บทที่ 922 ฉลองงานแต่ง (ตอนกลาง) (1)
……….
ใช่แล้ว วันนี้คือวันงานแต่งของนางกับเซียวเหิง
โห ไม่เคยแต่งงานมาก่อนเลย รู้สึกแปลกใหม่อยู่เหมือนกัน” ความง่วงงุนของนางหายไปในพริบตา ดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย
อวี้หยาเอ๋อร์กับแม่นางเหยาได้ยินนางเอ่ยดังนั้น จึงคิดว่านางเอ่ยถึงยามอยู่ในชนบทที่ไม่เคยจัดงานแต่งงานมาก่อน
ทั้งสองคนปวดใจยิ่งนัก
คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูหมดทุกข์หมดโศกแล้ว จากนี้ไม่ต้องลำบากอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ” อวี้หยาเอ๋อร์เอ่ยปลอบนางจากใจจริง
ในใจของแม่นางเหยาปวดร้าว ปลายจมูกแสบร้อน กลั้นน้ำตาไม่อยู่ตั้งแต่ได้ยินคำว่า “งานแต่งงาน” ของกู้เจียว
นางเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสงสารลูกสาวที่ต้องพบเจอเรื่องราวในอดีต หรือว่าอาลัยอาวรณ์ที่ลูกสาวต้องออกเรือน
ยังมิทันได้เลี้ยงดูฟูมฟักกันด้วยซ้ำ ยังไม่ทันได้เลี้ยงเลยจริงๆ
ลูกสาวที่เพิ่งได้พบกันหลังพรากจากไปสิบสี่ปี ยังไม่ทันสี่ปีก็แต่งงานออกเรือนเสียแล้ว
“ฮูหยินเจ้าคะ อย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ” อวี้หยาเอ๋อร์เอ่ยปลอบ น้ำเสียงพลันสะอื้นขึ้นมา “หากฮูหยินร้อง ข้าก็จะร้องตามไปด้วย”
ประหลาดนัก ทั้งๆ ที่มิได้เสียใจ แต่พอเห็นฮูหยินน้ำตาไหล นางเองก็พลอยเศร้าใจตาม
กู้เจียวมองแม่นางเหยาด้วยความมึนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่นางเหยาถึงได้ร้องไห้
ช่างแต่งหน้าเห็นภาพเช่นนี้มานักต่อนัก นางยิ้มเอ่ยกับแม่นางเหยา “ฮูหยิน คุณหนูออกเรือนไปอยู่เมืองหลวง มิได้ไปไหนไกลเสียหน่อย หากอยากเจอคุณหนู ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกหรือ”
“ที่พูดมาก็ถูก” แม่นางเหยาเช็ดน้ำตา รู้สึกแย่ไม่น้อยที่ตนเองเสียกิริยาต่อหน้าลูกสาวเช่นนี้ โชคดีที่มิได้กระทบกระเทือนจิตใจของลูกสาว
แม่นางเหยากุมหลังมือของกู้เจียวพลางเอ่ย “แม่ให้คนเตรียมน้ำอุ่นไว้แล้ว ไปกันเถิด พวกเราไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน”
“ต้องอาบน้ำด้วยหรือ” กู้เจียวถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะลงจากเตียงแล้วไปอาบน้ำอาบท่าในห้องถัดไป
ถังอาบน้ำนั้นทำขึ้นมาใหม่ ส่งกลิ่นหอมของเนื้อไม้ น้ำอุ่นถูกเติมปริ่มถังใหญ่ กลีบดอกไม้ลอยละล่อง
กลิ่นหอมอบอุ่นอบอวลไปทั่วห้อง
อวี้หยาเอ๋อร์ปรนนิบัติกู้เจียวยามอาบน้ำ
กู้เจียวไม่คุ้นชินกับการมีคนคอยตามปรนนิบัติยามอยู่ในบ้านสักเท่าไร นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้หยาเอ๋อร์เห็นร่างกายของคุณหนูในระยะประชิดเช่นนี้
หากไม่เห็นคงไม่รู้ ทว่าพอได้เห็นแล้ว น้ำตาของนางก็แทบไหลออกมา
บนร่างของคุณหนู… มีรอยแผลมากมายเหลือเกิน
แม้จะสมานดีแล้ว และแผลเป็นส่วนใหญ่หลงเหลือเพียงรอยจางๆ แต่พอนึกว่ารอยแผลเหล่านั้นมาจากไหน ในใจของนางก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างอธิบายไม่ถูก
คุณหนูใหญ่มักจะพูดว่าตัวเองไม่เป็นไร เอาแต่พูดว่าทุกอย่างราบรื่นดี
แต่แท้จริงแล้วนางบอกแต่ข่าวดีมิแจ้งข่าวร้าย
“ร้องไห้ทำไมหรือ” กู้เจียวได้ยินเสียงสะอื้นของอวี้หยาเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังจึงเหลียวไปมองนาง “เจ้าเสียใจเรื่องอันใด เจ้าคิดถึงพ่อแม่เจ้าหรือ”
อวี้หยาเอ๋อร์สะอื้นส่ายหน้า “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้คิดถึงพ่อแม่”
“อ๋อ เช่นนั้นเรื่องอะไรหรือ” กู้เจียวถาม
“คุณหนู เจ็บหรือไม่เจ้าคะ” ปลายนิ้วของอวี้หยาเอ๋อร์หยุดอยู่บนรอยแผลจางบนไหล่ขวาของนาง
กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่เจ็บแล้ว”
อวี้หยาเอ๋อร์กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่เอ่ยถามอีกต่อไป
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ นางถึงได้นึกถึงกู้จิ่นอวี๋
กู้จิ่นอวี๋จะมาเทียบกับคุณหนูได้อย่างไร นางสละชีวิตเพื่อแผ่นดิน ทั้งยังรับคมหอกคมดาบแทนชาวประชา คุณงามความดีมิได้มีเพียงหนึ่ง แต่โทษทัณฑ์ที่ต้องแบกรับนั้นก็มีไม่น้อย
“เจ้าไม่พอใจหรือ” กู้เจียวสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของอวี้หยาเอ๋อร์
อวี้หยาเอ๋อร์เอ่ย “ข้ามิได้ไม่พอใจเพราะคุณหนูนะเจ้าคะ ข้าคิดถึงคนหนึ่งที่ชอบเอาตนเองมาเปรียบเทียบกับคุณหนู… ช่างเถิดเจ้าค่ะ ไม่เอ่ยถึงนางดีกว่า วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณหนู อวี้หยาเอ๋อร์ต้องดีใจถึงจะถูก!”
กู้เจียว “อืม”
หลังจากอาบน้ำเสร็จ อวี้หยาเอ๋อร์ช่วยกู้เจียวสวมชุดเจ้าสาว
วันนี้เป็นวันงานแต่ง ชุดทั้งในทั้งนอกล้วนแต่เป็นสีแดงทั้งหมด
ชุดเจ้าสาวคือชุดที่เสี่ยวจิ้งคงขายลูกคิดทองคำเพื่อซื้อมาชุดนั้น เดิมทีชุดหลวมไปเล็กน้อย ทว่ายามนี้กลับพอเหมาะพอเจาะ
ตั้งแต่ข้ามกาลเวลามา เพื่อสะดวกต่อการทำงานและออกรบ เสื้อผ้าของนางจึงเรียบง่ายมาโดยตลอด ไม่เคยสวมชุดสีสดเช่นนี้มาก่อน
ยามที่นางเดินออกมาจากหลังฉากกั้นลม คนทั้งห้องต่างรู้สึกราวกับภาพตรงหน้าสว่างจ้า
ช่างแต่งหน้าเคยแต่งตัวในเจ้าสาวมานักต่อนัก ว่ากันตามตรง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือเครื่องหน้า ไม่มีใครน่ามองเทียบเท่ากับเจ้าสาวตรงหน้าผู้นี้เลย แต่เหตุใดหนอบนใบหน้าด้านซ้ายของนางต้องมีปานแดงด้วย ช่างน่าเสียดายจริงๆ
แม่นางเหยามองลูกสาวผู้แสนงดงามตรงหน้า นี่แค่ใส่ชุดแต่งงาน ยังไม่ทันได้สวมผ้าคลุมหน้า นางก็ตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
นางหันหลังกลับพลางสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะส่งยิ้มให้กับลูกสาว “เจียวเจียว มานั่งนี่สิจ๊ะ ให้แม่นางเฉินทำผมให้เจ้า”
ช่างแต่งหน้าแซ่เฉิน
กู้เจียวเดินมานั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
นางเองก็ตกตะลึงกับตนเองเช่นกัน
ใส่ชุดแบบนี้… ก็ใช้ได้เหมือนกันนี่
สีหน้าของกู้เจียวทำเอาช่างแต่งหน้าหัวเราะออกมา พลางเอ่ยในใจว่าเด็กสาวคนนี้ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ ไม่มีท่าทางเคอะเขินแม้แต่นิด ซื่อตรงราวกับเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น
ช่างแต่งหน้าเดินหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เจียว ก่อนจะเปิดกล่องเครื่องสำอางที่นางพกมาด้วย พลางเอ่ยกับกู้เจียวเสียงอ่อนโยน “ข้าเรียกเจ้าว่าเจียวเจียวเหมือนที่แม่เจ้าเรียกก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ” กู้เจียวขานตอบ
ช่างแต่งหน้ายิ้มเอ่ย “ก่อนทำผมให้เจ้า ข้าขอเปิดหน้าให้เจ้าก่อน”
“เปิดหน้าคืออะไรหรือ” นางเคยได้ยินแต่คำว่าเปิดศึก
“คือแบบนี้ ครั้งแรกอาจยังไม่ชินนัก” ช่างแต่งหน้าเสียงอ่อนโยน ชวนให้คนรู้สึกดีอย่างประหลาด
นางหยิบด้ายขาวเส้นยาวออกมา มือซ้ายดึงเอาไว้ ส่วนมือขวาม้วนพันเส้นด้ายก่อนจะขึงให้ตึง จากนั้นก็เริ่มหุบๆ อ้าๆ บนใบหน้าของกู้เจียว
กู้เจียวพลันเจ็บจี๊ดขึ้นมา!
เส้นผมกลางกระหม่อมของนางลุกชูชัน
ผ่านไปนานสองนาน ที่แท้กำลังถอนขนให้นางนี่เอง…
เดิมทีแม่นางเหยาเศร้าใจเสียกระไรดี ทว่าพอเห็นกู้เจียวแข็งทื่อเป็นไก่ไม้เช่นนั้นก็พลันหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
กู้เจียวปล่อยให้ช่างแต่งหน้าถอนขนบนใบหน้าของตัวเองราวกับร่างไร้วิญญาณ
ผู้บัญชาการน้อยแห่งค่ายทหารม้าเฮยเฟิงที่ฆ่าศัตรูโดยไม่กะพริบตา วันนี้กลับถูกคนยืดตัวให้นั่งบนเก้าอี้แล้วโดนถอนขน
หากพูดออกไปใครจะเชื่อกัน
เพราะช่างแต่งหน้าถูกชะตานางจึงตั้งใจถอนให้ถึงสองรอบ
หลังจากเปิดหน้าเสร็จแล้ว แม่นมฝางก็ยกกล่องอาหารร้อนกรุ่นจากครัวเข้ามาในห้อง
“ฮูหยิน คุณหนูใหญ่” นางยิ้มเอ่ยคำนับ
แม่นางเหยาถาม “เหตุใดถึงเร็วนัก เพิ่งจะไปเองมิใช่หรือ”
แม่นมฝางยิ้มตอบ “อันกั๋วกงสั่งการให้พวกบ่าวทำเตรียมไว้ก่อนหน้าแล้วเจ้าค่ะ” นางนิ่งไปก่อนจะกระซิบกับแม่นางเหยา “ได้ยินพวกบ่าวพูดกันว่า อันกั๋วกงนอนไม่หลับทั้งคืนเลยเจ้าค่ะ”
แม่นางเหยาสะท้อนใจ “เขาเอ็นดูเจียวเจียวจากใจจริงสินะ”
แม่นมฝางเอ่ย “คุณหนูใหญ่สมควรได้รับความเอ็นดูนั้นเจ้าค่ะ”
เดิมทีนางยังกังวลอยู่เลยว่าคุณหนูใหญ่จะจิตใจเย็นชาเกินไป ฮูหยินคงไม่มีวันเข้าถึงใจนางได้ แต่หลังจากนั้นถึงได้พบว่าแม้คุณหนูใหญ่จะนิสัยเย็นชาไปบ้าง แต่ความรู้สึกของนางนั้นแสนบริสุทธิ์ หากนางดีกับใครแล้วก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยแม้แต่นิด
“แม่ แม่”
กู้เสี่ยวเป่าตื่นแล้ว ถูกเยวียนยางอุ้มเข้ามา
เดิมทีเขาจะมาหาแม่ แต่เหลือบไปเห็นกู้เจียวในกระจกสำริดเสียก่อน
ร่างกายน้อยๆ ของเขาดีดดิ้น ไถลตัวลงจากอ้อมแขนของเยวียนยาง เดินมาหยุดอยู่หน้ากู้เจียว ศีรษะน้อยเงยขึ้นพินิจมองกู้เจียวอย่างละเอียด
“เอ๊ะ” เขาผายมือสองข้างก่อนจะโบกไปมา “ไม่อยู่แล้ว”
กู้เจียวมุมปากยกยิ้ม “พี่อยู่นี่ไง”
เขาตกใจเพราะน้ำเสียงอันแสนคุ้นเคย ก่อนมองมาที่กู้เจียวอีกครั้ง
กู้เจียวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรียกพี่สาวสิ”
กู้เสี่ยวเป่าไม่เรียก
เขาเดินโงนเงน เตาะแตะไปยังข้างกายแม่นางเหยา จูงมือแม่นางเหยาเดินไปหากู้เจียว ทั้งยังไม่ลืมที่จะใช้นิ้วมือน้อยอีกข้างชี้ไปยังชุดเจ้าสาวของกู้เจียว ทำมือทำไม้พลางเอ่ย “ไม่ใส่ ไม่ใส่”
แม่นางเหยายิ้มขื่น “พี่สาวจะออกเรือนแล้ว ต้องใส่”
กู้เสี่ยวเป่าชะงักไป
เจ้าเด็กน้อยยังไม่เข้าใจว่าออกเรือนหมายความว่าอย่างไร แต่โดยสัญชาตญาณนั้นเหมือนจะเข้าใจว่าคือการแยกจากกัน
“ไม่ใส่” เขาทำมือทำไม้เป็นพัลวัน ทั้งยังชี้ไปที่แม่นมฝาง “นมนม ใส่”
คนที่กู้เสี่ยวเป่าไม่ชอบที่สุดก็คือแม่นมฝางที่คอยตามติดเขาทั้งวัน นั่นก็ไม่ให้จับ นี่ก็ไม่ให้เล่น
อยากให้แม่นมไปไวๆ
แต่ไม่ให้พี่สาวไปไหน
คนทั้งห้องไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
กู้เสียวเป่าไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจ เมื่อเขาเห็นว่าไม่ได้ผลดังคาดแต่กลับไม่ร้องไห้งอแง ทว่าเอาแต่ยืนอยู่ข้างพี่สาว ดึงชายเสื้อของพี่สาวเอาไว้
ราวกับว่าหากเขาดึงไว้แน่นพอ พี่สาวจะไม่ไปไหน
หลังจากช่างแต่งหน้าเปิดหน้าให้กู้เจียวเสร็จเรียบร้อย ก็เริ่มทำผมแต่งหน้าให้กู้เจียว
กู้เจียวกลับมาจากชายแดนก็อยู่ที่เรือนนานนับเดือน ใบหน้ากลับมาขาวนวลอีกครั้ง ดวงแก้มชุ่มชื้น เนียนละเอียดขึ้นสีระเรือ
เมื่อรวมกับเส้นผมสีดำขลับดุจแพรไหม ก็ทำเอาช่างแต่งหน้าถึงกับตกตะลึง
ช่างแต่งหน้าไม่เคยเห็นผิวพรรณเนียนละเอียดและเส้นผมดำสลวยเช่นนี้มาก่อน
นางประคองผมยาวของกู้เจียวขึ้นมาวางบนฝ่ามือ แล้วใช้หวีด้ามใหม่ค่อยๆ สางเส้นผมอย่างนุ่มนวล
“หวีแรกได้คู่สมใจหมาย หวีสองได้ครองรักนิรันกาล หวีสามให้ลูกเต็มบ้านให้หลานเต็มเมือง หวีสี่ให้พบเจอแต่ผู้อุปถัมภ์ค้ำชู…”