กระทะกลุ่มดาวเต่าดำลอยอยู่ในอากาศกลางห้องครัวพลางปล่อยรัศมีสีทองออกมา ลวดลายบนกระทะค่อยๆ ทอแสงเมื่อมีหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ลุกโชนอยู่ข้างใต้
ลวดลายที่เรืองรองขึ้นประกอบกันเป็นภาพของเต่าดำที่ดูลี้ลับและลุ่มลึก ภาพตรงหน้าทำให้ปู้ฟางตาพร่าน้อยๆ
กลิ่นเลือดข้นคลั่กลอยอบอวลไปทั่วห้องครัวอย่างรวดเร็วใน กลิ่นนี้ทั้งคาวและแสบจมูก ใครก็ตามที่ได้กลิ่นย่อมต้องอดทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ได้ มันคือกลิ่นของเลือดมังกร เมื่อได้รับความร้อนจากกระทะกลุ่มดาวเต่าตำ เลือดมังกรก็เริ่มเดือดมีฟองร้อนๆ ผุดขึ้นมานับไม่ถ้วน
แม้ว่าฟองเหล่านี้จะแตกทันทีที่สัมผัสกับพลังปราณในกระทะ แต่ดูเหมือนพวกมันจะไม่ย่อท้อแต่อย่างใด ฟองอากาศยังผุดขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วถูกพลังปราณทำให้แตกวนซ้ำไปมาไม่รู้จบ
เลือดนี้คือเลือดของมังกรเพลิงขั้นเซียนเทพ มันมีความหนืดและร้อนระอุจนสามารถลวกทุกคนที่คิดยื่นมือไปสัมผัสได้ หลังได้รับความร้อนจากเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี อุณหภูมิของเลือดก็เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม ขนาดพลังปราณที่อยู่รายรอบยังถูกเลือดมังกรนี้เผาไหม้ไปด้วย
เกลียวพลังปราณที่เปล่งประกายสีแดงเลือดจางๆ พุ่งออกมาจากเลือดมังกร มันค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นทีละนิดจนไปเจอกับโถกระเบื้อง และเนื่องจากอุณหภูมิของโถไม่สูงนักทั้งยังมีสุราหัวใจหยกเยือกแข็งอยู่ภายใน เกลียวพลังปราณสีแดงเลือดจึงไปเกาะติดอยู่กับโถ
เกลียวพลังปราณจำนวนนับไม่ถ้วนไหลไปตามพื้นผิวสีน้ำตาลของโถ
รูปปั้นพระพุทธองค์พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ เปรอะเปื้อนไปด้วยพลังปราณสีเลือด จากพระพุทธองค์ที่ดูอิ่มบุญมีเมตตา กลายเป็นพระพุทธองค์สีเลือดน่ากลัวที่แผ่รัศมีน่าประหวั่นพรั่นพรึง
เลือดของมังกรขั้นเซียนเทพสร้างขึ้นจากแก่นพลังชั้นดี หลังเคี่ยวจนเดือดในกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ เลือดนี้สามารถซึมผ่านโถกระเบื้องเข้าไปผสมผสานกับสิ่งที่อยู่ในโถได้
ปู้ฟางลากเก้าอี้มานั่งเฝ้าเลือดมังกร
ครั้งนี้แทนที่จะเอกเขนกพิงเก้าอี้ เขากลับนั่งหลังตรง ดูค่อนข้างจริงจังและตั้งใจกับการเตรียมอาหารจานนี้ไม่น้อย
ชายหนุ่มปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้จำนวนมากที่เปลี่ยนมาเป็นเส้นไหมนับไม่ถ้วน มันรวมตัวกันเป็นใยแมงมุมซึ่งทอประสานกันรอบกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ การใช้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำทำให้ปู้ฟางสัมผัสความเปลี่ยนแปลงที่เล็กที่สุดของพลังปราณภายในวัตถุดิบต่างๆได้
มันคือการปรุงอาหารด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ หลังจากได้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำมาครอง ทักษะการปรุงอาหารด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ของปู้ฟางก็พัฒนาขึ้นอีกขั้น
ในโถเต็มไปด้วยวัตถุดิบที่ใช้ทำพระกระโดดกำแพง วัตถุดิบแรกที่ต้องเผชิญกับแก่นของเลือดมังกรซึ่งกำลังเดือดพล่านคือเนื้อของอสูรเวทระดับเก้าทั้งสองชนิด
คุณสมบัติพิเศษของหมื่นไฟบรรลัยกัลป์คือสามารถซึมผ่านภาชนะได้ ดังนั้นมันจึงสามารถผสานเข้ากับอาหารได้เช่นกัน
ปู้ฟางสัมผัสได้ว่าวัตถุดิบอย่างอสูรเวทระดับเก้าทั้งสองชนิดไม่ต่างอะไรจากดวงอาทิตย์ลุกโชนที่ปล่อยรัศมีเจิดจ้าจนแทบมองไม่เห็น พลังปราณในเนื้อทั้งสองผสมผสานกันอย่างสุดขั้ว ตอนคลุกเคล้าอยู่ในกระทะ พลังปราณของพวกมันเข้าไปรบกวนและทำให้พลังปราณของวัตถุดิบอื่นๆ ปั่นป่วน
ยิ่งวัตถุดิบมีระดับสูงก็ยิ่งปรุงยาก เพราะพลังปราณในวัตถุดิบระดับสูงนั้นยอดเยี่ยมและหนาแน่นมาก การควบคุมพลังปราณในวัตถุดิบระดับสูงจึงถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่ง
ทันทีที่เส้นไหมพลังปราณเที่ยงแท้ของปู้ฟางลอยล่องเข้าไปในโถ มันก็เริ่มจัดแจงความยุ่งเหยิงและวุ่นวายของพลังปราณที่อยู่ภายในทันที ราวกับเป็นมือน้อยๆ ที่คอยควบคุมพลังปราณในวัตถุดิบแต่ละอย่าง
พลังปราณเที่ยงแท้ของปู้ฟางค่อนข้างนุ่มนวลและอ่อนโยน มันทำตัวเหมือนลูกแมวที่เชื่อฟังและว่าง่าย
ส่วนพลังปราณในวัตถุดิบเหล่าทั้งหลายจัดเป็นพวกโหดเหี้ยมดุร้าย มันทำตัวเหมือนสุนัขล่าเนื้อที่เดือดพล่าน
ตามตรรกะแล้ว พลังปราณเที่ยงแท้ของปู้ฟางต้องไม่สามารถรับมือกับพลังปราณภายในวัตถุดิบได้ ทว่าวิธีใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการปรุงอาหารของชายหนุ่มเป็นเหตุผลที่ที่ทำให้เขาควบคุมพลังปราณในวัตถุดิบได้สำเร็จ แทนที่จะใช้พลังปราณเที่ยงแท้เต็มกำลังเพื่อควบคุมวัตถุดิบ ปู้ฟางกลับใช้พลังปราณเที่ยงแท้ปลอบประโลมพลังปราณที่กำลังพลุ่งพล่านแทน
ปู้ฟางค่อนข้างช่ำชองในการควบคุมพลังปราณเที่ยงแท้ของตนเอง ผนวกกับอุณหภูมิที่ร้อนแรงของกระทะ เขาจึงสามารถสยบพลังปราณในวัตถุดิบต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
ครืน! ครืน!
เลือดมังกรค่อยๆ พุ่งขึ้นสู่ด้านบน ตอนนี้ห้องครัวเหมือนถูกรัศมีสีแดงเลือดโอมล้อมเอาไว้
เหล่าคนที่อยู่ในร้านไม่ได้กลิ่นความหอมแม้แต่น้อย มีแต่กลิ่นคาวเลือดจากครัวที่ลอยมาเตะจมูกพวกเขา
บรรดาลูกค้าไม่สามารถทนกลิ่นเลือดเหม็นคลุ้งได้ พวกเขารีบยกมือปิดจมูกเพื่อเลี่ยงกลิ่นไม่พึงประสงค์ มันคือกลิ่นอะไรกัน ช่างเหม็นและไม่เป็นมิตรเสียจริง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้กลิ่นไม่น่าอภิรมย์ลอยออกมาจากครัวของเถ้าแก่ปู้
เถ้าแก่ปู้กำลังทำอาหารชนิดใดกัน
สีหน้าของหนี่หยันค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิด นั่นเพราะความรอบรู้ของนางกว้างขวางและลึกซึ้งกว่าคนอื่นๆ
“มันคือเลือดมังกร!”
เลือดมังกรรึ พอทุกคนในร้านได้ยินที่นางพูด พวกเขาก็ตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันมามองหน้ากันเองแล้วดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้
เจ้าดำเพิ่งใช้อุ้งเท้าตบมังกรเพลิงขั้นเซียนเทพไปสองทีจนตาย นั่นคือที่มาของเลือดมังกรใช่หรือไม่ เถ้าแก่ปู้ใช้เลือดของมังกรเพลิงขั้นเซียนเทพมาปรุงอาหารอย่างนั้นหรือ
เขากำลังปรุงเลือดมังกรหรือนี่
ทุกคนพากันตื่นเต้นขึ้นมา เลือดของมังกรขั้นเซียนเทพถือเป็นวัตถุดิบล้ำค่าหายาก เถ้าแก่ปู้ใช้วัตถุดิบชั้นเลิศในการปรุงอาหารจริงๆ ด้วย มีเพียงเถ้าแก่ปู้เท่านั้นที่อาจหาญถึงเพียงนี้
ครู่ต่อมาพวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นคลุ้งจากในครัวนั้นเปลี่ยนไป ทุกคนไม่คิดว่ากลิ่นที่ลอยมาจากครัวไม่น่าอภิรมย์อีกแล้ว
อันที่จริงปู้ฟางไม่ได้ปรุงเลือดมังกร เขาแค่ใช้มันเป็นวัตถุดิบรองเพื่อเคี่ยวพระกระโดดกำแพง
แน่นอนว่าหนี่หยันกับคนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงตกใจและตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
เจ้าดำที่นอนอยู่หน้าประตูร้านลืมตาขึ้นหลังได้กลิ่นเลือดมังกร มันแอบประหลาดใจเช่นกันเพราะไม่รู้ว่าปู้ฟางกำลังปรุงอาหารจานใดอยู่
เจ้าดำสูดจมูกเบาๆ มันพยายามใช้ประสาทสัมผัสด้านดมกลิ่นเพื่อหาว่าปู้ฟางกำลังปรุงอะไร ทว่าสุดท้ายมันก็ได้แต่เบิกตาโพลงเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองคิดไม่ออกว่าปู้ฟางกำลังปรุงอะไรอยู่กันแน่ “หรือว่า… เจ้าเด็กนั่นกำลังคิดค้นอาหารจานใหม่”
อาหารจานใหม่นี้ดูท่าจะน่าประทับใจไม่น้อย เพราะปู้ฟางใช้วัตถุดิบจากอสูรเวทขั้นเซียนเทพถึงสองตัวมาปรุง
ทันใดนั้นเจ้าดำก็ตื่นตัวขึ้นมา มันอยากลิ้มลองอาหารจานนี้ใจแทบขาด มันแลบลิ้นออกมา แววตาเริ่มมีประกายของความตื่นเต้น
…
ด้านนอกนครหลวง กองทัพขนาดใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนมาประชิดนครหลวงเรื่อยๆ แรงกดดันหนักอึ้งแผ่ออกจากกองทัพมาปะทะกับจีเฉิงเสวี่ยที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง แรงกดดันดังกล่าวทำให้จักรพรรดิหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก
เหตุใดจึงมีกองทัพขนาดใหญ่มาปรากฏอยู่ตรงหน้านครหลวงกัน
แล้วนี่กองทัพของจักรวรรดิวายุแผ่วซึ่งเคยไล่ล่ากองทัพของจีเฉิงอวี่จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ที่ไหนกัน
จีเฉิงเสวี่ยหวาดกลัวกองทัพขนาดใหญ่ที่จู่ๆ ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้านครหลวงไม่น้อย ตอนนี้กองทัพที่เหลืออยู่ในนครหลวงมีเพียงกองทัพพิทักษ์เมืองเท่านั้น
กองทัพพิทักษ์เมืองมีทหารเพียงหนึ่งหมื่นนาย… แล้วจะเผชิญหน้ากับกองทัพขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างไร
พวกเขาเพิ่งสะสางปัญหาเรื่องอสูรเวทระดับเก้าสองตัวที่บุกมาทำลายนครหลวงได้ ทว่าบัดนี้กลับมีกองทัพขนาดใหญ่มาปรากฏอยู่หน้าประตูเมืองอีกแล้ว
ที่น่าฉงนคือไม่มีใครล่วงรู้ข่าวของกองทัพขนาดใหญ่นี้เลย ไม่มีทหารในทัพของจีเฉิงเสวี่ยคนใดมาแจ้งข่าวเรื่องกองทัพนี้ให้เขารู้แม้แต่คนเดียว
ต้วนหลิงยืนอย่างผึ่งผายอยู่กลางเวหา ผมยาวของเขาปลิวไสวไปตามสายลม
เขาไม่แม้แต่จะปรายตามองกองทัพที่อยู่เบื้องล่างด้วยซ้ำ
การส่งกองทัพมายังเมืองหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วไม่ใช่ความคิดของเขา สำหรับเขาแล้ว การส่งกองทัพมาหรือไม่นั้นไม่ได้แตกต่างกัน เรื่องนี้เป็นความต้องการของมหาพรตต่างหาก... ต้วนหลิงได้แต่ปล่อยให้นางทำสิ่งที่ต้องการไป
ด้วยปราณขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เขามี เหตุใดเขาถึงต้องหยิบยืมความช่วยเหลือของกองทัพมนุษย์ด้วย เรื่องนี้สำหรับเขาแล้วช่างไร้สาระเสียเหลือเกิน
ดูเหมือนมหาพรตจะไม่เข้าใจว่าปราณขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด
แม้ว่ายังไม่อาจปลดปล่อยตัวเองจากโซ่ตรวนชั้นเซียนเทพชิ้นแรกได้ แต่ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพทั้งหลายก็ไม่นับเป็นคู่ต่อสู้ของเขาอีกแล้ว
ผู้อาวุโสสูงสุดหยุดยืนบนกำแพงเมืองพลางเอามือไพล่หลัง ผมกับเคราสีขาวปลิวไสวในอากาศ ชายชราวางท่าราวนักปราชญ์
เขาสืบเท้าขึ้นไปกลางอากาศแล้วลอยตัวขึ้นด้านบนช้าๆ
ชายชรามองต้วนหลิงที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยแววตาสงบและอ่อนโยน
แม้ว่าร่างของต้วนหลิงซึ่งปล่อยพลังแห่งจักรวาลออกมาเพียงเบาบางจะทำให้หัวใจของชายชราสั่นระรัวด้วยความกลัว แต่เขาก็ไม่ยี่หระแต่อย่างใด
ทันใดนั้นแสงกระบี่แหวกอากาศก็พุ่งเข้าหาผู้อาวุโสสูงสุด จากนั้นแสงกระบี่เจิดจ้ารุนแรงก็เปลี่ยนร่างเป็นชายที่กำลังยืนบนปลายกระบี่
เสียงหัวเราะของคนผู้นี้ดังกึกก้องไปทั่วฟ้าตอนลงมาหยุดอยู่ข้างๆ ผู้อาวุโสสูงสุด
หลังจากที่แสงแห่งกระบี่สลายไปแล้ว ร่างของเจ้าสำนักเมฆาขาวอูมู่ก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน
ผู้อาวุโสสูงสุดมองอูมู่ด้วยสายตาประหลาดใจ ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะมาที่นี่ด้วยเพราะอีกฝ่ายยังมีอาการบาดเจ็บอยู่
อูมู่จ้องต้วนหลิงที่อยู่ไกลออกไปด้วยแววตาไร้ความกริ่งเกรง สายตาของเขาวาววับขณะทอดสายตาไปยังเจ้าลัทธิอสุรา
กระบี่เมฆาหกเหินลอยขึ้นจากใต้ฝ่าเท้ามาอยู่ในกำมือของเขา
“ข้าอยากจะลองกำลังของยอดฝีมือขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ดูเสียหน่อย” อูมู่หัวเราะเสียงดัง กระบี่ของเขาเป็นประกายวับวาว มันปล่อยเจตจำนงกระบี่ที่หนักแน่นรุนแรงออกมา
ผู้อาวุโสสูงสุดผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะลูบเคราตนเอง หลังจากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
ต้วนหลิงมองคนทั้งคู่ด้วยดวงตาไม่แยแสพลางยกมุมปากขึ้นช้าๆ ความเย็นชาผุดขึ้นบนใบหน้า
“หากพวกเจ้ายอมไสหัวไปตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ข้าจะไว้ชีวิตก็ได้ แต่หากยังไม่รู้ที่ต่ำที่สูง… เดี๋ยวจะตายไม่รู้ตัว”
กระบี่อสุราที่ลอยวนอยู่รอบตัวต้วนหลิงพุ่งมาอยู่ในกำมือของเขา เจตจำนงกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งออกมา กระบี่พุ่งเข้าโจมตีผู้อาวุโสสูงสุดกับอูมู่พร้อมด้วยพลังจักรวาลที่ปล่อยออกมาจากร่างของต้วนหลิง
ทั้งที่กำลังจะถูกโจมตีแต่ผู้อาวุโสสูงสุดกลับยังลูบเคราอย่างใจเย็นก่อนจะบีบผนึกที่อยู่ในมือ ทันใดนั้นลำแสงสว่างเจิดจ้านับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากกำแพงเมืองของนครหลวง
ลำแสงเหล่านี้บรรจุพลังปราณมากมายอยู่ภายใน
“ในจำนวนวงแหวนปราณที่สำนักความลับแห่งสวรรค์บันทึกไว้วงแหวนปราณที่จัดได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง ก็คือวงแหวนปราณกระบวยใหญ่สังหารอันนี้” ผู้อาวุโสสูงสุดจ้องต้วนหลิงเขม็งพลางทิ้งไพ่ตาย
อูมู่หัวเราะพลางยื่นกระบี่เมฆาหกเหินขึ้นชี้ไปทางต้วนหลิง รัศมีพลังที่ชายวัยกลางคนปล่อยออกมาเริ่มลอยสูงขึ้น
เจตจำนงกระบี่ของอูมู่พุ่งออกมาแล้วทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์สามครั้งด้วยกัน รัศมีพลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่าเกรงขาม
“วิชาลับของตำหนักเมฆาขาว พลังกระบี่สามปะทุ”
ต้วนหลิงยังมีสีหน้าไม่แยแสทั้งที่ต้องเผชิญกับสุดยอดวิชาจากของผู้อาวุโสสูงสุดและอูมู่ โซ่ตรวนขั้นเซียนเทพชิ้นหนึ่งปรากฏบนแขนซ้ายที่กำยำของเขาพร้อมเสียงปะทะดังครึกโครม
เขายื่นกระบี่ไปด้านหน้า เจตจำนงกระบี่ของกระบี่อสุราพุ่งทะยานออกมาพร้อมลำแสงสีเลือด
เจ้าดำที่นอนอยู่หน้าร้านอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ พลางหันหน้าไปทางสามยอดฝีมือซึ่งอยู่ด้านนอกนครหลวง
“ยอดฝีมือขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาจริงๆ… เจ้าเด็กปู้ฟางนี่ยั่วโมโหคนเก่งขึ้นเรื่อยๆ แฮะ”