จริงๆ แล้ว ผมรู้ว่าเธอดีใจกับข้าวกล่องของผม
เธอถ่ายรูป ทำตาเป็นประกายตอนเห็นไข่หวาน แถมยังร้องไห้ด้วย… เพราะงั้น ที่ผมไม่กินข้าวกล่อง ไม่ใช่เพราะกังวล…
(รุ่นพี่ดีใจกับข้าวกล่องของผม… ผมเผลอพลอยดีใจไปด้วย อยากให้เธอมีความสุขแบบนี้ไปนานๆ…)
ผมทำให้เธอเข้าใจผิด แต่ผมอายเกินกว่าจะพูดความจริง
[งั้น… ผมทานก่อนนะครับ!]
ผมพูดตะกุกตะกัก แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
ผมเปิดฝากล่องข้าว ที่เธอให้มา…
[โหวววว…]
สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าผม คือก้อนสีน้ำตาลขนาดใหญ่
สีน้ำตาล มันธรรมดา แต่ก็อร่อย
แต่สีน้ำตาลในกล่องนี้ มันพิเศษกว่านั้น
แฮมเบิร์กตุ๋น วางอยู่บนข้าวสวย ที่กินพื้นที่เกือบครึ่งกล่อง มันคือพระเอก ที่บ่งบอกถึงคอนเซปต์ของข้าวกล่องนี้ ได้เป็นอย่างดี
(นี่สินะ ข้าวกล่องระดับโปร…)
พื้นที่ที่เหลือ ก็ตกแต่งด้วยแครอทต้ม ถั่วแขกคลุกงา ทำให้ดูมีสีสัน
ราคา 2,000 เยน มันแพงมากสำหรับข้าวกล่อง แต่ราคานี้ก็ทำให้ผมคาดหวัง (ถึงผมจะไม่ได้จ่ายเองก็เถอะ)
ผมกลืนน้ำลาย แล้วใช้ตะเกียบตัดแฮมเบิร์กเป็นชิ้นเล็กๆ
เนื้อสัมผัสนุ่ม เหมือนเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ
แล้วก็… มีน้ำซึมออกมาจากเนื้อ… น่ากินสุดๆ!
ผมอดใจไม่ไหว ตักแฮมเบิร์กเข้าปาก
[อืมมม!]
เนื้อแฮมเบิร์กนุ่ม แต่ก็มีความแน่น
พอเคี้ยว น้ำจากเนื้อก็ไหลออกมา ผสมกับซอสเดมิกลาส รสชาติเข้มข้น อร่อยสุดๆ
พูดได้คำเดียวว่า…
[โคตรอร่อยยยย!]
ผมเผลอตะโกนออกมา
ตอนนี้ผมไม่รู้สึกอายแล้ว ผมรู้สึกทึ่งกับความอร่อย
[… ฮึๆ]
รุ่นพี่หัวเราะ เมื่อเห็นท่าทางของผม
[เธอกินข้าวได้น่าอร่อยจริงๆ]
[ผมไม่ได้พูดเกินจริงนะ คือ… มันอร่อยมากจริงๆ ครับ!]
[ฮ่าฮ่า พูดอะไรออกมาเนี่ย]
[คือ… รุ่นพี่ก็กินข้าวกล่องของตัวเองสิครับ!]
[อืม ก็ได้]
รุ่นพี่คาบูรากิ ยิ้มร่าเริง เหมือนลืมเรื่องที่เธอร้องไห้ ไปแล้ว
เธอทำตามที่ผมบอก เริ่มกินข้าวกล่อง แต่เธอก็ไม่ได้ดูตื่นเต้น เหมือนตอนแรก
เหมือนเธอสนใจผม มากกว่าข้าวกล่อง ถ้าข้าวกล่องมีชีวิต มันคงน้อยใจน่าดู
(ถึงรุ่นพี่จะอารมณ์ดีแล้ว แต่… ผมรู้สึกเหมือนโดนจับตามอง)
รุ่นพี่ยังคงยิ้ม แต่สายตาของเธอ จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของผม ผมรู้ได้เลยว่าเธอกำลังมองผมอยู่
ผมรู้สึกเขิน จนแทบจะลิ้มรสชาติอาหารไม่ได้… ถึงข้าวกล่องนี้จะอร่อยมากก็เถอะ แต่ผมก็อดกังวลไม่ได้
(ผมไม่ชิน…)
อาหารระดับภัตตาคาร…
กับ… คนที่อยู่สูงเกินเอื้อม ที่กำลังมองผม…
ผมกินข้าว โดยแทบไม่ได้พูดอะไร รู้สึกเหมือนท้องไส้ปั่นป่วน
อึกๆ
[นี่ เชิญ]
ผมกินข้าวกล่องจนหมด กำลังรู้สึกอิ่ม เธอก็วางถ้วยชาลงตรงหน้าผม
[นี่คือ…]
[ชาสมุนไพร หลังอาหาร]
[ขอบคุณครับ ที่นี่มีทุกอย่างเลยนะครับ]
[ก็ไม่ได้มีทุกอย่างหรอก]
รุ่นพี่ขยิบตา เเบบน่ารัก
ผมมองไปรอบๆ ห้องชมรม มันดูไม่เหมือนห้องชมรมในโรงเรียนเลย มีของมากมาย รวมถึงกาน้ำชา กับกาต้มน้ำร้อน ที่คงใช้ชงชาสมุนไพรเมื่อกี้
แล้วก็มี… ถุงนอน?
[เหมือนกับว่า อยู่ที่นี่ได้เลยนะครับ?]
[ก็ประมาณนั้นแหละ]
[เอ๋? ถ้างั้น…]
[อ่าฮ่าๆ ฉันไม่ได้นอนที่นี่หรอกนะ การนอนโรงเรียนตอนกลางคืน มันน่ากลัว เหมือนมีผีเลย]
[ผะ… ผี?]
[โรงเรียนก็เหมือนโรงพยาบาลอะเเหละ เป็นสถานที่ยอดฮิตของเรื่องหลอนๆ]
[จริงด้วย]
ห้องพยาบาล ห้องวิทยาศาสตร์ ห้องดูหนัง เป็นสถานที่ที่มักจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผี
[รุ่นพี่กลัวผีเหรอครับ?]
[… ไม่รู้สิ]
รุ่นพี่เว้นช่วง แล้วก็ตอบแบบกำกวม สร้างบรรยากาศลึกลับ
ผมคิดว่าเธอคงมีเหตุผล แต่ก็นะ เธออาจจะแค่แกล้งผมเล่นๆ
[นี่ อย่ามัวแต่คุย ดื่มชาสิ เดี๋ยวเย็นหมด]
[ครับ…]
ผมมองถ้วยชา ที่บรรจุน้ำสีส้มใส
ผมเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง ในน้ำชา
[เป็นอะไรไป?]
[เอ่อ…]
ผมหลบสายตาเธอ เมื่อเธอถาม
จริงๆ แล้ว ผมไม่ชอบชาพวกนี้
ชาสมุนไพร ชาสุขภาพ อะไรพวกนี้ ที่ฟังดูหรูๆ
ผมไม่เคยรู้สึกว่าชาพวกนี้อร่อยเลยสักครั้ง
ผมยังไม่ได้ลองชิมชาสมุนไพรแก้วนี้ แต่… พูดง่ายๆ ก็คือ ผมมีปม ผมไม่กล้าลอง
กลิ่นที่คนทั่วไปบอกว่า [หอม] มันยิ่งทำให้ผมไม่อยากลอง
[อะ… เอ่อ… ขอโทษนะ! ฉันไม่คิดว่าเธอจะไม่ชอบ…]
รุ่นพี่รีบก้มหัวขอโทษ เมื่อเห็นท่าทางของผม
วันนี้เธอขอโทษผมหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้มันดูต่างออกไป
[ตัวผมในอนาคต ชอบชาสมุนไพรเหรอครับ?]
ผมเผลอถามออกไป
เหมือนกับคำถามเรื่องสมาร์ทโฟน เป็นคำถามเกี่ยวกับอนาคต แต่ผมไม่ได้รู้สึกผิด เหมือนตอนนั้น
เธอเดาถูกมาตลอด ทั้งเบอร์โทรศัพท์ ข้าวกล่อง แม้แต่เรื่องที่ผมชอบแฮมเบิร์ก
ผมคิดว่า [เธอรู้ทุกอย่าง]
ถึงผมจะไม่เชื่อเรื่องชีวิต 2 รอบ แต่ผมก็รู้สึกผิด ที่ทำให้เธอเข้าใจผิด
รุ่นพี่เบิกตากว้าง แล้วก็หลบสายตา เมื่อผมถาม
แต่เธอก็…
[จริงสิ]
รุ่นพี่ยิ้ม แล้วก็พยักหน้า
[รสนิยมของคนเรา มันเปลี่ยนไปตามเวลา… ฉันลืมเรื่องพื้นฐานแบบนี้ไปเลย]
บรรยากาศดูผ่อนคลายลง
รุ่นพี่ดูไม่กังวลแล้ว
[บางที ของที่เราไม่ชอบตอนเด็กๆ พอโตขึ้นก็อาจจะชอบ ก็มีเยอะแยะนะครับ]
[ยูกิคุงก็เคยเป็นแบบนั้นเหรอ?]
[ตอนประถม ผมเกลียดแครอทมาก ไม่ชอบรสหวานๆ]
[หืมมม]
รุ่นพี่ทำตาโต อย่างสนใจ
ดูเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอรู้
[ในข้าวกล่องก็มีแครอทนี่?]
[ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ]
[พูดอย่างภูมิใจเชียวนะ]
รุ่นพี่หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นผมยืดอก
[ก็… พอได้ทำอาหารเองบ้าง ผมก็รู้สึกว่า การไม่กินของบางอย่าง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร]
ผมพูด ทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังไม่กินชาสมุนไพร
ชาสมุนไพร… ชาสมุนไพร…
[… จริงด้วย จังหวัดเรา มีข่าวเรื่องขยะอาหารเยอะแยะ…]
[อย่าพยายามหาเหตุผล มาโน้มน้าวตัวเองเลย มันดูน่าสมเพชนะ]
[แถมชาสมุนไพรหลังอาหาร… น่าจะดีต่อสุขภาพ!]
[มั่วแล้ว!]
[พะ… เพราะงั้น ผมจะดื่มด้วยความขอบคุณ… จะ…จะดื่มละนะครับ!!]
ผมพยายามรวบรวมความกล้า แล้วดื่มชาสมุนไพร รวดเดียว!
[อึก… อุ๊บ!]
[ยะ… ยูกิคุง!?]
รุ่นพี่รีบวิ่งเข้ามาหาผม เมื่อเห็นผมสำลักชา
[ถ้าไม่ชอบ ก็ไม่เห็นต้องฝืนดื่มเลย!]
[ผะ… ผมไม่ได้ไม่ชอบ… แค่คิดว่า… เป็นโอกาสดี… ที่จะลอง…]
[แต่เธอดูทรมานมากเลยนะ!]
[คือ… มันร้อน… แค่กๆ!]
[เอ๋?]
ผมดื่มเร็วเกินไป ทั้งๆ ที่มันยังร้อนอยู่
ผมไม่ได้ลิ้มรสชาเลย โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ ที่ผมรู้สึกแค่ แสบลิ้น
[อะ… อร่อยครับ… ขอบคุณสำหรับอาหาร…]
[เธอดูฝืนๆ นะ]
ผมหลับตา แล้วก็ถอนหายใจ
แผน [ดื่มรวดเดียว] ล้มเหลว…
[… หุ]
[เอ๋?]
[… หุ ฮ่าๆๆๆๆ เธอมัน… ซุ่มซ่ามจริงๆ!]
รุ่นพี่หัวเราะลั่น
[น่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้นะ!]
[รุ่นพี่อุตส่าห์ชงให้ ผมไม่อยากปฏิเสธน้ำใจนี่]
[แล้วการดื่มรวดเดียว มันไม่ใช่การปฏิเสธเหรอ?]
[เอ่อ… แต่ ผมว่า ดีกว่า ทำหน้าเหมือนไม่อร่อย หลังจากที่ดื่มแล้ว]
[ฮึๆๆๆ แบบนี้นี่เอง เธอนี่ตลก และน่ารัก จริงๆ]
[นะ… น่ารัก…]
เธอขำอะไรของเธอ… คงไม่ได้ชมผมหรอก
[ขอโทษทีๆ! ฉันผิดเอง ที่ชงชาสมุนไพรให้ ถ้างั้น ชาธรรมดาล่ะ ดื่มได้ไหม?]
[… ได้ครับ]
รุ่นพี่ขอโทษผม แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกผิด เธอยิ้มอย่างสดใส
ผมจิบชาข้าวบาร์เลย์ (ขวด PET 500 มล.) ที่รุ่นพี่คาบูรากิให้มา เพื่อบรรเทาอาการแสบร้อนในปาก พลางเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังในห้องชมรม
ถึงจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปนาน แต่พักเที่ยงก็ยังเหลืออีกตั้ง 20 นาที แต่พอผมตั้งสติ ผมก็รู้สึกประหม่า ที่ต้องอยู่กับผู้หญิงสวยๆ สองต่อสอง
จริงๆ แล้ว ผมอยากจะพูดว่า [ผมกินข้าวเสร็จแล้ว งั้นผมขอตัวนะครับ] แล้วรีบออกไปจากที่นี่ เพื่อสุขภาพจิตที่ดี แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้
รุ่นพี่คาบูรากิกำลังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี พลางจิบชาสมุนไพร
ข้าวกล่องของผม ยังอยู่ในมือเธอ
ผมต้องเอาข้าวกล่องคืน ก่อนออกไปจากที่นี่
[รุ่นพี่ครับ ข้าวกล่อง…]
[ฮึมๆๆๆๆ]
ผมลองเรียกเธอ แต่เธอก็ยังคงฮัมเพลงเสียงดัง ไม่สนใจผม เธอคงตั้งใจ
ผมรู้แล้วว่า เธอไม่อยากให้ผมกลับ
ข้าวกล่องมันใช้แล้วทิ้งไม่ได้ ถึงจะไม่ได้แพง หรือหายาก แต่ผมก็ทิ้งไว้ไม่ได้
ผมควรทำยังไงดี? การนั่งเงียบๆ มันอึดอัดเกินไป
[รุ่นพี่ครับ]
[หืมมม?]
[… เล่นต่อคำกันไหมครับ?]
[เอาสิ!]
เธอร่าเริง ตอบตกลงทันที!
ผมแค่พูดขึ้นมา แก้เขิน
[งั้นเริ่มจาก ‘ริ’ นะครับ ใครเริ่มก่อน…]
[ฉันเริ่มก่อน!]
เธอดูสนุก
เหมือนตัวละครในการ์ตูน ที่ชอบแย่งพูด
[เอาล่ะ งั้นฉันเริ่มเลย… ‘ลิเวอร์พูล’! ] (ริวาปูรุ)
[รุ… ‘ทับทิม’] (รูบี)
[ ‘อิสตันบูล’! ] (อิซึตันบุรุ)
[รุ… ‘รูเล็ต’] (รูเร็ทโตะ)
[ ‘สามเหลี่ยม’!] (โทไรอันกุรุ)
[รุ… รุ… ‘ชาแดงรอยบอส’] (รุอิโบซึที)
[ ‘อินเตอร์เนชั่นแนล’! ](อินตานะโชะนะรุ)
[… ‘กฎ’](รูรุ)
[ ‘ลูฟวร์’](รูบุรุ)
(เธอเล่นคำที่ลงท้ายด้วย ‘รุ’ ตั้งแต่แรกเลย!)
ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนเริ่ม แต่เธอกลับพูดคำที่ลงท้ายด้วย ‘รุ’ รัวๆ ไม่ปรานีผมเลย!
รุ่นพี่… ไม่สิ คนที่อ้างว่า [มีชีวิตมาแล้ว 2 รอบ] ทำไมถึงทำตัวเป็นเด็กๆ แบบนี้!
รุ่นพี่คาบูรากิ ดูมีความสุข เหมือนปลาได้น้ำ เธอยิ้มกว้าง เชิดหน้า ยืดอก เหมือนตั้งใจจะอวดหน้าอก
… ผมเริ่มหงุดหงิด ที่เธอทำเหมือนจะชนะ
[รุ… รุซุบะ… ‘ข้อความเสียง’! ] (รุซุบังเดนวะ)
[ ‘วันเดอร์ฟอร์เกล’! ] (วันดะโฟเกะรุ)
ไม่ไหวแล้ว ผมแพ้แน่ๆ
เธอยังคงใช้คำภาษาต่างประเทศ ที่ดูเท่ห์ๆ แบบนี้ ผมมีทางเดียว!
[ผมยอมแพ้ครับ]
[หา?]
รุ่นพี่ทำหน้าเหวอ เมื่อผมยอมแพ้กะทันหัน
ก็… ผมเป็นคนชวนเล่น แล้วก็ยอมแพ้ เธอก็ต้องแปลกใจเป็นธรรมดา มันดูน่าสมเพช
[ผมรู้ว่าผมไม่มีทางชนะ]
[ไม่จริงหรอก]
[รุ่นพี่เก่งจริงๆ ครับ]
[ฉันเขียนนิยายมาเยอะนะ!]
รุ่นพี่พูดพร้อมกับยืดอก
จริงด้วย เธอเป็นนักเขียน เธอต้องมีคลังคำศัพท์เยอะมากแน่ๆ
ผมมัวแต่สนใจเรื่องแปลกๆ จนลืมเรื่องนี้ไปเลย
(นักเขียน… นักเขียน…)
[… เอ่อ ผมได้ยินมาว่า ชมรมวรรณกรรม ตั้งขึ้นมาเพื่อรุ่นพี่?]
ผมลองถามเรื่องที่อากิระเล่าให้ฟัง เมื่อเช้านี้
ตอนนี้ชมรมวรรณกรรมมีแค่รุ่นพี่คนเดียว แต่ห้องชมรมกลับหรูหรา
เหมือนที่รุ่นพี่บอก คอนเซปต์คือ อยู่ได้เลย
[ใช่แล้ว เหมือนว่า ทางโรงเรียนอยากให้ฉันเรียนจบที่นี่ เลยทุ่มทุน ห้องชมรมนี้ก็เหมือน… เงินสนับสนุน]
[งะ… เงินสนับสนุน…]
[พูดเว่อร์ไปหน่อย แค่… ทางโรงเรียนยอมตามใจฉันบ้าง อะไรแบบนั้น]
ชมรมวรรณกรรม ก็เป็นส่วนหนึ่งของ [ตามใจ] สินะ
ถึงรุ่นพี่จะเป็นนักเขียนอาชีพแล้ว แต่โรงเรียนที่รุ่นพี่คาบูรากิ นักเขียนชื่อดัง เรียนจบ แถมยังสนับสนุนเธอ จนมีผลงานดัง ระหว่างเรียน มันก็น่าจะเป็นผลงานของโรงเรียนด้วย
[แต่ของในห้องนี้ ส่วนใหญ่ฉันเอามาเอง ไม่ได้รับเงินสนับสนุน ฉันแค่อยากมีที่ๆ สงบๆ ไว้เขียนนิยาย นอกจากบ้าน เหมือนกับ… สตูดิโอ]
[หืมมม…]
เรื่องแบบนี้ คงไม่เกิดขึ้นกับนักเรียนธรรมดาๆ อย่างผม ผมยิ่งรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างผมกับรุ่นพี่
[… เอ๊ะ? แต่… ถ้างั้น การที่รุ่นพี่ชวนผมเข้าชมรม มันก็…]
[ไม่เป็นไรหรอก ถึงชมรมนี้จะไม่ค่อยได้ทำกิจกรรม แต่มันก็เป็นชมรม การที่ฉันอยากทำกิจกรรม ใช้ชีวิตแบบเด็กม.ปลายบ้าง มันก็ไม่ผิด]
[ครับ…]
[ฉันจะบอกทางโรงเรียนว่า… จะทำหนังสือชมรม ในงานเทศกาล แล้วก็ลงผลงานใหม่ของฉัน แบบนั้นก็น่าจะโอเค อีกอย่าง การได้ใช้ชีวิตวัยรุ่น มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี สำหรับการเขียนนิยาย]
[ประสบการณ์…]
ถึงผมจะไม่เคยเขียนนิยาย แต่ผมก็คิดว่า การเขียนจากประสบการณ์จริง น่าจะทำให้เนื้อเรื่องดูสมจริง
ชีวิตม.ปลาย มักจะเป็นธีมของนิยาย ชมรมก็เช่นกัน
ถ้างั้น ที่รุ่นพี่พูด ก็อาจจะถูก
แต่…
[เป็นอะไรไป? ทำหน้าเศร้าๆ]
[อะ… เปล่าครับ… ผมแค่คิดว่า… ถ้าทำหนังสือชมรม ผมก็ต้องเขียนอะไรบ้าง…]
[อ่า… ใช่ แต่ไม่ต้องกังวล]
[ถ้าต้องเอาไปลงรวมกับผลงานของรุ่นพี่… เเต่ผมไม่เคยเขียนนิยายมาก่อน…]
[ไม่เป็นไร มันก็แค่หนังสือชมรมของนักเรียนม.ปลาย]
รุ่นพี่พูดปลอบใจผม
แต่ผมว่า ต่อให้ผมเขียนอะไร ก็คงไม่มีใครสนใจหรอก
[หุๆๆๆ ฉันอยากอ่านจัง นิยายที่เธอเขียน ต่อให้ฉันขอร้องแค่ไหน เธอก็ไม่ยอมให้ฉันอ่าน…]
… ดูเหมือนว่า เธอจะเป็นคนเดียว ที่อยากอ่านนิยายของผม
[จะทำยังไงดีนะ? ฉันอยากรู้ว่าเธอจะเขียนอะไร แต่อีกใจก็อยากสอนเทคนิคการเขียนให้ ฉันว่าก็น่าสนุกดีเหมือนกัน! ว่าไง ยูกิคุง?]
[… ผมไม่รู้ครับ]
ผมรู้สึกกดดัน ที่รุ่นพี่คาบูรากิ พูดรัวๆ ผมเข้าใจ [ตัวผมในรอบแรก] ที่ไม่ยอมให้เธออ่านนิยาย…
… ถ้าเขา มีตัวตนอยู่จริงน่ะนะ