สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 888 ไปพบซิ่นหยาง

บทที่ 888 ไปพบซิ่นหยาง

บทที่ 888 ไปพบซิ่นหยาง

……….

เซียวเหิงหันไปมองเขา ถามด้วยความฉงน “พี่ชาย ไยท่านไม่พูดจาเลยเล่า อาเหิงทำผิดไปหรือ ของพวกนั้น อาเหิงไม่เอาก็ได้”

ล้อเล่นอะไรกัน

ของที่ส่งออกไป น้ำที่สาดออกไปแล้ว ยังจะเก็บกลับคืนได้อีกหรือ

นี่จะให้ราชาผีผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ซ่างกวานชิ่งกัดฟันกล้ำกลืนความอัปยศลงไป

ระหว่างทางกลับ เขาไม่อยากคุยอะไรกับเซียวเหิงแม้แต่คำเดียว

เมื่อผ่านร้านขายหมูแผ่นแห่งหนึ่ง รถม้าก็หยุดลง

ซ่างกวานชิ่งถามอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำอะไร”

เซียวเหิงเอ่ย “เมื่อเช้าตอนข้าเข้าเมืองซื้อหมูแผ่นจากร้านนี้ไป ตอนนั้นย่างยังไม่สุก อีกหนึ่งชั่วยามให้ข้ามาใหม่ ยามนี้น่าจะได้ที่แล้ว”

ซ่างกวานชิ่งเลิกคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบกินหมูแผ่น”

เซียวเหิงชะงัก “อ่า ข้าไม่รู้หรอก ข้าซื้อให้เจียวเจียว”

โดนยัดอาหารสุนัขใส่ปากโดยไม่ทันตั้งตัว

ซ่างกวานชิ่งหน้าดำทะมึน ตัดสินใจว่าชาตินี้จะไม่สนใจน้องชายคนนี้อีกแล้ว!

เซียวเหิงไปรับหมูแผ่นในร้าน ยังคงต้องรออีกสักพักหนึ่ง

รถม้าอุดอู้มาก ซ่างกวานชิ่งจึงตัดสินใจลงรถมาระบายอากาศ

เขายืนอยู่หน้าร้านสักพัก

กลิ่นหอมของหมูแผ่นชวนให้คนน้ำลายสอ แต่หลายวันมานี้เขาไม่อยากอาหารเลย ข้างกายมีลูกค้าเดินผ่านเป็นระยะ เขาขยับหลบไปด้านข้างให้

เมื่อสุดท้ายไม่มีที่ให้หลบแล้วจึงต้องเข้าไปในร้าน

ร้านนี้ขายหมูแผ่นและขายขนมอย่างอื่นด้วย ลูกค้าสามารถนำกลับบ้านหรือทานในร้านได้

ยามนี้คนกำลังเยอะ โถงใหญ่แออัด เซียวเหิงไม่ชอบสถานที่คึกคัก จึงไปรอที่เรือนท้ายคนเดียว

ซ่างกวานชิ่งมองเซียวเหิงที่กิริยาท่าทางถือตัวสูงส่ง ความคิดชั่วร้ายที่กดไว้ในใจพุล่งพล่านขึ้นมาอีกหน

เขามาหยุดด้านหลังเซียวเหิงอย่างเงียบเชียบ รอจนเซียวเหิงหันหลังไปรับหมูแผ่น ก็ยื่นเท้าออกไปให้สะดุด

ภายในลานเรือนมีแต่หิมะหนาเตอะ ล้มลงไปไม่มีทางเจ็บ อย่างมากก็ทำให้เซียวเหิงขายขี้หน้าเท่านั้น

แต่เซียวเหิงก็ไม่รู้จริงๆ ว่าซ่างกวานชิ่งมาแกล้ง

ลูกไม้นี้ตามหลักการแล้วควรสำเร็จ จนด้วยเกล้าที่ซ่างกวานชิ่งยื่นเท้าเลยไปหน่อย ตัวเองยืนไม่มั่นคงดี เท้าไถลพรืดล้มขมำไปข้างหน้า

“โอ๊ย”

เขาร้องตกใจ

เซียวเหิงหันหลังขวับ แทบจะเอื้อมมือไปคว้าซ่างกวานชิ่งด้วยสัญชาติญาณทันที

แรงเฉื่อยมีมากเกินไป จึงจับไว้ไม่อยู่ สองพี่น้องพากันล้มลงพื้นหิมะทั้งคู่

บังเอิญในขณะนั้นเอง แม่เล้าหอนางโลมฝั่งตรงข้ามเดินอ้อนแอ้นอรชรจากประตูหลังเข้ามาซื้อหมูแผ่น เพิ่งจะเข้าเรือนท้ายมาก็เห็นชายหนุ่มสองคนล้มอยู่ใต้กระโปรงทับทิมของนาง

แม่เล้า “???”

ซ่างกวานชิ่ง “???”

เซียวเหิง “???”

แม่เล้าชะงักงัน ก่อนจะตื่นเต้นจนสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งตัว เครื่องประทินโฉมบนใบหน้าไหลย้อยลงมา นางเท้าเอวมือหนึ่ง อีกมือถือผ้าเช็ดหน้าชี้ทั้งสองคน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “สารเลวจากที่ใดกัน! กลางวันแสกๆ ก็กล้าแต๊ะอั๋งข้า! ไร้คุณธรรม! ดูซิว่าข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร!”

นางเอ่ยพลางก้มตัวลงมา หมายจะดึงหูพวกเขาสองคนพี่น้อง

สองพี่น้องแลกเปลี่ยนสายตากัน

ซ่างกวานชิ่ง “หนีสิ!”

สองพี่น้องเผ่นแผล็วจากพื้นหิมะลุกขึ้นมา ซ่างกวานชิ่งคว้าข้อมือเซียวเหิง พุ่งออกจากประตูหลังในพรวดเดียว!

“ข้าบอกให้พวกเจ้าหยุด! ได้ยินหรือไม่!”

“ใครก็ได้! จับเจ้าเด็กสองคนนั้นให้ข้าที!”

สองพี่น้องหนังหัวชาดิก เค้นความเร็วสุดแรงเกิดวิ่งไปข้างหน้า

“ทางนั้น ทางนั้น!” เซียวเหิงชี้ตรอกที่อยู่ทางขวา

“ไม่ได้! ทางซ้าย! ข้าเป็นพี่! ฟังข้าสิ!” ซ่างกวานชิ่งลากน้องชายเลี้ยวเข้าตรอกทางซ้ายทันที

ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ซ่างกวานชิ่งไม่ได้พามาผิดทาง

ทั้งสองไม่รู้ว่าวิ่งกันอยู่นานเท่าใด เมื่อแน่ใจว่าคนจากหอนางโลมไม่ได้ตามมาแล้ว จึงคว้าเสาข้างๆ พยุงตัวหอบแฮ่กๆ

ที่นี่เคยเป็นโรงย้อมผ้ามาก่อน หลังเกิดสงครามคนในโรงย้อมก็หนีไป ข้าวของด้านในก็ขนไปเกลี้ยงแล้ว เหลือเพียงเรือนว่างเปล่า

ซ่างกวานชิ่งหมดเรี่ยวหมดแรงเกลี้ยงแล้ว นอนลงบนพื้นหิมะโดยตรงเลย

เซียวเหิงมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนเอนตัวนอนข้างกายเขา

“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าต้องเลี้ยวซ้าย” เขาถาม “ท่านเคยมาหรือ”

“ไม่เคยมา สัญชาตญาณน่ะ” ซ่างกวานชิ่งเอ่ย

เซียวเหิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าน่าจะไม่ใช่สัญชาตญาณหรอก เป็นประสบการณ์ต่างหาก

ซ่างกวานชิ่งไม่ใช่เด็กที่ถูกตีกรอบให้เติบโตในเรือน เขาไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความรู้ของเขาจะตื้นเขิน

มีถ้อยคำที่ว่าอ่านหนังสือเป็นพันเล่ม ไม่ดีเท่าเดินทางไกลหมื่นลี้อยู่มิใช่หรอกหรือ

ใช้จำกัดความซ่างกวานชิ่งได้เหมาะสมยิ่งนัก

“พี่น้องบ้านไหนพบหน้ากันครั้งแรกก็ร่วมกัน ‘หยอกล้อ’ แม่…” ซ่างกวานชิ่งคิดจะใช้คำว่าแม่นางตามความเคยชิน ถ้อยคำมาถึงปลายลิ้นแล้วนึกถึงลักษณะของแม่เล้าขึ้นได้ จึงเปลี่ยนคำทันใด “ป้าบ้าง”

ถูกเขาว่าให้เช่นนี้ เซียวเหิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

นั่นสิ พี่น้องบ้านไหนเหมือนพวกเขาสองคนบ้าง

ซ่างกวานชิ่งทอดมองเมฆขาวบนนภาครามก่อนจะเอ่ยขึ้น “นี่ ปัญญาชนไม่ควรสัตย์ซื่อกันหรอกหรือ หรือว่าจอหงวนอย่างพวกเจ้าแตกต่างจากปัญญาชนธรรมดาทั่วไป”

“อะไรรึ” เซียวเหิงไม่เข้าใจ เขาก็ทอดมองฟ้าเช่นกัน รู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก

ซ่างกวานชิ่งเอ่ยอย่างไม่ตั้งใจ “ถุงเงินของข้า เจ้าฉวยเอาไปกระมัง ไหนจะวัตถุโบราณพวกนั้นอีก เจ้าจงใจกระมัง”

ไม่ให้โอกาสให้เซียวเหิงได้แก้ต่าง เขาแค่นเสียงกับตัวเอง “ก็นึกว่าเจ้าจะเป็นหนอนหนังสือจริงๆ เสียอีก!”

ใครจะคิดว่าจะเป็นบัวลอยน้อยไส้งาดำเปลือกหนา แท้จริงแล้วแสบใช่ย่อย!

โดนเปิดโปงแล้ว นึกไม่ถึงว่าเซียวเหิงจะไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไรเลย

นี่ไม่ใช่นิสัยของเขาเลย ต่อหน้าคนนอกเขาสามารถทำเรื่องไร้ยางอายได้ แต่กับคนกันเองเขากลับไม่ได้เก่งเพียงนั้น

ดังนั้น เหตุใดจึงได้คบหากับซ่างกวานชิ่งได้อย่างเป็นธรรมชาติเพียงนี้กัน

เพราะเป็นพี่ชายหรือ

สามารถปล่อยตัวตามสบาย เป็นตัวเองได้อย่างสบายใจ เพราะเจ้าเข้าใจข้า ก็เหมือนเช่นที่ข้าเข้าใจเจ้า

พวกเราเหมือนกับเป็นตัวเองอีกคนของกันและกัน

เซียวเหิงยกแขนขวาขึ้นหนุนท้ายทอยก่อนจะเอ่ยเสียงนิ่ง “ไม่แข็งแกร่งเท่าท่านหรอก”

หน้าด้าน

“ข้าเป็นพี่ชายเจ้า ย่อมเก่งกว่าเจ้าอยู่แล้ว!” แม้ปากจะบอกเช่นนี้ แต่เพิ่งจะมารู้ตัวจริงๆ ก็เมื่อครู่นี้เอง

ชั่วขณะที่นอนลงไปบนพื้นหิมะ ความคิดในหัวก็พลันเปิดออก

ไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐานใดๆ ราวกับว่ามันเป็นปฏิกิริยาระหว่างพี่น้อง จู่ๆ ก็เข้าใจว่าเจ้าเด็กนี่กำลังแกล้งตนเล่นอยู่

เขาเอ่ยนิ่งๆ “นี่ จอหงวน ท่องกลอนสักบทให้ฟังซิ”

ในเมื่อความแตกแล้ว เซียวเหิงก็ไม่แสร้งเป็นน้องชายผู้เชื่อฟังอีกต่อไป ปฏิเสธอย่างเย็นชายิ่ง “ไม่ท่อง”

“เผยธาตุแท้ออกแล้วกระมัง” ซ่างกวานชิ่งหันหน้ามาถลึงตาใส่เซียวเหิงอย่างเย็นชาก่อนจะเอ่ยเหน็บแนม “เจ้าเป็นน้อง ยังจะกล้าอกตัญญูต่อพี่ชายอีกรึ มีจิตสำนึกในการเป็นน้องหน่อยจะได้หรือไม่”

“จะท่องท่านก็ท่องเองสิ” เซียวเหิงเอ่ยนิ่งๆ จบก็พลิกตัวกับพื้นหิมะ หันแผ่นหลังใหญ่ให้ซ่างกวานชิ่ง

ซ่างกวานชิ่งโมโหจนกัดฟันกรอดๆ ซ่างกวานชิ่งน้อยในใจกระโดดพรวดขึ้นมา หิ้วเจ้าน้องชายหน้าเหม็นขึ้นมาซัดผัวะๆ จมลงไปในพื้นหิมะ แงะก็แงะไม่ออก!

“เฮอะ!”

ซ่างกวานชิ่งแค่นเสียงขึ้นจมูก ไม่ได้พลิกตัวหนี แต่หลับตาลงอย่างเย็นชา

เซียวเหิงลืมตาขึ้น รู้สึกถึงไอร้อนบนตัวที่แผ่ออกไปทีละนิด ก่อนจะมองทิวทัศน์ไกลลิบเงียบๆ

ลมหยุดแล้ว ผู้คนบนท้องถนนก็มากขึ้น

บางครามีคนที่เดินผ่านมาสังเกตเห็นพวกเขา ส่งสายตามองคนบ้ามาให้ ก่อนจะรีบเดินหนีไป

สองพี่น้องพบหน้ากันกะทันหันนัก ทั้งคู่ต่างไม่ได้เตรียมใจใดๆ เลย บางทีซ่างกวานชิ่งอาจจะเตรียมแล้วนิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น

ตั้งแต่ทั้งสองพบหน้ากันจนกระทั่งบัดนี้ คำบางคำก็เลี่ยงไว้ไม่เอื้อนเอ่ย

อย่างเช่น จะให้คืนตัวตนของพระนัดดาให้เจ้าหรือไม่

หรืออย่าง ข้ากินยาถอนพิษของท่านไป ท่านโกรธหรือไม่

อันที่จริง ไม่ว่าจะเป็นท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจา หรือพระนัดดาแห่งต้าเยียน ชีวิตสองช่วงนี้ล้วนไม่ได้ราบรื่นเลย ยากที่จะบอกว่าผู้ใดกันแน่ที่รับความลำบากมากกว่า

เซียวเหิงยังไม่ตาย แต่ท่านโหวน้อยตายไปหนหนึ่งแล้ว

ซ่างกวานชิ่งยังมีชีวิตอยู่ ทว่าชีวิตของเขาใกล้จะถึงจุดจบแล้ว

ลมหนาวหอบหนึ่งโชยพัดมา เซียวเหิงตัวสั่น

“ควรลุกได้แล้ว” เขาเอ่ย “ไม่ต้องนอนแล้ว หากยังนอนต่อได้เป็นไข้แน่”

เขาลุกขึ้นนั่ง

ซ่างกวานชิ่งที่อยู่ด้านหลังไร้ปฏิกิริยา

เขาหันไปมองซ่างกวานชิ่งอย่างประหลาดใจ

สีหน้าซ่างกวานชิ่งซีดเผือด กลีบปากไร้สีเลือด

เมื่อเช้าตอนที่พบเขาในค่ายทหาร สีหน้าเขาแม้จะแดงเรื่อไม่เท่าคนธรรมดา แต่ก็ไม่ได้อ่อนระโหยเยี่ยงยามนี้

“ซ่างกวานชิ่ง ท่านเป็นอะไรไป” เซียวเหิงยกมือลูบหน้าผากเขา

ไม่ร้อน

แต่ลมหายใจเขาอ่อนแรงมาก

เซียวเหิงตบบ่าเขาเบาๆ “ซ่างกวานชิ่ง ซ่างกวานชิ่ง ซ่างกวานชิ่ง!”

เซียวเหิงไม่นับว่าป่วยบ่อยจนกลายเป็นแพทย์เองได้ แต่คนผู้หนึ่งอ่อนแอจริงหรือไม่เขาก็ยังคงมองออกอยู่ดี

มิน่าตั้งแต่นอนลงไปเขาก็ไม่ขยับเลย

เขาไม่ได้เกียจคร้าน แต่ขยับไม่ได้ต่างหาก

“ท่านฟื้นสิ!”

“ท่านอยากฟังข้าท่องกลอนมิใช่หรือ ข้าจะท่องให้ท่านฟัง!”

“คราหิมะโปรยปรายเขาเทียนซาน ไร้บุปผาตระการชวนเคลิ้มฝัน ครั้นได้ยลยินขลุ่ยเจ๋อหลิ่วนั้น ดุจตื่นฝันวสันอันตรธาน ศึกดุเดือดเลือดพล่านกลางแดดร้อน ทหารนอนกอดอานม้าสู่ห้วงฝัน หวังเพียงชักกระบี่คมเข้าฟาดฟัน หั่นสะบั้นข้าศึกโหลวหลานวาย!”

“…ไม่เพราะเลย” ซ่างกวานชิ่งค่อยๆ เปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้น ชำเลืองมองเซียวเหิงอย่างไร้เรี่ยวแรง

เซียวเหิงเอ่ยแก้ “กลอนบทนี้เพราะนะ!”

“หมายถึงเสียงเจ้าต่างหาก” ซ่างกวานชิ่งกลอกตาก่อนจะเอ่ย “อายุตั้งเท่าใดแล้ว”

เซียวเหิงก้อนสะอื้นจุกในลำคอ น้ำเสียงเจือสะอื้นที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว

เซียวเหิงพรูลมหายใจยาวเหยียด เวลาเพียงเมื่อครู่สั้นๆ แผ่นหลังเขาก็เปียกชุ่มไปหมดแล้ว

“แม้แต่พี่ชายก็ไม่เรียกแล้ว” ซ่างกวานชิ่งบ่น

เซียวเหิงแค่นเสียงเอ่ย “ท่านสู้ข้าได้ หรือว่าสอบได้ดีกว่าข้ากันละ ไยข้าต้องเรียกว่าพี่ด้วย”

ซ่างกวานชิ่งคว้าปืนบนพื้นหิมะ “เป่าเจ้ากระจุยเลยนี่”

“พี่ชาย” ผู้เข้าใจสถานการณ์คือผู้เฉลียวฉลาด

ซ่างกวานชิ่งแค่นเสียงด้วยความพอใจ

ลมแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เซียวเหิงยื่นมือไปหา “ข้าพยุงท่านขึ้น”

จู่ๆ ซ่างกวานชิ่งก็โพล่งขึ้น “ข้ารอไม่ถึงวันที่ได้ยาถอนแล้ว”

มือเซียวเหิงพลันชะงัก เขาสูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ยช้าๆ “ไม่หรอก ท่านพ่อต้องเอายาถอนพิษกลับมาได้แน่”

ซ่างกวานชิ่งไม่ได้ต่อบทสนทนา แต่ทอดมองท้องนภาอันไกลโพ้นพลางเอ่ย “นางสบายดีหรือไม่”

ไม่ได้บอกว่า ‘นาง’ คือผู้ใด หรืออาจจะเป็นคนอื่นก็ได้

แต่เซียวเหิงเพียงชะงักไปครู่เดียวก็กระจ่างแจ้งว่า ‘นาง’ ที่เขาเอ่ยถึงหมายถึงผู้ใด

ไม่รอให้เซียวเหิงตอบ ซ่างกวานชิ่งก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “พาข้าไปพบนางเถิด ข้าอยากเห็นนางสักครั้ง ก่อนจากไป”

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset