ชีวิตรอบที่ 2 ของรุ่นพี่คาบูรากิ 2.2 รุ่นพี่คาบูรากิยังคงแปลกเหมือนเดิม

ตอนที่ 2.2 รุ่นพี่คาบูรากิยังคงแปลกเหมือนเดิม

[โทษทีๆ! ฉันดีใจมากที่ได้คุยกับเธอ เลยลืมแลกเบอร์ไปเลย! แต่ก็ดีแล้วที่ฉันจำเบอร์เธอได้ เลยส่งข้อความมาได้ ถือว่าโชคดีไป]

รุ่นพี่พูดขึ้นทันทีที่เจอผม

[จำเบอร์ผมได้…]

[อืม ฉันได้ยินมาว่าเธอใช้เบอร์เดิมมาตั้งแต่สมัยม.ปลาย]

[… ของ ‘ผมในครั้งก่อน’ งั้นเหรอครับ]

[ใช่แล้ว]

รุ่นพี่ยิ้มกว้าง

เธอพูดอย่างง่ายดาย จนผมตอบได้แค่ [เหรอครับ]

ก็นะ เบอร์โทรศัพท์ของผม คงไม่ได้หายากอะไร!

ผมก็แค่คนธรรมดา! ไม่เห็นจะมีใครอยากรู้เบอร์ผมเลย! แค่เสิร์ชในเน็ตก็เจอแล้ว!

… ผมพยายามคิดแบบนั้น แต่มันก็ฟังดูแปลกๆ อยู่ดี

ต่อให้ผมเป็นแค่คนธรรมดา เบอร์โทรศัพท์ของผมจะไม่มีค่ามากเท่ารุ่นพี่ แต่มันก็ไม่น่าจะหาเจอในเน็ตได้ง่ายๆ

ถ้างั้น การที่เธอรู้เบอร์ผมจากตัวผมในอดีต ก็น่าจะปลอดภัยกว่า… แต่… ถ้าเธอพูดจริง ผมกับเธอก็เจอกันตอนอายุ 20 กว่าแล้วไม่ใช่เหรอ?

แบบนั้น การที่ผมใช้เบอร์เดิมมาตลอด ก็ไม่แปลก… อีกตั้ง 10 กว่าปี

[เบอร์โทรศัพท์ใช้ยืนยันตัวตน หรือลงทะเบียนต่างๆ เธอเคยบอกว่าขี้เกียจเปลี่ยนเบอร์ แล้วค่อยไปเปลี่ยนข้อมูลทีละอย่างๆ]

เหมือนผมจะเคยพูดแบบนั้นจริงๆ ด้วย

ตอนที่รู้ว่ารุ่นพี่รู้เบอร์ผม ผมก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนเบอร์เลย ถ้าไม่ใช่ว่ามีคนโทรมาก่อกวนนะ

ไม่คิดเลยว่าจะโดนโน้มน้าวด้วยเรื่องของตัวเองแบบนี้

[แต่การที่ฉันรู้เบอร์เธอฝ่ายเดียว มันก็ไม่แฟร์ เรามาแลกเบอร์กันดีกว่า เธอใช้ Connec ใช่ไหม?]

[ครับ ใช่ครับ]

Connec เป็นแอพส่งข้อความยอดนิยม ที่แซงหน้าอีเมลไปแล้ว ในยุคที่สมาร์ทโฟนเป็นที่นิยม

Connec มีฟังก์ชั่นมากมาย เช่น แชท สติ๊กเกอร์ โทร

[งั้นสแกน QR Code เลย นี่ไง]

[ครับ]

ผมสแกน QR Code ของรุ่นพี่

แล้วก็กดเพิ่มเพื่อน ในบัญชีที่ชื่อ [คาบูรากิ มิฮารุ] ซึ่งเป็นชื่อจริงของเธอ

จากนั้นผมก็ส่งสติ๊กเกอร์ไปให้เธอ เพื่อให้เธอยืนยัน ผมเลือกสติ๊กเกอร์ Connec-kun ตัวละครมาสคอตของแอพ ที่เป็นรูปสุนัขจิ้งจอกเฟนเนก

ที่ผมเลือกสติ๊กเกอร์อันนี้ ก็เพราะ… ไม่มีอะไรจะส่ง

[ขอบคุณนะ]

รุ่นพี่ยิ้ม แล้วก็ส่งสติ๊กเกอร์รูปตัวประหลาดๆ น่ารักๆ กลับมา

เป็นสติ๊กเกอร์แบบเสียเงิน ที่ดูไม่ค่อยมีใครใช้

ผมมองเธอ แล้วก็เผลอถามออกไป

[รุ่นพี่ ใช้ Connec คล่องเลยนะครับ]

[หืม? หมายความว่าไง?]

[คือ… ถ้ารุ่นพี่ข้ามเวลามาจริงๆ ผมคิดว่ารุ่นพี่น่าจะใช้… อุปกรณ์ที่ล้ำสมัยกว่าสมาร์ทโฟนนะครับ]

ถึงตอนนี้คนส่วนใหญ่จะมีสมาร์ทโฟน แต่ผมเคยได้ยินมาว่า สมาร์ทโฟนเพิ่งจะเริ่มเป็นที่นิยม เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง

ก่อนสมาร์ทโฟนก็เป็นโทรศัพท์ฝาพับ ก่อนหน้านั้นก็… เพจเจอร์?

เทคโนโลยีมันพัฒนาไปเร็วมาก ผมรู้จักแค่สมาร์ทโฟน แต่ อีก 10 ปี สมาร์ทโฟนอาจจะกลายเป็นของโบราณก็ได้

ถ้างั้น ถ้ารุ่นพี่เคยใช้ชีวิตอยู่ในยุคอนาคต สมาร์ทโฟนก็คงเป็นของล้าสมัย เธอคงใช้ไม่เป็น…

(ผมถามอะไรออกไปเนี่ย)

ผมยังไม่เชื่อเรื่องที่เธอมีชีวิตมาแล้ว 2 รอบ เลยพยายามหาข้อผิดพลาด ผมรู้สึกแย่กับตัวเอง

ผมแค่อยาก… ลองทดสอบเธอ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี

[ขอโทษครับ รุ่นพี่ ผมแค่…]

[หืม เป็นคำถามที่ดีมาก!]

รุ่นพี่ขัดจังหวะผม พร้อมกับหัวเราะ

เธอดูไม่โกรธเลย ตรงกันข้าม เธอดูดีใจมาก

[แน่นอน ฉันเคยใช้อุปกรณ์ที่ล้ำหน้ากว่าสมาร์ทโฟน แต่สำหรับฉัน มันเป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว]

เรื่องของอนาคต แต่เป็นอดีต…

ผมเริ่มงงกับคำพูดของเธอ

[ฉันจะไม่บอกอายุที่แน่นอน แต่… สมมติว่าฉันอายุ 80 ปี แล้วข้ามเวลามาตอนอายุ 15 ปี]

[ครับ]

ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่บอกอายุจริง แต่ผมก็ฟังเธอต่อ

[ตอนนี้ฉันอายุ 17 ปี ถ้างั้น… อีก 4 ปี ฉันก็จะอายุ 21 ปี แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็เคยอายุ 21 ปี เมื่อ 3 ปีก่อน]

เรื่องของอนาคต ถ้ามองจากมุมมองของรุ่นพี่ มันก็กลายเป็นอดีต… แบบนั้นเหรอ?

ผมเริ่มมึนหัว

[กลับมาเรื่องสมาร์ทโฟน จริงอยู่ที่มันเคยเป็นของล้าสมัยสำหรับฉัน แต่มันก็ยังใช้กันอยู่ ถึงบางทีจะไม่สะดวกบ้าง แต่ถ้าใช้ทุกวัน ฉันก็ใช้มันได้เหมือนคนทั่วไป]

[เหรอครับ…]

[ใช่แล้ว เอาไว้ค่อยคุยเรื่องยากๆ กัน ถึงจะสนุก แต่ถ้าคุยต่อ เดี๋ยวพักเที่ยงก็หมดหรอก]

จริงด้วย พักเที่ยงมีแค่ 50 นาที

ผมต้องรีบกินข้าว แล้วเตรียมตัวเรียนตอนบ่าย

[งั้นฉันขอเดา จากประสบการณ์ของฉัน]

รุ่นพี่คาบูรากิพูดพร้อมกับชี้นิ้วมาที่ผม

[ข้าวเที่ยงของยูกิคุง คือข้าวกล่องที่ทำเองกับมือ!]

เธอดูมั่นใจ เหมือนนักสืบที่กำลังเปิดเผยตัวคนร้าย

และแน่นอน เธอเดาถูก

[ถูกต้องครับ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอกครับ]

ผมเปิดกล่องข้าว โดยไม่รู้สึกแปลกใจ

การเดาว่าผมเอาข้าวกล่องมา มันง่ายกว่าการรู้เบอร์โทรศัพท์ผมเยอะ

รุ่นพี่บอกผมแล้วว่า ให้นำข้าวเที่ยงมาด้วย

แล้วตอนที่ผมมาถึงห้องชมรม ผมก็ถือแค่ถุงใส่กล่องข้าวกับกระติกน้ำ เดาได้ไม่ยากเลยว่าเป็นข้าวกล่องที่ทำเอง

แต่แค่เธอบอกว่าเป็นข้าวกล่อง ก็คงเดาไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำ… ผมเคยคุยเรื่องที่ผมทำข้าวกล่องเอง กับอากิระกับโอบายาชิหลายครั้ง เธออาจจะเคยได้ยินมาก็ได้…

[เด็กม.ปลายที่ทำข้าวกล่องเอง มันน่าทึ่งมากเลยนะ แถมเธอยังทำเผื่อคนในครอบครัวด้วยใช่ไหม?]

… เธอรู้อีกแล้ว

[พ่อแม่ผมทำงานหนัก ยุ่งกว่าผมอีก แต่พวกท่านก็ยังทำกับข้าวให้ ผมแค่ช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง]

[นั่นแหละที่น่าชื่นชม เธอสมเป็นยูกิคุงที่ฉันชอบ จริงๆ เลย]

รุ่นพี่ยิ้มกว้าง

ผมไม่รู้จะตอบยังไง เลยได้แต่หลบสายตา

ถ้าเธอไม่พูดว่า [ชอบ] ผมคงดีใจกว่านี้

[ว่าแต่ ยูกิคุง! ฉันอยากกินข้าวกล่องของเธอจัง!]

[เอ๋?]

[ก็… ฉันเคยได้ยินแต่เรื่องข้าวกล่องฝีมือเธอ อ๊ะ ไม่สิ ฉันเคยกินข้าวกล่องที่เธอทำแล้ว หมายถึง… ข้าวกล่องที่เธอทำตอนเป็นนักเรียนม.ปลาย]

[ห๊ะ…]

ดูเหมือนว่าในอนาคต ผมก็ยังคงทำข้าวกล่องอยู่

[ฉันอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ! แน่นอนว่า รวมถึงรสชาติอาหารที่เธอทำด้วย ฉันอยากลิ้มรสทุกอย่าง แม้แต่ซอสที่ติดจาน ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าเลย!]

[ไม่เอาครับ]

[อย่าใจร้ายสิ]

ผมปฏิเสธเสียงแข็ง

[ไม่ได้มีอะไรพิเศษขนาดนั้นหรอกครับ… ผมว่ามันคงไม่อร่อยถูกใจรุ่นพี่หรอก]

ถ้าผมให้ข้าวกล่องเธอไป ผมก็จะไม่มีข้าวกิน

การอดข้าวเที่ยงมันทรมานนะ ผมคงคิดถึงแต่เรื่องกิน ตลอดคาบเรียนบ่าย

[แน่นอน ฉันไม่ได้จะขอข้าวกล่องเธอฟรีๆ หรอก]

รุ่นพี่พูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ด้วยสีหน้ามั่นใจ เหมือนเตรียมตัวไว้แล้ว

จากนั้นเธอก็เดินไปที่ตู้เย็น หยิบกล่องขนาดเท่าหนังสือการ์ตูนออกมา

เป็นข้าวกล่องจากร้านดัง ที่ผมเคยเห็นในทีวี

[ฉันจะเอาอันนี้แลกกับเธอ]

[เอ๋!?]

[ไม่พอใจเหรอ? จริงอยู่ที่ข้าวกล่องฝีมือเธอ มีค่ามากกว่าข้าวกล่องสำเร็จรูป… แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ฉันพอจะให้เธอได้]

[ไม่ใช่แบบนั้นครับ! ข้าวกล่องของผม มันไม่มีค่าขนาดนั้น แล้วก็… มีแต่ของแช่แข็งด้วย!]

[ไม่ว่าข้างในจะเป็นของแช่แข็ง หรือของเหลือจากเมื่อวาน มันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจของเธอ ไม่มีอะไรมาเทียบได้หรอก]

รุ่นพี่พูดอย่างมั่นใจ โดยไม่ลังเลเลย

[ถ้าพรุ่งนี้โลกจะแตก ฉันก็อยากกินข้าวกล่องของเธอเป็นมื้อสุดท้าย]

[… ถ้าพรุ่งนี้โลกจะแตก ผมคงไม่อยากทำข้าวกล่องหรอกครับ]

[อ่าฮ่าๆ ฉันก็คิดไว้เเล้วว่าเธอต้องพูดแบบนี้!]

รุ่นพี่หัวเราะ เมื่อได้ยินคำตอบแบบขอไปทีของผม (จริงๆ ผมแค่เขิน) แต่เธอก็ไม่ได้โกรธ เธอยังคงร่าเริง

จริงๆ แล้ว ผมไม่ได้ชอบทำอาหาร

แค่คนในครอบครัวผม ต่างก็ยุ่ง การทำอาหาร หรือทำข้าวกล่อง เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ผมพอจะช่วยได้

บางทีผมก็ดูคลิปสอนทำอาหาร แล้วลองทำตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าผมทำอาหารเก่ง หรืออยากเป็นเชฟ อะไรแบบนั้น

ผมไม่รู้ว่าตัวผมในอนาคตเป็นยังไง แต่จากที่รุ่นพี่พูด ดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้ทำอาหารเก่งขึ้นสักเท่าไหร่

[ยังไงก็เถอะ ข้าวกล่องนี้มีค่าสำหรับฉันมาก อย่าคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยนะ]

[ก็ถ้ารุ่นพี่โอเค ผมไม่มีปัญหาครับ…]

[จริงเหรอ? งั้นรีบแลกกันเลย ก่อนที่จะเปลี่ยนใจ! อ๊ะ ข้าวกล่องคงเย็นแล้ว เอาไปอุ่นในไมโครเวฟก่อนนะ!]

รุ่นพี่พูดรัวเร็ว พลางแลกข้าวกล่องกับผม

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนในนิทาน ที่ข้าวกล่องธรรมดาๆ กลายเป็นข้าวกล่องระดับดารา…

(หา! 2,000 เยน!?)

ผมเพิ่งสังเกตเห็นสติ๊กเกอร์ราคา ที่แปะอยู่บนฝากล่อง!

ข้าวกล่อง 2,000 เยน… ขนาดข้าวกล่อง 500 เยนในร้านสะดวกซื้อ ผมยังคิดแล้วคิดอีก นี่มันแพงกว่าตั้ง 4 เท่า!

[เป็นอะไรไป?]

[ปะ… เปล่าครับ…]

ผมไม่อยากบอกว่าผมตกใจกับราคา เลยได้แต่ตอบเลี่ยงๆ แล้วเอาข้าวกล่องไปอุ่นในไมโครเวฟ 2 นาที

รุ่นพี่ยืนมองผม พร้อมกับรอยยิ้ม ผมไม่รู้ว่าเธอขำอะไร แต่ผมรู้สึกอึดอัด

[รุ่นพี่ ทานก่อนได้เลยนะครับ]

[ไม่เป็นไร ฉันรอได้ แป๊บเดียวเอง]

การที่เธอต้องรอ มันทำให้ผมกดดัน…

2 นาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า… เสียง [ติ๊ง!] ดังขึ้น ผมรีบหยิบข้าวกล่องออกมา

[ขะ… ขอโทษที่ให้รอนะครับ!]

[ไม่เป็นไร ไม่ได้รอนานอะไรเลย]

[รุ่นพี่ไม่อุ่นเหรอครับ?]

[อืม กินแบบเย็นๆ ก็อร่อย ฉันชอบแบบนี้มากกว่า]

ผมว่ากินแบบอุ่นๆ น่าจะอร่อยกว่า แต่ก็แล้วแต่คนชอบ

ผมไม่ได้ใส่ใจ แล้วก็นั่งลงตรงข้ามเธอ

[งั้น พร้อมแล้ว ทานกันเลย]

[ครับ]

[จะทานละนะคะ]

[จ… จะทานละนะครับ]

การกล่าว [จะทานละนะคะ/ครับ] ก่อนรับประทานอาหาร เป็นมารยาทพื้นฐาน แค่พูดสั้นๆ แล้วพนมมือ

แต่ท่วงท่าของรุ่นพี่ มันดูสง่างาม จนผมรู้สึกเกร็ง

หลังจากที่ได้คุยกันเมื่อวานนี้ ผมเริ่มรู้สึกว่ารุ่นพี่คาบูรากิก็เป็นมนุษย์เหมือนผม

เธอยิ้มแย้ม ร่าเริง เหมือนเด็กๆ จนผมลืมไปเลยว่าเธอเป็นรุ่นพี่

บางทีเธอก็พูดอะไรแปลกๆ เช่น [ชีวิต 2 รอบ] แต่… อย่างน้อย ภาพลักษณ์ของเทพธิดา หรือนางฟ้า ที่ผมเคยรู้สึก ก็จางหายไปเยอะ

แต่บางครั้ง ผมก็รู้สึกว่าเธอแตกต่างจากคนทั่วไป

ท่าทางของเธอดูสง่า สวยงาม

ผมรู้สึกได้ว่าเธอใส่ใจทุกรายละเอียด ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า

ถ้าจะให้ผมอธิบาย ก็คงต้องบอกว่า… เธอ [ดูดี]

ถึงจะเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่… ผมก็รู้สึกถึงความแตกต่าง

… ผมกำลังคิดแบบนั้น รุ่นพี่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

[… ได้แล้ว]

เธอเปิดฝากล่องข้าว แล้วก็เอาโทรศัพท์มาถ่ายรูป…?

แชะ!

[หุๆๆ ถ่ายได้แล้ว… แสงน้อยไปหน่อย ลองเปลี่ยนมุม…]

เธอพึมพำ พลางถ่ายรูปข้าวกล่องที่ผมทำ จากหลายๆ มุม…

แชะ! แชะ! แชะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เธอถ่ายรูปรัวๆ…

[เอ่อ… รุ่นพี่ครับ ถ่ายเยอะไปแล้วนะครับ…]

[ไม่ได้หรอก ฝีมือถ่ายรูปของฉันยังไม่ดีพอ จะเก็บรายละเอียดความน่ากินของข้าวกล่องนี้ไว้ไม่ได้ น่าจะฝึกถ่ายรูปสวยๆ มาตั้งนานแล้ว…]

[ข้าวกล่องของผม มันไม่ได้น่าถ่ายรูปขนาดนั้นหรอกครับ]

ผมไม่ได้ตั้งใจทำข้าวกล่องให้น่าถ่ายรูป

มันไม่ได้มีสีสันสดใส ดูดี หรือเป็นข้าวกล่องคาแรคเตอร์ แบบที่คนชอบโพสต์ลงโซเชียล แต่มันเป็นข้าวกล่องธรรมดาๆ สีน้ำตาลๆ

แต่ผมว่า ที่มันดูไม่น่ากิน เป็นเพราะกับข้าวมากกว่า

ก็… ทอดมัน โคร็อกเกะ แฮมเบิร์ก ผัดรากบัว มันเป็นสีน้ำตาลหมดเลย!

[มันก็น่าถ่ายรูปอยู่นะ มะเขือเทศสีแดง ถั่วแขกสีเขียว…]

[นั่นแค่สีสันเล็กๆ น้อยๆ เองครับ]

ต่อให้มะเขือเทศเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ ถั่วแขกเป็นเหมือนต้นกระบองเพชร

มันก็ไม่ได้ช่วยให้ข้าวกล่องดูดีขึ้น

[หืมมม… ถ้างั้น อันนี้ล่ะ!]

รุ่นพี่พูดพร้อมกับหยิบไข่หวานขึ้นมา

[ฉันรู้ ไข่หวานนี่แหละ คือพระเอกของข้าวกล่อง!]

รุ่นพี่เชิดหน้า อย่างภาคภูมิใจ

เธอทำหน้ามั่นใจ จนผมอยากถ่ายรูปเก็บไว้ แต่… ไข่หวาน กับ รูปลักษณ์ภายนอก มันไม่เกี่ยวกันสักหน่อย สีเหลืองก็ไม่ได้ช่วยอะไร

[ไข่หวานนี้ ต่างจากกับข้าวอื่นๆ มันเป็นของที่เธอทำเองกับมือ!]

[ครับ…]

ผมรู้สึกกังวล

เพราะแววตาของรุ่นพี่ มันดูคาดหวังมากกว่าเดิม

[เอ่อ… ก็… ผมทำเองจริงๆ นั่นแหละครับ]

[จริงสิ! ฉันอยากกินไข่หวานที่เธอทำ มานานแค่ไหนแล้วนะ…]

รุ่นพี่พูดด้วยน้ำเสียงโหยหา

ผมยิ่งรู้สึกกดดัน

[ผะ… ผมบอกอีกครั้งนะครับ ว่ามันไม่ได้อร่อยอะไรมากมาย]

จริงอย่างที่รุ่นพี่บอก กับข้าวส่วนใหญ่ในข้าวกล่องของผม เป็นของแช่แข็ง มีแค่ไข่หวานนี่แหละ ที่ผมทำเอง

แต่ถึงจะทำเอง ผมก็แค่คนธรรมดา

มันคงไม่อร่อยถูกปากรุ่นพี่ ที่น่าจะเคยกินแต่อาหารหรูๆ แบบข้าวกล่องที่เธอให้ผมมา

ผมแค่ผสมไข่ ดาชิ กับเกลือ เข้าด้วยกัน แล้วก็ทอด

เป็นไข่หวานธรรมดาๆ ที่ทำกินกันในบ้าน

[ไม่หรอก ไม่จริงหรอก]

รุ่นพี่ส่ายหัว เหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

[ถึงมันจะดูไม่น่ากิน แต่มันก็เป็นแบบฉบับของเธอ ฉันชอบนะ]

[รุ่นพี่คิดว่าผมเป็นคนยังไงกันแน่ครับ?]

[ฉันอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้หรอก แต่… เธอเพียงคนเดียวที่ฉันอยากให้อยู่ข้างๆ เสมอ]

อึก…

เธอพูดจาโอเวอร์ เหมือนกำลังล้อผม

ถึงจะเคยได้ยินคำพูดแบบนี้หลายครั้งแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ชินสักที

[แต่ฉันก็รู้ว่า ตัวตนของเธอที่ฉันรู้จัก กับตัวตนของเธอในตอนนี้ มันต่างกัน รสชาติของไข่หวาน ก็คงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา]

[… งั้นก็อย่าคาดหวังมากนะครับ ผมกดดัน]

[ฉันก็อดคาดหวังไม่ได้หรอก การได้สัมผัสตัวตนของเธอที่ฉันไม่รู้จัก มันเป็นโอกาสที่ฉันจะได้รู้จักเธอมากขึ้น เพราะงั้น… จะทานละนะคะ]

รุ่นพี่พูดจบ ก็เอาไข่หวานเข้าปาก โดยไม่รอให้ผมเตรียมใจเลย!

[อืมมม!]

เธอกัดไข่หวานคำแรก แล้วก็เบิกตากว้าง… ตัวแข็งทื่อ

เหมือนกับว่ามีพิษอยู่ในไข่หวาน แต่เป็นไปไม่ได้หรอก

ผมได้แต่มองเธอ ด้วยความตกใจ

ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็สะดุ้ง

[… รสชาติ…]

[เอ๋?]

[เหมือนกันเลย]

รุ่นพี่พึมพำ ด้วยสีหน้าตกตะลึง

แล้วก็… น้ำตาไหลออกมาจากตาขวาของเธอ

(หาาาาา!?)

ผมตกใจมาก ที่เห็นเธอร้องไห้

เธอก็เป็นผู้หญิงคนนึง แถมยังเป็นรุ่นพี่คาบูรากิ คนที่ดูเพอร์เฟ็กต์

ผมคิดว่าเธอคงไม่เสียน้ำตาให้กับเรื่องแค่นี้

[อะ… อ่าฮ่าๆ คือ… ขอโทษนะ จู่ๆ ก็…]

รุ่นพี่รีบเช็ดน้ำตา พลางแก้ตัว

แต่การกระทำแบบนั้น ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่า เธอร้องไห้จริงๆ

[… รุ่นพี่นั่นแหละ ที่ชอบทำอะไรปุบปับ]

ผมตั้งใจจะปลอบเธอ แต่กลับพูดจาไม่ดีออกไป ผมรู้สึกแย่กับตัวเอง แต่รุ่นพี่ก็ไม่ได้ผิดหวัง เธอยิ้ม แล้วพูดว่า [ก็จริง]

ผมรู้สึกว่าเธอเป็นผู้ใหญ่กว่าผมเยอะเลย

[หรือว่า… ผมใส่เกลือเยอะไปเหรอครับ…]

[เปล่าเลย! อร่อยกำลังดี ฉันตกใจมากเลย!]

อร่อยกำลังดี…

ผมนึกถึงตอนที่เพื่อนๆ แอบกินไข่หวานในข้าวกล่องของผม

ตอนนั้น อากิระบอกว่า [ฉันชอบหวานๆ ไม่ชอบเค็มๆ] ส่วนโอบายาชิบอกว่า [รสชาติเข้มไป!] พวกเขาพูดอะไรก็ไม่รู้

ผมรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดไม่ดี แต่ผมก็รู้ว่า แต่ละคนมีความชอบต่างกัน

บางคนชอบหวาน บางคนชอบเค็ม บางคนชอบรสจัด

ไข่หวานที่ผมทำ โชคดีที่ถูกปากคนในครอบครัว พวกเขาถึงอยากให้ผมใส่ไข่หวานในข้าวกล่องทุกวัน

(แต่… นอกจากครอบครัว ก็มีแค่รุ่นพี่นี่แหละ ที่ชอบรสชาติแบบนี้)

ขนาดร้องไห้เลย… ถึงจะดูเว่อร์ไปหน่อย แต่ผมก็มั่นใจว่าเธอไม่ได้โกหก

แล้วถ้ารุ่นพี่คาบูรากิ รู้ว่าผมทำไข่หวานแบบไหน… นั่นคงเป็นเหตุผลที่เธอทำตาเป็นประกาย…

(ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้ เรื่องชีวิต 2 รอบ มันเป็นไปไม่ได้)

มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินไป

ผมไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน แล้วคนที่เป็นแบบนั้น กลับเป็นว่าที่เจ้าสาวของผม… รุ่นพี่คงเเค่แปลก ที่ชอบผมตั้งแต่แรกเห็น แบบนั้นน่าจะเป็นไปได้มากกว่า

เเต่ถึงเป็นเรื่องนั้น ก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดี

[อ๊ะ!]

รุ่นพี่ร้องเสียงดัง ทำลายความคิดของผม

แล้วเธอก็… ทำหน้าผิดหวัง

[แย่แล้ว… ฉันยังถ่ายรูปไม่เสร็จเลย แต่ดันกินไข่หวานไปซะแล้ว!]

[รุ่นพี่ยังจะถ่ายรูปอีกเหรอครับ?]

[แน่นอนสิ! นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้กินข้าวกล่องฝีมือเธอในชาตินี้ ฉันอยากเก็บความทรงจำดีๆ นี้ไว้ เพื่อระลึกถึงความสุข…]

รุ่นพี่พูดอย่างกระตือรือร้น

ผมอดอมยิ้มไม่ได้ ที่เห็นเธอจริงจังขนาดนี้

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ผมก็รู้สึกดี ที่เธอชอบข้าวกล่องที่ผมทำ

[ถ้างั้น ผมจะทำให้ใหม่นะครับ]

[… เอ๋?]

[อ๊ะ ไม่ได้สินะครับ รุ่นพี่บอกว่าอยากกินข้าวกล่องที่ผมทำเป็นครั้งแรก ถ้าผมทำใหม่อีก มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว…]

[มะ… ไม่ใช่แบบนั้น! การเป็นครั้งแรก มันสำคัญแค่ครั้งแรกเท่านั้น! สถิติมีไว้ทำลาย!]

รุ่นพี่รีบพูด พร้อมกับลืมเรื่องที่เธอเพิ่งพูดไป เมื่อกี้ซะงั้น

[ใช่! ครั้งแรกมีแค่ครั้งเดียว ครั้งที่สองก็มีแค่ครั้งเดียว! ครั้งที่สามก็มีแค่ครั้งเดียว!]

รุ่นพี่เงยหน้ามองเพดาน ด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง เหมือนเพิ่งค้นพบสัจธรรม

แต่ผมก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นได้

[… เอ่อ ขอโทษนะครับ ถึงผมเป็นคนพูดเอง แต่…]

[หืม?]

[พอนึกดูดีๆ แล้ว ข้าวกล่องของผม พ่อแม่เป็นคนออกค่าใช้จ่าย ผมคงทำตามที่รุ่นพี่ขอ ไม่ได้หรอกครับ]

[อุ๊บ…]

[อุ๊บ?]

[… เปล่า ไม่มีอะไร]

ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแปลกๆ ที่ไม่น่าจะออกมาจากปากของรุ่นพี่คาบูรากิ… แต่คงคิดไปเอง

[จริงสิ เธอเป็นแค่นักเรียนม.ปลาย บ้าจริง ที่ไปขอข้าวเที่ยงจากเธอ…]

รุ่นพี่ทำหน้าหงอย

เธอคงผิดหวังมาก ผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่หดหู่

เธอเป็นผู้หญิง เป็นรุ่นพี่ แถมผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอเสียใจ ผมรู้สึกผิดเอามากๆ

[… ฉันขอเสนอ ให้ฉันจ่ายเงิน เพื่อแลกกับข้าวกล่องของเธอ เป็นไง?]

[ไม่ดีกว่าครับ ข้าวกล่องของผม ไม่ได้มีค่าพอจะให้รุ่นพี่จ่ายเงินหรอกครับ]

[จริงสิ…ถ้าเป็นเธอก็ต้องพูดแบบนี้…]

[อ๊ะ]

ผมเผลอพูดตรงๆ ทั้งๆ ที่เธอพยายามช่วย

แต่ถึงจะอยากให้เธออารมณ์ดี ผมก็ไม่อยากให้เธอจ่ายเงิน เพื่อแลกกับข้าวกล่องของผม

ต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้… อ๊ะ!

[รุ่นพี่ครับ ผมว่าเราวกไปไกลแล้ว ทำแบบวันนี้ก็ได้นี่ครับ แลกข้าวกล่องกัน]

[เอ๋?]

[อะ… คือ ผมไม่ได้หมายถึงว่า ข้าวกล่องของผม จะเทียบเท่ากับข้าวกล่องหรูๆ แบบนี้หรอกนะครับ แค่… ข้าวปั้น หรือขนมปัง ก็พอแล้วครับ]

ข้าวกล่องแบบนี้ มันแพงเกินไป แต่ถ้าผมแลกข้าวกล่องกับอย่างอื่น ผมก็ไม่ต้องขออนุญาตพ่อแม่

สำหรับรุ่นพี่ ข้าวกล่องของผมอาจจะแปลกใหม่ แต่สำหรับผม มันก็แค่ข้าวกล่องธรรมดา ผมไม่ได้เสียหายอะไร

[… แต่ว่า]

รุ่นพี่ทำหน้าเศร้า ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าเธอจะตอบตกลงทันที

แล้วเธอก็มองไปที่… ข้าวกล่องที่เธอให้ผมมา

[ยูกิคุง เธอไม่กินข้าวกล่องเลยนะ]

[หา?]

[ฉันตั้งใจเอาของโปรดของเธอมา คิดว่าเธอจะชอบ แต่เธอก็อุ่นไว้เฉยๆ]

รุ่นพี่เบะปาก แล้วก็หันหน้าหนี

นี่เธอ… งอนเหรอเนี่ย?

[… ฉันผิดเอง ที่พยายามเอาของมาล่อเธอ ฉันเป็นคนที่แย่จริงๆ ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเอง ไร้ค่า และน่าสมเพช ขนาดนี้มาก่อน…]

แม้แต่งอน เธอก็ยังเว่อร์!

รุ่นพี่เอาหน้าฟุบลงบนโต๊ะ แล้วก็พูดพึมพำเรื่องเศร้าๆ ด้วยน้ำเสียงเบาๆ 

(ผมต้องง้อเธอสินะ…)

ผมไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิง ผมไม่รู้วิธีรับมือกับผู้หญิง

แต่ผมเคยรับมือกับคนที่งอแงแบบนี้… ถึงจะใช้คำพูดไม่ดีก็เถอะ ส่วนใหญ่ก็คนในครอบครัว

ถึงสถานการณ์จะต่างกัน แต่… ผมก็ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้

[ผมขอโทษ ที่ทำให้เข้าใจผิดนะครับ แต่ที่ผมไม่กินข้าวกล่อง ไม่ใช่เพราะไม่ชอบ แต่เพราะ… เสียดาย ที่ได้รับข้าวกล่องดีๆ จากรุ่นพี่ แล้วต้องรีบกิน…]

ผมพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป

จากประสบการณ์ ถ้ามัวแต่คิด ผมจะโดนดุว่า [พยายามพูดเอาใจฉัน ใช่ไหม!]

การแก้ตัวหรือขอโทษ ต้องพูดให้เร็ว เพราะถ้ามัวแต่คิด คนเราก็จะหาคำพูดสวยหรู มาพูดได้เรื่อยๆ

[ไม่ต้องเกรงใจฉันก็ได้…]

[ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ! แล้วก็… การที่รุ่นพี่จะกินข้าวกล่องที่ผมทำ มันทำให้ผมประหม่า… กับข้าวบางอย่างก็พอว่า แต่นี่ทั้งกล่อง นอกจากครอบครัวแล้ว ก็มีแค่รุ่นพี่นี่แหละครับ ผมเลยกังวลว่ามันจะถูกปากรึเปล่า]

การพูดสิ่งที่อยู่ในใจโดยไม่คิด ก็คือการพูดความจริง

ผมกลัวว่ารุ่นพี่จะผิดหวัง ผมเลยไม่กล้ากินข้าวกล่อง

[งั้นเหรอ… ฉันทำให้เธอไม่สบายใจสินะ]

[เอ่อ…]

 

 

ชีวิตรอบที่ 2 ของรุ่นพี่คาบูรากิ

ชีวิตรอบที่ 2 ของรุ่นพี่คาบูรากิ

Score 10
Status: Completed
"ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ฉันจะรักเธอตลอดไป" "ฉัน คาบูรากิ มิฮารุ เจ้าสาวในอนาคตของเธอ!" ฮิมิยะ ยูกิ เด็กหนุ่มมัธยมปลายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ต้องตกตะลึงเมื่อจู่ๆ คาบูรากิ มิฮารุ รุ่นพี่สาวสวยผู้เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถ ก็โผล่มาสารภาพรักกับเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย! ว่าแต่... ทำไมรุ่นพี่ถึงรู้จักเขาดีจังนะ? ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยคุยกับเธอมาก่อนเลยสักครั้ง หรือว่าเธอจะเป็นสตอล์กเกอร์? ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังบอกอีกว่าตัวเองใช้ชีวิตมาแล้วถึง 2 รอบ! ความใกล้ชิด รุกหนักแบบไม่พัก ทำให้หัวใจของยูกิเต้นไม่เป็นจังหวะ เรื่องราวความรักสุดอลวน กับปฏิบัติการพิชิตใจหนุ่มน้อยของรุ่นพี่สาวสวยผู้ใช้ชีวิตมาเเล้วถึง 2 รอบ! จะชุลมุนวุ่นวายขนาดไหน?

Options

not work with dark mode
Reset