล้งงอนเรื่องหนังสือ ผมพอจะดูออก แต่ครั้งนี้เธอดูจริงจัง
[อีกอย่าง การที่เธอจะออกจากชมรมแบบกะทันหันมันทำให้ฉันตกใจมาก ฉันเกือบจะเป็นลม ฉันคิดว่าฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจ แล้วก็… เมื่อกี้เธอยังบอกว่าจะอ่านหนังสือของฉันอยู่เลย มันต่างกันมากไปรึเปล่า? ฉันแอบดีใจที่เธอจะอ่านหนังสือของฉัน อาจจะขอให้เธอรีวิวให้ฟังด้วย แน่นอนว่าเธออาจจะไม่ชอบ ฉันไม่ได้หวังว่าเธอจะชม แต่ความคิดเห็นของเธอ ต่อให้จะเป็นคำวิจารณ์มันก็มีค่าสำหรับฉัน… ไม่สิ ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าโดนวิจารณ์ฉันคงเสียใจ อาจจะตั้งตัวไม่ทัน… ทำไงดี… เศร้า…]
[รุ่นพี่ อย่าเพิ่งคิดไปเองสิครับ]
รุ่นพี่ห่อเหี่ยวเหมือนมีเสียงเอฟเฟค [ซูนนนนน] ดังขึ้น
ผมคิดว่าเธอจะเเค่เสียใจ แต่เธอกลับร่วงลงเหว
[มะ… ไม่เป็นไรครับ! ผมคิดไว้แล้วว่า ถ้าผมไม่ชอบ ผมก็จะ… เก็บความรู้สึกไว้คนเดียว!]
[ไม่ได้ช่วยเลย… บอกว่า ชอบนิยายของฉัน สิ]
[ผม พูดก่อนอ่าน ไม่ได้หรอกครับ]
มันเป็นนิยายที่ตีพิมพ์ รุ่นพี่คงตั้งใจเขียน
การที่ผม วิจารณ์ โดยที่ยังไม่ได้อ่าน… ต่อให้รุ่นพี่ขอ ผมก็รู้สึกว่าเสียมารยาท มันเป็นการโกหก แล้วถ้าผมโกหก ต่อไป ต่อให้ผมพูดอะไร เธอก็คงคิดว่าผมโกหก หรือ พูดเอาใจ
ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องหนังสือ ไม่ได้จริงจังอะไรมากมาย
ผมว่า ถ้าผมอ่าน ผมก็คงรู้สึกว่ามันสนุก แปลกใหม่ เพราะงั้น การเสแสร้ง ก็คงเสียมารยาท กับรุ่นพี่
[… อืม จริงด้วย ฉันผิดเอง]
ผมคิดว่าถ้าเธอยังตื้อ ผมคงยอม แต่เธอกลับยอมก่อน
[เฮ้อ… ฉันมัน เเค่คนไร้ค่า เป็นได้แค่ขยะ]
[รุ่นพี่ อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ไม่จริงสักหน่อย!]
[งั้น เธอยกเลิกเรื่อง ออกจากชมรม ได้ไหม?]
[เอ๋?]
[ถ้าฉันจมดิ่ง ไปมากกว่านี้ ฉันคง ตั้งตัวไม่ทัน…]
[คะ… ครับ! ผมจะ ยกเลิก ครับ!]
[จริงเหรอ? เยี่ยม!]
รุ่นพี่เงยหน้าขึ้น ยิ้มแย้ม
เหมือนละครเลย!
[โล่งใจแล้ว หิวเเล้วสิ ฉันจะกินละนะ อ๊ะ ขอสั่งเพิ่มได้ไหม?]
[เชิญเลยครับ…]
รุ่นพี่กินสปาเก็ตตี้ จนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วก็สั่งพิซซ่าหน้ามาร์เกริต้า ไก่ทอด ไส้กรอก มาเพิ่ม แถมยังสั่ง พาร์เฟ่ต์ เป็นของหวาน อีก… เธอหิวมากขนาดนั้นเลยเหรอ…
[อ๊ะ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าอาหารนะ ฉันเลี้ยงเอง!]
[เหรอครับ…]
พอเห็นเธอกินเยอะขนาดนี้ ผมก็หมดแรงจะพูดว่า (หารกันไหมครับ) หรือ (จ่ายแค่ส่วนของตัวเอง)
ค่าอาหารของผม เทียบกับของรุ่นพี่ มันน้อยนิดมาก…
[อืม อิ่มจัง!]
รุ่นพี่พูดพร้อมกับบิดขี้เกียจหลังจากที่ออกมาจากร้าน
เธอกินเยอะมาก แต่… ดูจากภายนอกก็ไม่เห็นว่าท้องเธอจะป่องขึ้นเลย
คือ… ผมไม่ได้จ้องตั้งแต่แรกหรอก… แต่เธอก็ยังผอมเหมือนเดิม
[นี่… โทโมกิคุง การจ้องท้องผู้หญิงแบบนั้น มันเสียมารยาทนะ ถึงฉันจะเป็นแบบนี้ แต่ฉันก็เป็นผู้หญิงนะ]
[อะ… เอ่อ… ขอโทษครับ!]
ถึงจะเป็นแบบนี้… เธอก็เป็นผู้หญิงอยู่แล้ว
ปกติรุ่นพี่ไว้ผมยาวสีดำ ดูเป็นสาวญี่ปุ่น แต่พอถักเปียแบบนี้ ก็ดูคลาสสิคแบบสมัยไทโช
ผมไม่รู้ว่าแบบไหนดูเป็นผู้หญิงมากกว่ากัน… แต่แค่คิดจะเปรียบเทียบมันก็… เหมือนการแข่งขันรอบชิง
รุ่นพี่คาบูรากิ เป็นผู้หญิง
[เอาล่ะ จะทำอะไรกันต่อดี?]
[เอ๋? รุ่นพี่ไม่มีธุระเหรอครับ?]
[ฉันมาซื้อของที่ร้านหนังสือเสร็จแล้ว ถ้าเธอว่าง ฉันก็อยากอยู่กับเธอต่อ… ฮ่าๆ รบกวนเธอรึเปล่า?]
[ปะ… เปล่าครับ!]
ไม่รบกวนเลย
วันนี้ผมตั้งใจว่าจะซื้อหนังสือแล้วก็กลับบ้าน ผมไม่มีแผนอะไร…
แต่การอยู่กับรุ่นพี่แบบนี้ มันเหมือนกับเดท… ถึงคนอื่นจะไม่คิดแบบนั้นก็เถอะ
ปกติผมเจอเธอในชุดนักเรียน (ถึงจะเจอแค่ 2 ครั้งก็เถอะ) แต่การที่ได้เห็นเธอในชุดลำลองมันก็แปลกใหม่… ผมรู้สึกประหม่า
… แต่ต่อให้เจอเธอในชุดนักเรียนที่โรงเรียน ผมก็คงประหม่าอยู่ดี
ถ้างั้น มันก็ไม่ต่างกัน ผมก็ประหม่าเหมือนเดิม
[นี่]
[อะ… ครับ!]
[เพิ่งจะรู้สึกตัวเหรอ เธอมัวแต่คิดอะไรอยู่?]
[อุ… ขอโทษครับ]
[ฮิฮิ ไม่เป็นไร ฉันว่าแบบนี้ก็น่ารักดี]
[อึก…]
รุ่นพี่อย่าชมผมว่าน่ารักสิครับ ผมไม่รู้จะตอบยังไง
[แต่… ฉันก็ไม่อยากรบกวนเวลาในวันหยุดที่มีค่าของเธอ อีกอย่าง ฉันก็ไม่ค่อยมั่นใจที่จะให้เธอเห็นฉันในสภาพนี้…]
[เอ๋? ผมว่ารุ่นพี่ดูดีนะครับ…]
[นี่เป็นแค่การปลอมตัว เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าฉันคือคาบูรากิ มิฮารุ ฉันรู้ว่าตัวเองเหมาะกับเสื้อผ้าแบบไหน ตอนนี้ฉันเหมือน… นักเวทย์ที่ถือดาบ]
ผมว่า ถึงจะไม่ใช่สไตล์ของรุ่นพี่ แต่เธอก็ดูน่ารักดีในชุดนี้… แต่ผมอายเกินกว่าจะพูดออกไป
ผู้หญิงก็คงมีความชอบเป็นของตัวเอง
น้องสาวผม มานากะ ก็แต่งตัวก่อนออกไปร้านสะดวกซื้อ
[อืม… แต่ในเมื่อเราได้เจอกันแล้ว จะแยกย้ายกันเลยก็ยังไงอยู่… จริงสิ! ไปที่อื่นกันต่อ เป็นไง?]
[ได้สิครับ…]
[งั้นไปกันเลย ลุย!]
รุ่นพี่พูดพร้อมกับเดินนำไป
เมื่อกี้ แล้วก็ตอนนี้ การที่ผมได้อยู่กับรุ่นพี่ในวันหยุดแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดท… แต่คงไม่ใช่หรอก
ถ้าเป็นเดท พวกเราคงเดินข้างๆ กัน จับมือกัน
แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ผมคงเขินตาย
รุ่นพี่เดินนำหน้า ผมเดินตามหลังห่างๆ
ระยะห่างประมาณนี้แหละ กำลังดี
ผมพยายามสงบสติอารมณ์
รุ่นพี่พาผมมาที่ร้านขายของกระจุกกระจิกเล็กๆ
เป็นร้านเล็กๆ ตกแต่งแบบโบราณ ที่ผมคงไม่กล้าเข้าไปคนเดียว
ตอนแรกผมคิดว่าเป็นร้านกาแฟ
ในร้านมีลูกค้าผู้หญิงหลายคน ร้านนี้อาจจะเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิงก็ได้
[ร้านนี้ขายพวกงานฝีมือ บางทีฉันก็มาเดินดูบ้างบางครั้ง]
[เหรอครับ…]
ในร้านมีตุ๊กตา กระเป๋า pouch ของกระจุกกระจิก ที่ทำจากผ้า เต็มไปหมด ผมรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกนิยาย
[โทโมกิคุง ฉันพาเธอมาที่นี่ ก็เพื่อสิ่งนี้]
[นี่มัน… ปกหนังสือ เหรอครับ?]
[ใช่แล้ว]
รุ่นพี่ชี้ไปที่ชั้นวาง ที่เต็มไปด้วยปกหนังสือ หลากสีสัน หลากหลายรูปแบบ
มีทั้งแบบที่ทำจากผ้าสักหลาด แบบที่ทำจากหนัง ดูหรูหรา แบบที่ดูเหมือนหนังสือเวทมนตร์…
[น่าสนใจใช่ไหมล่ะ? ปกหนังสือ มีหลายแบบ อันนี้ทำจากไม้ด้วยนะ]
[เอ๋? ไม่ใช่ลายไม้เหรอครับ?]
รุ่นพี่หยิบปกหนังสือ ลายไม้ขึ้นมา
ผมคิดว่าเป็นลายพิมพ์ แต่… สัมผัสเหมือนไม้จริงๆ!
[มันจะไม่แตกเหรอครับ…]
[กระดาษก็ทำมาจากไม้นี่]
[จริงด้วย พอลองคิดดู…]
มันเหมือนกับการเล่นคำ
แต่ก็ไม่ได้ดูถูกๆ สัมผัสก็เหมือนไม้จริงๆ
น่าจะมีคนชอบแบบนี้อยู่บ้าง
[เอาล่ะ โทโมกิคุง ที่ฉันพาเธอมาที่นี่ก็เพื่อ…]
[ครับ?]
[ฉันจะให้เธอเลือกปกหนังสือเป็นของขวัญ!]
[เอ๋!?]
ของขวัญ? ทำไม?
[ผมรับไม่ได้หรอกครับ!]
ถึงจะตะโกนไม่ได้ เพราะอยู่ในร้าน แต่ผมก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่น
หนังสือสอนเขียนนิยาย ที่เธอซื้อให้ เพราะผมทำตก ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้อยากได้
ค่าอาหารที่ร้านอาหารสำหรับครอบครัว ที่เธอจ่าย แล้วก็สะสมแต้ม
ผมรู้สึกเกรงใจที่รับของพวกนั้นมา ผมคิดว่าถ้ามีโอกาส ผมจะตอบแทนเธอ
แต่ครั้งนี้ มันไม่มีเหตุผล ผมรับเฉยๆ ไม่ได้
[ผมไม่มีเหตุผลที่จะรับของขวัญนี่ครับ]
[เหตุผล… เหรอ…]
รุ่นพี่เท้าคาง ครุ่นคิด
แล้วเธอก็ยิ้ม เหมือนนึกอะไรขึ้นได้
[งั้น… ถือว่าเป็นของขวัญที่เธอเข้าชมรม]
[มันฟังดูแปลกๆ…]
[ไม่นะ ฉันเป็นคนขอให้เธอเข้าชมรมเอง แล้วก็… ฉันลำบากใจถ้าเธอจะออก การที่ฉันให้ของขวัญเธอ มันอาจจะทำให้เธอรู้สึกผิด แล้วก็ไม่อยากออกจากชมรมง่ายๆ จริงไหม?]
[รุ่นพี่ร้ายมาก!]
[ฉันเพิ่งคิดได้ต่างหาก!]
เธอยอมรับ!
[อีกอย่าง เธอกำลังจะอ่านหนังสือของฉันใช่ไหม? ลองนึกภาพตัวเองที่กำลังอ่านหนังสือของฉันในห้องเรียนสิ]
[ครับ?]
[ตอนพัก เธอกำลังอ่านหนังสือ พอเธอปิดหนังสือ เพื่อนที่นั่งข้างๆ ก็เห็นปก แล้วก็พูดว่า (อ๊ะ หนังสือของคาบูรากิ มิฮารุ นี่) แบบนี้]
[แล้ว…?]
[มัน… ดูเหมือนพวกชอบตามกระแส น่าอายรึเปล่า?]
[กะ… ก็จริงครับ! แต่… รุ่นพี่พูดเองเลยเหรอครับ]
[พูดเอง ก็มันจริงนี่]
คาบูรากิ รุ่นพี่คนดังประจำโรงเรียน
การที่คนอื่นรู้ว่าผมอ่านหนังสือของเธอ มันก็น่าอาย
ไม่ใช่ว่าหนังสือมันไม่ดี… แต่เหมือนผมพยายามเลียนแบบคนดัง
[ฉันไม่อยากให้สายตาของคนอื่นมารบกวนการอ่านหนังสือของเธอ แต่… การที่เธอต้องอ่านที่บ้านเท่านั้น มันก็เหมือนโดนบังคับ เสน่ห์ของหนังสือคือการอ่านได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน หรือบนรถไฟ]
[ครับ…]
[เพราะงั้น ฉันไม่ได้เสียอะไร ตรงกันข้าม การให้ปกหนังสือเธอ มันคุ้มค่ากว่าเยอะ]
[แต่ ถ้าอย่างนั้น ผม ซื้อเอง…]
ผมกำลังจะพูดว่า [ซื้อเอง] แต่รุ่นพี่ก็เอานิ้วมาปิดปากผม
[ยอมให้ฉัน เท่ห์บ้าง เถอะน่า]
รุ่นพี่ขยิบตาอย่างมีเสน่ห์
ผมมองเธอตาค้าง… สมองผมหยุดทำงาน ผมได้แต่พยักหน้า
[โอเคครับ]
รุ่นพี่ยิ้ม แล้วพูดว่า
[งั้น เธออยากได้อันไหน?]
[เอ่อ…]
[ไม่ต้องเลือกอันถูกๆ ก็ได้นะ]
ผมเสียเปรียบอีกแล้ว
ผมคงทำตัวเป็นรุ่นน้องที่น่ารัก ที่เลือกอันถูกๆ เพื่อลดภาระให้รุ่นพี่ไม่ได้แล้ว
งั้นผมจะเลือกอันที่ผมอยากได้ โดยไม่ดูราคา
จากป้ายราคา ปกหนังสือส่วนใหญ่ราคาไม่เกิน 2,000 เยน ยกเว้นอันที่ดูหรูหรา อลังการ
ปกหนังสืออันละ 2,000 เยน… มันแพงไปรึเปล่า? แต่ผมคงต้องใช้มันบ่อย ในฐานะสมาชิกชมรมวรรณกรรม…
(แบบที่ดูหนักๆ หรือมีลวดลายเยอะๆ คงไม่ดี พกพาลำบาก ปกหนังสือที่ทำจากไม้ ตอนแรกก็ดูน่าสนใจ แต่คงแปลกๆ)
ผมใช้เวลาหลายนาที เลือกอย่างละเอียดโดยไม่สนใจราคา แล้วก็หยิบอันที่ถูกใจที่สุด
[หืม แบบผ้าฝ้ายเหรอ]
ผ้าฝ้าย… ก็คือ ผ้าcotton
เป็นปกหนังสือสีเขียวเข้ม เรียบๆ
ผมชอบอันนี้ที่สุด
[ทำไมถึงเลือกอันนี้ล่ะ? ฉันไม่ได้ว่าอะไรนะ แค่สงสัย]
[ผมชอบสัมผัสครับ ผมไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ ถ้ามีอะไรมารบกวน ผมจะไม่มีสมาธิ… แต่อันนี้ จับแล้วรู้สึกดี อยากจับบ่อยๆ มันทำให้ผมอยากอ่านหนังสือ]
[อืมๆ]
[ส่วนสี… ก็ธรรมดาๆ สีขาวมันดูเลอะง่าย สีดำมันดูหนักๆ สีนี้มันดูเรียบๆ สบายตา]
[ถ้าชอบแบบจับแล้วรู้สึกดี แบบหนังก็น่าจะดีนะ]
[แบบนั้น… มันดูผู้ใหญ่เกินไป ผมคงเกร็งๆ ไม่อยากอ่าน]
[…ฮิๆ]
[รุ่นพี่?]
รุ่นพี่ก้มหน้า หัวไหล่สั่น เมื่อได้ยินคำตอบของผม
แล้วก็…
[ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ]
เธอหัวเราะออกมาเสียงดัง
เสียงหัวเราะของเธอ ดังก้องไปทั่วร้าน! [รุ่นพี่…]
[ฮ่าๆๆ โทษที ก็… เธอ เป็นเธอ ดีนี่]
เธอดู สนุกมาก จนน้ำตาคลอ
รุ่นพี่เช็ดน้ำตา แล้วก็หยิบปกหนังสือ จากมือผม
[งั้นฉันไปจ่ายเงินนะ ราคา… ฮิฮิ เหมือนเธอเลย]
รุ่นพี่พูด พร้อมกับเดินไปที่เคาน์เตอร์ ด้วยสีหน้าร่าเริง
ผมไม่ได้ดูราคา แต่… ปกหนังสือแบบเดียวกัน ราคา 1,000 เยน (ไม่รวมภาษี) ซึ่ง ค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับอันอื่นๆ
[เหมือนผม…]
ผมเลือกอันที่ เหมาะกับผม แต่ต่อให้ผม เลือกจากราคา ผมก็คง เลือกอันนี้
ถึงจะไม่ใช่คำชม แต่… ผมก็ ยิ้ม เมื่อนึกถึง คำพูดของรุ่นพี่
[งั้น… นี่ ฉันไม่ได้ให้เขาห่อ เพราะคิดว่ามันเสียเวลา]
[ขอบคุณครับ ไม่เป็นไรครับ ผมจะใส่รวมกับหนังสือในถุงเลย]
[อืม ดีแล้ว]
ผมรับปกหนังสือหลังจากที่ออกมาจากร้าน
ปกหนังสือที่รุ่นพี่คาบูรากิซื้อให้ เป็นของขวัญที่ผมเข้าชมรม มันอาจจะมีมูลค่ามากกว่าหนังสือก็ได้
[งั้น เรากลับบ้านกันเถอะ ฉันไปส่งเธอที่สถานี]
[แต่… แล้วรุ่นพี่ล่ะครับ?]
[ฉันเดินกลับบ้านได้ ไม่ต้องห่วง]
รุ่นพี่พูดจบ ก็เดินนำไปที่สถานี
ผมเดินตามเธอไปเงียบๆ
รุ่นพี่ฮัมเพลงเบาๆ ผมมองแผ่นหลังของเธอ กับเปียที่ไหวไปมา
[รุ่นพี่ครับ]
[หืม?]
รุ่นพี่หันมา แล้วยิ้มให้ผม
ผมกำลังจะพูด แต่ก็… หยุด
[…ไม่มีอะไรครับ]
[มีอะไรก็พูดมาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ]
[ไม่มีจริงๆ ครับ]
[เหรอ? งั้นก็ดีแล้ว]
รุ่นพี่หันกลับไป แล้วก็เดินต่อ
ผมเดินตามเธอช้าๆ
(แบบนี้มัน จะเขียนนิยายดีๆ ได้เหรอ?)
ทำไมผมถึงไม่กล้าถามคำถามที่อยู่ในใจ? ผมคิดจนกระทั่งถึงสถานี แต่ก็หาคำตอบไม่ได้