คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 798 ถูกกระตุ้นโดยเด็กจอมล้างผลาญผู้ไร้มนุษยธรรม

ตอนที่ 798 ถูกกระตุ้นโดยเด็กจอมล้างผลาญผู้ไร้มนุษยธรรม

ตอนที่ 798 ถูกกระตุ้นโดยเด็กจอมล้างผลาญผู้ไร้มนุษยธรรม

……….

แม้ว่าฉินหลิวซีจะหาสองจิตหกวิญญาณของฮูหยินเริ่นที่สูญเสียไปกลับคืนมาไม่ได้ แต่ตระกูลเริ่นก็ยังคงให้ค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง ประการแรก นับว่าฉินหลิวซีได้ให้ความกระจ่างแก่ตระกูลเริ่น ไม่ได้ปล่อยให้ฮูหยินเริ่นตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มิเช่นนั้น นางยังไม่ตาย แต่พวกเขากลับเอานางปิดผนึกไว้ในโลงศพ นับว่าเป็นการฆ่ามารดา จะต้องถูกบันทึกลงในใบกรรมอย่างแน่นอน

ประการที่สอง ฉินหลิวซียังได้ช่วยทำลายความลับของหุบเขาในวัดหนาหมัวและวังหลิงซวี เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอย่างฮูหยินเริ่นโง่เขลาไปศรัทธาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอะไรนั่นมากไปกว่านี้ แน่นอนว่ายังไม่รู้ว่าบางคนจะสามารถถอนตัวได้หรือไม่ แต่หากไม่พัฒนาต่อไปก็นับว่าเป็นโชคดี

ประการที่สาม แน่นอนว่าเป็นเพราะอยากจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับฉินหลิวซี อย่างไรเสียนางก็เชี่ยวชาญศาสตร์ทั้งห้าของเสวียนเหมิน การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลเก่งกาจขั้นเทพเช่นนี้ มีแต่ผลประโยชน์ไม่มีโทษ

เริ่นถิงถึงขั้นต้องการแนะนำคนไข้ที่เป็นเศรษฐีให้กับฉินหลิวซีสองสามคน เพียงแต่ฉินหลิวซีมีเรื่องในใจ ทั้งยังกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของอาจารย์ตัวเอง มีเรื่องมากมายรออยู่ จึงไม่ได้อยู่ที่ฉีโจวต่อ ความจริงแล้วหากมีความต้องการก็สามารถไปขอรับการรักษาที่อารามชิงผิงได้

เริ่นถิงไม่กล้ารั้งไว้ เทพย่อมมีนิสัยแปลกๆ ของเทพ จะสงวนท่าทีก็เป็นเรื่องปกติ

ฉินหลิวซีพาเฮยซากับหลานซิ่งกลับมาที่ร้านเฟยฉางเต๋า ตลอดทางหลานซิ่งไม่กล้าถามนางแม้แต่คำเดียว ฮูหยินเริ่นก็เป็นขนาดนั้นแล้ว หลานโย่วจะยังสบายดีอยู่หรือ

หลานซิ่งโศกเศร้าราวกับสูญเสียญาติผู้ใหญ่ ไม่มีแสงสว่างในดวงตาแม้แต่น้อย

ช่างเถิด เสี่ยวโย่วไม่อยู่แล้ว เดิมทีเขาก็ตัวคนเดียว จะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ

“นับว่าเจ้าอดทนได้” ฉินหลิวซีพาเขาไปที่ห้องเต๋า หลานซิ่งไม่ได้คัดค้านแล้วก็ไม่ถามแม้แต่คำเดียว เพียงแต่เลิกคิ้ว

หลานซิ่งอ้าปาก อยากจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป เผยให้เห็นรอยยิ้มอันขมขื่น เอ่ยว่า “ท่านบอกมาเถิด ข้ารับได้ทั้งนั้น”

“สถานการณ์ของหลานโย่วไม่ค่อยดี เกรงว่าพวกเจ้าจะอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย

สีหน้าของหลานซิ่งซีดลงในทันที

ฉินหลิวซีร่ายคาถา ลูบบนเปลือกตาของเขา จากนั้นจึงได้เรียกหลานโย่วออกมา

หลานซิ่งรู้สึกเย็นๆ ที่เปลือกตา เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นเงาที่คุ้นเคยยืนอยู่ตรงหน้า รูม่านตาหดลงในทันที ตะโกนเรียก “เสี่ยวโย่ว”

หลานซิ่งตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ก้าวเข้าไปอยากจะกอดเขา แต่กลับทะลุผ่านดวงวิญญาณของเขาไป เขามองดูมือของตัวเองอย่างตกตะลึง นึกถึงหนึ่งสิ่งที่เป็นไปได้ ร่างกายโซเซ ดวงตาที่เดิมทีสดใสได้หม่นหมองลงอีกครั้ง น้ำตาคลอเบ้า

“เสี่ยวโย่ว เจ้า…”

หลานโย่วเอาแต่ร้องไห้

ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “จะเล่าให้ฟังสั้นๆ ตอนนี้หลานโย่วไม่เหมาะที่จะอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน” ฉินหลิวซีมองไปยังหลานซิ่ง เอ่ยว่า “ร่างกายของเขาถูกชื่อเจินจื่อยึดครอง หากไม่ใช่เพราะเขาเข้มแข็งมากพอ ดวงวิญญาณก็คงถูกกลืนกินไปนานแล้ว แต่หลังจากที่ถูกชื่อเจินจื่อควบคุมไว้ จึงได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ซ้ำต่อมาร่างกายก็ถูกแผดเผา ดวงวิญญาณของเขาก็ยิ่งเสียหายมากขึ้น ที่เจ้าเห็นว่าเขาอ่อนแอขนาดนี้ เป็นเพราะวิญญาณเขาสามารถแตกสลายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นจึงต้องเลี้ยงดวงวิญญาณไว้ในขวดหยกหล่อเลี้ยงวิญญาณ”

หลานซิ่งหวาดหวั่นไปทั้งตัว มองหลานโย่วพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบเข้าไปเถิด”

“ไม่ได้เร่งรีบขนาดนั้น เดิมทีข้าก็ได้วางค่ายกลพลังวิญญาณไว้ในห้องเต๋านี้ พลังวิญญาณแข็งแกร่งกว่าข้างนอก ซ้ำยังแกะสลักพระสูตรและยันต์เต๋า แม้จะเทียบไม่ได้กับขวดหยกหล่อเลี้ยงวิญญาณเป็นพิเศษนี้ แต่ก็ไม่ได้แย่เพียงนั้น” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ตอนนี้อยากจะบอกกับพวกเจ้าเกี่ยวกับสถานการณ์ของหลานโย่วก่อน”

“เจ้าว่ามา” หลานซิ่งรู้สึกร้อนใจ ดวงตากลับจ้องมองไปยังเด็กที่ตัวเองเลี้ยงมาจนโตด้วยความโลภ

หลานโย่วเดินไปอยู่ข้างกายเขาเหมือนกับเมื่อก่อน ใช้นิ้วก้อยเกี่ยวนิ้วมือของเขาไว้ แม้ว่าจะเกี่ยวไว้ไม่ได้ แต่ก็ยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน

หลานซิ่งเกือบจะน้ำตาไหล

“วิญญาณของหลานโย่วจะต้องได้รับการดูแลรักษา เมื่อรักษาดีขึ้นแล้ว เมื่อมีโอกาสข้าก็จะส่งเขาไปเกิดใหม่” ฉินหลิวซีหยุดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังหลานโย่ว “เจ้าเป็นคนจากโลกอื่น ไม่ทราบว่าร่างกายของเจ้าที่โลกนั้นยังอยู่หรือไม่ หากยังอยู่ ไม่แน่อาจจะสามารถกลับไปที่นั่นได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องวิญญาณแตกสลาย”

หลานโย่วเอ่ยว่า “ข้า ข้าอยู่ที่โลกนั้นก็ตัวคนเดียว เนื่องจากสุขภาพไม่ค่อยดี จึงได้บริจาคเงินค่าน้ำมันตะเกียงจำนวนมากในทุกๆ ปี รักษาตัวอยู่ที่อารามเต๋า ข้านอนหลับอยู่ที่อารามเต๋าอยู่ดีๆ เมื่อลืมตาขึ้นมาก็อยู่ในร่างเมื่อก่อนหน้านี้”

“เจ้าอาศัยอยู่ที่อารามเต๋า?” ฉินหลิวซีถามด้วยความประหลาดใจ

หลานโย่วพยักหน้า “ที่นั่นพวกเราเรียกกันว่าอารามตงเย่ว์ บูชาเจ้าลัทธิเต๋านิกายเจิ้งอี ในวันปกติข้าก็ได้ไปร่วมปฏิบัติเต๋ากับบรรดานักพรตทั้งหลายด้วย”

ฉินหลิวซีหรี่ตาพลางเอ่ย “ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ายังสามารถยืนหยัดภายใต้แรงกดทับของชื่อเจินจื่อได้ ที่แท้เป็นเพราะมีความเชื่อมเกี่ยวนี้ เป็นเจ้าลัทธิเต๋าที่คุ้มครอง แล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่เขายึดครองร่างกายของเจ้าแล้วตบะยังคงก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ย่อมเป็นเพราะเจ้ามีบุญกุศล”

“หา? ข้ามีบุญกุศลอะไร” หลานโย่วไม่เข้าใจ

“เจ้าบริจาคเงินค่าน้ำมันตะเกียงทุกปี นั่นก็นับว่าเป็นการทำความดี ค่าน้ำมันตะเกียงที่ลัทธิเต๋านิกายเจิ้งอีได้รับก็ได้นำไปทำความดีเผยแผ่คำสอนจำนวนมาก คิดว่าคนรุ่นต่อๆ ไปจะไม่ลืมกฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษ เจ้าบริจาคเงิน ย่อมมีบุญกุศล” ฉินหลิวซีมองสำรวจเขา “มองดูเจ้าก็อายุไม่เยอะ ซ้ำยังตัวคนเดียว แต่ละปีบริจาคเท่าไหร่”

“มากกว่าสิบล้าน”

ฉินหลิวซีตกใจ “เท่าไหร่นะ”

หลานโย่วนับนิ้วดู “หากคำนวณตามในปัจจุบันนี้ ก็คงจะประมาณห้าหมื่นถึงหนึ่งแสนตำลึงกระมัง”

ฉินหลิวซีเจ็บที่หัวใจเล็กน้อย “นิกายเจิ้งอีในทางด้านของพวกเจ้าเก่งกาจขนาดนั้นเชียวหรือ”

“นั่นเป็นนิกายใหญ่ แต่ประเด็นคือข้าไม่ได้ขาดแคลนเงิน” หลานโย่วยิ้มอย่างเขินอายพลางเอ่ย “ข้าสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าอายุจะยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ก็สามารถสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลได้ ก่อนที่จะบรรลุนิติภาวะก็อาศัยเงินปันผลของกองทุนดำรงชีวิต”

ฉินหลิวซี “…”

หลานซิ่ง “?”

ดังนั้นความจริงแล้วเสี่ยวโย่วของเขาเป็นเด็กที่ร่ำรวยเงินทองมหาศาลกระมัง

หลานโย่วมองหลานซิ่งอย่างระมัดระวัง “ข้าแค่มีเงินเท่านั้น ท่านพี่ แต่ท่านมีความสามารถมากมายนับไม่ถ้วน จะรังเกียจข้าหรือไม่”

หลานซิ่งยิ้มอย่างอบอุ่น “คนที่ไม่มีอะไรเลยเป็นข้าต่างหาก”

บริจาคเงินห้าหมื่นถึงหนึ่งแสนตำลึงต่อปี เหตุใดอารามชิงผิงของข้าจึงไม่ได้เจอผู้ที่มีจิตใจเมตตาเช่นนี้บ้าง

ฉินหลิวซีตื่นขึ้นจากความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งที่อารามชิงผิงไม่อาจเก่งกาจเท่ากับนิกายเจิ้งอี เมื่อได้ยินประโยคที่น่าอิจฉานี้ก็ยิ่งอิจฉาเข้าไปใหญ่ กลับมาที่หัวข้อหลัก “ในเมื่อร่างกายของเจ้าอยู่ที่อารามเต๋า หากนิกายเจิ้งอีพบว่าดวงวิญญาณของเจ้าไม่อยู่ คาดว่าคงจะปกป้องร่างของเจ้าไว้ อย่างที่ข้าบอกไปเมื่อก่อนหน้านี้ รักษาดวงวิญญาณของเจ้าให้ดีขึ้นก่อน ไว้ข้าจะหาทางให้เจ้า ดูว่าจะสามารถกลับไปที่ร่างเดิมของเจ้าได้หรือไม่”

หลานโย่วกลับกะพริบตาปริบๆ “ข้าไม่สามารถอยู่ที่โลกใบนี้ได้หรือ หาร่างอีกไม่ได้หรือ”

“ข้าจะไม่ช่วยเจ้ายึดร่าง”

“เช่นนั้นข้าไปที่หลุมศพหมู่แล้วเข้าสิงร่างที่ตายแล้ว นับว่าเป็นการยึดร่างหรือไม่”

“นี่เรียกว่าการยืมศพชุบวิญญาณ ไม่เหมือนกับการยึดร่าง การยึดร่างคือการบังคับเข้าไปในร่างของผู้อื่นเพื่อขโมยร่างของเขา การยืมศพชุบวิญญาณเป็นเพียงการยืมร่างที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพกลับมา” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “การกระทำนี้ไม่ได้ขัดกับวิถีของสวรรค์เหมือนการยึดร่าง แต่ก็มีเหตุและผล อีกอย่างร่างจะต้องประสานเข้ากับวิญญาณของเจ้าจึงจะไม่ถูกปฏิเสธ มิเช่นนั้นก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ และจะมีเรื่องเดือดร้อนมากมาย”

“ความจริงแล้วร่างเดิมของเจ้าจึงจะเป็นร่างที่เหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด กลับไปที่ร่างเดิม ดวงวิญญาณของเจ้าก็จะมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น” ฉินหลิวซีมองทั้งสองคน เอ่ยว่า “ข้าจะพูดเพียงเท่านี้ พวกเจ้าคิดดูให้ดี เจ้าเข้ามารักษาตัวในขวดนี้ ก็สามารถพูดคุยกับเขาได้”

นางถูกกระตุ้นโดยหลานโย่วเด็กจอมล้างผลาญผู้ไร้มนุษยธรรม จะต้องออกไปสงบลงสักหน่อย!

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Score 10
Status: Completed
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาชีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวชี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเดำเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่นปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมรื่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้วหน้าใดๆ แต่สรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเขียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นดันเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! "เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ" "ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ" "ไม่ป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง" "ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า" ฉีเซียนเอ่ย "ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป..." ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ "เดิมที่ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน" "..."

Options

not work with dark mode
Reset