บทที่ 929 ฉีกหน้า
……….
สติปัญญาของคนคนหนึ่งไม่อาจถดถอยลงในชั่วข้ามคืนได้
ว่ากันตามตรงแล้ว การกระทำในวันนี้ของกู้จิ่นอวี๋ไม่ค่อยฉลาดนัก ต่อให้นางทำให้กู้เจียวขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล แต่สำหรับตัวนางเองแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่สำคัญใดๆ เช่นกัน
เป็นพฤติกรรมที่ทำร้ายผู้อื่นที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองเอาเสียเลย
ทว่าหลังจากกู้เจียวกลับมา กู้จิ่นอวี๋ก็ได้รับการโจมตีรอบด้านจากกู้เจียวเหลือคณานับ สติปัญญาของนางถูกกลืนกินจนไม่เหลือหลอ
นางไม่สนว่าตัวเองจะได้รับสิ่งใด ขอแค่ทำให้กู้เจียวกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงได้ ต่อให้ดูเหมือนจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหายได้มาก แต่ฝั่งตนก็เสียหายไปไม่น้อยเช่นกัน นางก็ยอม
โฉมหน้าของกู้เจียวไม่ได้อัปลักษณ์เพียงนี้ภายในชั่วข้ามคืน
แต่เมื่อก่อนนางแค่เป็นหมอหญิงนิรนาม ทุกคนมิได้คาดหวังกับรูปโฉมของนาง
ยามนี้นางอาจเอื้อมไปแต่งงานกับท่านโหวน้อยอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเจา ย่อมมีคนรู้สึกว่าโฉมหน้าของนางไม่คู่ควร
การแต่งงานครานี้เป็นดอกไม้งามปักอยู่บนมูลวัวด้วยซ้ำ!
และบุรุษต่างก็รักศักดิ์ศรีกันทั้งนั้น
ภรรยาทำตนอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าธารกำนัลมากมายเพียงนี้ ต้องเกิดปมในใจท่านโหวน้อยแน่ๆ วันข้างหน้าก็จะไม่กล้าออกมาข้างนอกด้วยกันกับนางอีกกระมัง
กู้จิ่นอวี๋ครุ่นคิดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น สายตาที่นางหันมองพวกกู้เจียวก็เจือความเยาะเย้ยเอาไว้หลายส่วนโดยไม่รู้ตัว
นางรู้สึกว่ากู้เจียวจะต้องโมโหตายแน่ ความจริงกลับตรงกันข้าม สีหน้ากู้เจียวราบเรียบยิ่ง
“พี่สาว ไม่โกรธหรือ” นางถาม
กู้เจียวมองนางแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ย “ข้าไม่โกรธ ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าน่าสงสารนัก บนโลกนี้มีแสงสว่างมากมายเพียงนี้ เจ้าเห็นแค่เพียงความมืดมิด”
กู้จิ่นอวี๋นัยน์ตาหรี่ลง
“พวกเราไปกันเถิด” กู้เจียวเอ่ยกับเซียวเหิง
อันที่จริงกู้เจียวก็เป็นแม่นางน้อยที่รักสวยรักงามเช่นกัน แต่นางไม่มีทางเกิดความคิดพิสดารแปลกประหลาดเพราะความรักสวยรักงามของตัวเอง
นางไม่รู้สึกต้อยต่ำเพราะรูปโฉม ไม่หยิ่งผยองเพราะรูปโฉม นางไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองนางเช่นไร จึงไม่ถอดผ้าคลุมหน้าของตัวเองออกเพียงเพราะถ้อยคำยั่วยุไม่กี่ประโยค
เซียวเหิงก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองตัวเองอย่างไรเช่นกัน คนหัวเราะเยาะที่เขาแต่งกับภรรยาอัปลักษณ์มีมากมาย แต่เขาจะไม่ยอมให้กู้เจียวได้รับความไม่เป็นธรรม แม้เพียงนิดก็ไม่ได้
“รอเดี๋ยว” เขาเอ่ยกับกู้เจียว
จากนั้นเขาก็หันไปมองกู้จิ่นอวี๋ก่อนจะเอ่ยเสียงเคร่ง “เจ้าบอกว่าภรรยาข้ารู้สึกอับอายที่เทียบไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ตอนที่ภรรยาข้ารักษาผู้บาดเจ็บและช่วยเหลือคนที่กำลังจะตาย เจ้าทำอะไรบ้าง คราที่ภรรยาข้าประดิษฐ์เครื่องเป่าลม เจ้าทำอะไรบ้าง ตอนที่ภรรยาข้าออกรบ ปกป้องชายแดน รักษาโรคระบาดให้ปวงชนสงบสุข! เจ้า กู้จิ่นอวี๋ ไสหัวไปอยู่ไหนมา!”
เขากวาดสายตามองผู้คนที่มุงดูความคึกคัก “ภรรยาข้าสร้างความดีความชอบมากมายที่เมืองเย่ว์กู่ ได้รับแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้เป็นท่านหญิงผู้พิทักษ์! ชีวิตอันสงบสุขของพวกเจ้าคนไหนบ้างที่ไม่ได้ใช้เลือดเนื้อของภรรยาข้าและทหารทุกหมู่เหล่าแลกมา! พวกเจ้าถือดีอะไรมาตำหนิติเตียนกับรูปโฉมของนาง! ภรรยาข้ายอมลดตัวลงแต่งกับข้า ก็เป็นบุญวาสนาสามชาติของข้าแล้ว! การแต่งงานครานี้ข้ารอมาถึงสี่ปีจึงได้เกิดขึ้น! วันสมรสข้าก็เป็นคนไปทูลขอไทเฮา แล้วก็ขอร้องเสด็จลุงฮ่องเต้จึงได้ถูกกำหนดขึ้นในที่สุด! ภรรยาข้าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในโลก ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์กับผู้ใด! หากต้องพูดกันเรื่องรู้สึกอับอายที่เทียบไม่ได้ จริงๆ พวกเจ้าทุกคนต่างหากที่ต้องรู้สึกอับอายที่เทียบไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้านาง!”
ถ้อยคำนี้ของเขาทำเอาทุกคนละอายใจยิ่งนัก
เป็นถึงสตรีที่ทำในสิ่งที่แม้แต่บุรุษยังทำไม่ได้ แต่พวกเขากลับวิพากษ์วิจารณ์โฉมหน้าของนาง
กู้จิ่นอวี๋หัวใจกระตุกวูบ
เดิมทีนางหมายจะฉีกหน้ากู้เจียวให้อับอาย คิดไม่ถึงว่ากลับทำให้ท่านโหวน้อยสารภาพความในใจต่อกู้เจียวต่อหน้าธารกำนัล ลบล้างความสงสัยทั้งหมดที่ไม่เป็นผลดีต่อกู้เจียวในการแต่งงานครานี้
การแต่งงานครานี้เขาเป็นคนร้องขอ…
เป็นบุญวาสนาสามชาติของเขา…
เป็นเขา
เพราะอะไรกัน
เพราะอะไรกู้เจียวจึงได้เจอบุรุษที่ดีเพียงนี้
เซียวเหิงถอนใจเอ่ย “ภรรยา อย่างไรเสียโฉมหน้าก็ไม่สำคัญ พวกเขาอยากดูก็ให้พวกเขาดูเถิด”
ทุกคนคิดในใจ ไหนว่าไม่พิสูจน์มิใช่หรือ
กู้เจียวไม่ใช่คนชอบสวมผ้าคลุมหน้าอยู่แล้ว คราก่อนที่สวมเพราะแม่นางเหยาร้องขอ ครานี้เพื่อมอบความตื่นตะลึงให้อันกั๋วกง
อวี้หยาเอ๋อร์ลงมาจากรถม้า นางมองกู้จิ่นอวี๋อย่างเย็นชา ก่อนจะมาหยุดข้างกายกู้เจียว แค่นเสียงเอ่ย “คนบางคนก็ต้องการทำตัวเองให้อับอายขายขี้หน้า คุณหนูท่านให้นางสมปรารถนาเถิดเจ้าค่ะ!”
ชุนหลิ่วกลอกตา “เฮอะ คนที่ทำตัวเองอับอายขายขี้หน้ายังไม่รู้เลยว่าจะเป็นผู้ใดกันแน่! ไม่ว่าเจ้าจะคุยโวโอ้อวดเท่าใด ก็ยังอัปลักษณ์…”
ผ้าคลุมหน้าของกู้เจียวถูกลมพัดให้เลิกขึ้น
ชุนหลิ่วเห็นดวงหน้างามพิลาสที่ไม่อาจพรรณนาได้ ลำคอพลันเปล่งเสียงไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
คราก่อนในร้านเครื่องประดับ นางเห็นใบหน้าคุณหนูใหญ่กับตาแท้ๆ ว่าไม่ได้หน้าตาเช่นนี้
ปานแดงแสลงตานั่นเล่า
เหตุใดจึงหายไปแล้ว
กู้จิ่นอวี๋ตกใจไม่น้อยไปกว่ากู้เจียว ชุนหลิ่วเห็นกู้เจียวแค่ครั้งเดียว แต่กู้จิ่นอวี๋กลับเคยเห็นทั้งใกล้ทั้งไกลไม่รู้ตั้งกี่คราต่อกี่คราแล้ว
นางถึงขนาดวาดภาพเหมือนกู้เจียวด้วยตัวเองด้วยซ้ำ
“ปะ…เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”
นางมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้รอยด่างพร้อยด้วยความเหลือเชื่อ ไม่อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงของกู้เจียวที่เปลี่ยนจากสตรีอัปลักษณ์มาเป็นนางฟ้าได้
นางแพ้พ่ายให้กู้เจียวทุกสิ่งแล้ว มีเพียงรูปโฉมของตนที่ทำให้ภาคภูมิใจได้
ทว่ายามนี้ แม้แต่รูปโฉมก็ยังเทียบไม่ได้อย่างมหันต์!
จะว่าเทียบก็คงจะยกยอนางเกินไป
ก่อนที่กู้เจียวจะปลดผ้าคลุมหน้าออก ใบหน้านางยังพอจะมองได้ หลังจากไร้ผ้าคลุมหน้าแล้ว นางพลันจืดชืดไร้สีสัน
แสงสว่างทั้งหมดบนโลกคล้ายสาดส่องรวมกันอยู่ใบหน้าของกู้เจียว
กู้จิ่นอวี๋เหี่ยวเฉาอย่างสิ้นเชิง!
“ไม่ใช่… ไม่ใช่… ไม่ใช่แบบนี้… เจ้าไม่ใช่พี่สาวข้า… เจ้าไม่ใช่! เจ้าไม่ใช่…”
“พอได้แล้ว! เจ้าพูดให้มันน้อยๆ หน่อย!” คุณชายสามเฉวียนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ผู้คนรายล้อมชี้มือชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์ เขาแต่งกับสตรีไม่รู้ประสาเช่นนี้ วันหน้าไม่มีหน้าออกจากบ้านแล้ว!
เขากัดฟันกรอดถลึงตาใส่กู้จิ่นอวี๋ ประสานมือเอ่ยกับเซียวเหิง “พี่เขย…”
เซียวเหิงเอ่ยเสียงนิ่ง “อย่าเรียกพี่เขย ไม่สนิท”
เอ่ยจบ เขาก็จูงมือกู้เจียวเข้าไปในจวนกั๋วกง
คนอื่นๆ จมอยู่กับความตื่นตะลึงจากดวงหน้าของกู้เจียว เนิ่นนานก็ยังไม่ได้สติ
คนบัดซบคนไหนมันปล่อยข่าวลือว่าท่านโหวน้อยแต่งภรรยาอัปลักษณ์กัน
จงใจทำลายชื่อเสียงของท่านโหวน้อยและภรรยากระมัง
หากมันเคยเห็นนางมาก่อน มันก็ต้องตาบอดแน่! หากมันไม่เคยเห็นนางแล้วยังลือเช่นนี้อีก มันก็ช่างชั่วช้านัก! ทั้งโง่ทั้งชั่ว!
“นางนี่แหละ! คราก่อนก็เป็นนาง!”
“ใช่ๆๆ นางมาโวยวายหน้าประตูจวนกั๋วกง พูดจาเหน็บแนมด้วย! ถูกพ่อบ้านของจวนกั๋วกงด่าเสียอนาถเลย!”
“ท่านเหล่าโหวไม่สนใจนางสักนิด! ซ้ำยังไม่ให้นางเรียกตัวเองว่าท่านปู่ด้วย!”
“จวนชังผิงโหวไยจึงแต่งสตรีเช่นนี้เข้าจวนกัน”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อกู้จิ่นอวี๋ลอยมาจากฝูงชน
คุณชายสามเฉวียนรู้สึกขายหน้าไปถึงบ้านยายแล้ว เขาแทบอยากจะหารูมุดลงไป “มีแต่เรื่องดีๆ ที่เจ้าก่อทั้งนั้น!”
เอ่ยจบ แววตาเขาก็ไม่มีความสงสารต่อกู้จิ่นอวี๋อีก มองกู้จิ่นอวี๋เป็นครั้งสุดท้ายอย่างรังเกียจ ก่อนสะบัดแขนเสื้อขึ้นนั่งรถม้าจากไป!
ชุนหลิ่วรีบไล่ตามไป “คุณชาย! คุณชาย! คุณหนูยังไม่ได้ขึ้นรถเลยนะเจ้าคะ!”
ในวันที่กลับบ้านเดิม กู้จิ่นอวี๋ก็โดนสามีหมาดๆ ทิ้งไว้กลางถนนอย่างนั้น
ส่วนสิ่งที่สิ้นหวังอย่างแท้จริงก็คือ ความรู้สึกเหนือกว่าเสี้ยวสุดท้ายของนางที่มีต่อกู้เจียวได้มลายหายไปสิ้นแล้ว
นางพ่ายแพ้ราบคาบแล้ว
แต่อันที่จริงนางก็ไม่ได้แพ้หรอก
เพราะว่ากู้เจียวไม่เคยไปแข่งกับนางเลย
…
เมื่อครู่นี้พ่อบ้านเจิ้งตกแต่งรถเข็นคันใหม่ของอันกั๋วกงอยู่เรือนท้าย เมื่อได้ยินเสียงอึกทึกคึกโครมข้างหน้า สงครามก็จบลงแล้ว
“ไอ้หยา!”
เขาเสียดาย!
รู้สึกว่าตัวเองพลาดไปมากมาย!
อันกั๋วกงสอนเซวียนหยวนฉีเล่นหมากรุกอยู่ในเรือนท้าย
เหลี่ยวเฉินโดนการไล่ล่าของนักบวชชิงเฟิง ไม่อาจพาบิดาตนไปเดินเล่นในเมืองหลวงได้ เซวียนหยวนฉีจำต้องอยู่ในจวนเป็นเพื่อนอันกั๋วกง
“ตานี้เจ้าวางตรงนี้ได้…”
อันกั๋วกงเพิ่งเอ่ยจบ หมากในมือเซวียนหยวนฉีก็กระแทกปั้งลงบนกระดาน
“เหตุใดเจ้า…” เขามองเซวียนหยวนฉี แล้วมองตามสายตาตื่นตะลึงของเซวียนหยวนฉีไปยังทางเข้าสวนดอกไม้
เด็กสาวในชุดกระโปรงยามสีเขียว รูปร่างอรชร เดินจับมือมากับเซียวเหิงมา ราวกับคู่รักรูปงามที่เดินออกมาจากหินสามชาติ
พวกเขาเหมาะสมกันเพียงนี้ ราวกับชาตินี้เกิดมาเพื่อกันและกัน
แน่นอนว่า ประเด็นของเซวียนหยวนฉีกับอันกั๋วกงไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่เป็นใบหน้ากู้เจียวต่างหาก
ไม่มีผ้าคลุมหน้า ไม่มีปาน
นาง… กลับมามีรูปโฉมงดงามแล้ว
กู้เจียวมายังข้างกายอันกั๋วกง โน้มตัวลงขยับหน้ามาตรงหน้าเขา ยิ้มแย้มราวกับเด็กขี้อวด “ตกใจหรือไม่ ผิดคาดหรือไม่”
อันกั๋วกงยกมือลูบแก้มนาง “ตกใจ ตกใจยิ่งนัก”
เซวียนหยวนฉีมองกู้เจียวที่มีท่าทางเป็นเด็กๆ แววตามีประกายสั่นไหว
เมื่อเทียบกับโฉมหน้าแล้ว การเปลี่ยนแปลงทางนิสัยและอารมณ์ของนางทำให้เขาทั้งตกใจและยินดียิ่งกว่า
พี่ใหญ่ หากท่านยังมีชีวิตอยู่ เห็นสภาพในยามนี้ของนางแล้ว จะต้องปลาบปลื้มแน่กระมัง
…
อันกั๋วกงกับเซวียนหยวนฉีไม่เคยรู้เรื่องจุดแต้มพรหมจรรย์ แต่ยามนี้รู้แล้ว ทั้งสองไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรดี
ความผิดพลาดนี้… ใหญ่หลวงเกินไปแล้ว!
เซวียนหยวนฉีแอบวางแผนไปซัดเจ้าอาวาสอย่างลับๆ แล้ว
เซียวเหิงเล่นหมากรุกกับเซวียนหยวนฉีแทนอันกั๋วกง
ส่วนสองพ่อลูกไปแกะของขวัญในเรือน เซียวเหิงเลือกของขวัญกลับบ้านเดิมทุกชิ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ อันกั๋วกงจึงดูของขวัญทั้งหมดทีละชิ้น เพื่อแสดงถึงความสำคัญที่มีต่อลูกเขย
หลังจากดูเสร็จ เขาก็ให้คนยกหีบใบใหญ่มา
“นี่คืออะไรหรือ” กู้เจียวถาม
อันกั๋วกงนั่งอยู่บนรถเข็น แย้มยิ้มเอ่ย “กั๋วซือให้คนส่งมาให้ บอกว่าก่อนหน้านี้รับปากว่าจะให้ของขวัญแต่งงานกับเจ้า”
กู้เจียวพลันนึกขึ้นได้ “อ๊ะ อาวุธที่แคว้นจิ้นส่งมาบรรณนาการ! หีบใหญ่เพียงนี้ ของข้าหมดเลยหรือ”
อันกั๋วกงขบขันกับท่าทางอดใจรอไม่ไหวของนาง “ยังมีอีกสองหีบ”
“มาแล้ว! มาแล้ว!” พ่อบ้านเจิ้งสั่งการคนรับใช้ให้ยกอาวุธหีบใหญ่อีกสองหีบเข้ามา แล้วเปิดฝาหีบออก
กู้เจียวตั้งอกตั้งใจเลือก
แคว้นจิ้นครานี้เรียกได้ว่าลงทุนมหาศาล ของบรรณนาการล้วนแล้วแต่เป็นของดีๆ ทั้งสิ้น
ทันใดนั้น สายตากู้เจียวก็ไปตกบนกล่องไม้ท้อแคบยาวใบหนึ่ง
“คุณหนูจะดูอันนี้หรือ” พ่อบ้านเจิ้งเดินมาหาอย่างมีไหวพริบ เขาเปิดกล่องไม้ท้อออก ใช้สองมือยกมาตรงหน้ากู้เจียว
ด้านในเป็นกระบี่ยาวเหล็กนิลขนนกยูงเปล่งประกายเย็นเยียบ
ตอนที่กู้เจียวเห็นมัน ในใจก็เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมา
นางหยิบกระบี่มาถือ พินิจมองอย่างละเอียด แล้วชักกระบี่ยาวออกจากฝัก ประกายเย็นเยียบสะท้อนเข้าสู่ดวงตานาง ทันใดนั้นภาพหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมาในใจของนาง
“เจ้านี่เอง”
ในห้วงฝันของสงครามนั้น นางเห็นจุดจบของตัวเอง ที่ตายด้วยกระบี่เล่มนี้
……….