ราชาซากศพบทที่ 345 ยึดครองร่าง

บทที่ 345 ยึดครองร่าง

    บทที่ 345

    ยึดครองร่าง

    

    หลังจากนั้นลมปราณในร่างของหลินเว่ย พลันกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น ต่างก็สับสน ทุกคนต่างเพ่งมองไปที่ขวดกระเบื้องลายครามของหลินเว่ย ด้วยความประหลาดใจ

    

    ในตอนนี้ ขวดกระเบื้องว่างเปล่าลงไป แต่ในสายตาของ จื่อหยูและคนอื่น ๆ เต็มไปด้วยแรงเย้ายวน ต้องการสอบถามและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ทราบดีว่าในตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะเพราะในขณะนี้ พวกเขาไม่กล้าทำให้หลินเว่ยเสียสมาธิ เนื่องจากการต่อสู้เบื้องหน้ายังไม่จบสิ้น

    

    เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นมองไปที่จูกังเลี่ย ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ผิวหนังปกคลุมไปด้วยสีดำไหม้เกรียม หลินเว่ยก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

    เทียนเหลยเจวี๋ย หรือหัตถ์สายฟ้า ของหลินเว่ยนั้นได้รับมาจากจินหยู มันเป็นหนึ่งในทักษะการต่อสู้ ระดับห้า และถือว่าเป็นทักษะการต่อสู้ระดับสูงของสำนักตี้เฉิงซ่ง เป็นทักษะในการต่อสู้ ที่ทรงพลังมากกว่าทักษะอื่น ๆ

    

    ทักษะการต่อสู้ สามารถแบ่งออกเป็นระดับที่หนึ่งถึงระดับที่เก้า ระดับที่หนึ่งคือระดับต่ำที่สุด และระดับที่เก้า คือระดับสูงสุด หากต้องการใช้ทักษะนี้ จะต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมาก

    

    ในความเป็นจริงเพื่อชดเชยให้แก่หลินเว่ยและขอบคุณ ที่หลินเว่ยที่พาเขาออกจากดินแดนลับ จินหยูบอกเล่าเกี่ยวกับทักษะต่าง ๆ ที่ทรงพลัง แม้ว่าในตอนนี้สำนักตี้เฉิงซ่งจะกลายเป็นอดีตไปแล้ว

    

    สำหรับหลินเว่ยแล้ว ทักษะการต่อสู้ระดับห้านั้น ไม่เรียกว่าเป็นระดับต่ำหรือสูง เนื่องจากหลินเว่ยสามารถใช้งานมันได้เป็นเวลานาน เพราะถึงตอนนี้ ความเข้าใจของหลินเว่ยเกี่ยวกับทักษะเทียนเหลยเจวี๋ยนั้นซึมลึกถึงกระดูก

    หลังจากนั้นไม่นานนักที่ หลินเว่ยกลืนของเหลวหยวนเยว่เข้าไป พลังปราณในร่างของเขาถูกเติมเต็มราวกับไม่เคยศุญเสียไปก่อน และสามารถเอาชนะจูกังเลี่ย และโจมตีด้วยเทียนเหลยเจวี๋ย จนมีสภาพน่าสังเวชใจ แม้ว่าร่างกายของมันจะไหม้เกรียม แต่มันก็ยังคงมีลมหายใจอยู่

    

    ”เด็กน้อย! หากข้ายอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ เราพอที่จะพูดคุยกันได้หรือไม่” จูกังเลี่ยพูดกับหลินเว่ยอย่างเร่งรีบ

    

    ”หยุดหรือ….ไม่มีทาง..ข้าต้องการร่างของเจ้า” หลินเว่ยเม้มริมฝีปากของเขา และพูดด้วยท่าทางเยาะเย้ย

    

    ”ฮึ่ม! แล้วไปเถอะ ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะชดเชยพลังที่สูญเสียไปได้อย่างไรไหว?” เมื่อจูกังเลี่ยได้ยินคำปฏิเสธของ หลินเว่ย แต่เขาอดไม่ได้ที่จะขบฟัน และพูดด้วยเสียงครวญครางอันเย็นชา

    

    แต่ในเวลาต่อมา ดวงตาของจูกังเลี่ยก็แทบจะถลนออกมานอกเบ้า เนื่องจากเขามองไปที่หลินเว่ย และเห็นว่า หลินเว่ยหยิบขวดกระเบื้องขึ้นมาอีกครั้งและแหงนหน้าดื่มมันลงไป หลังจากนั้นลมปราณในร่างของหลินเว่ยที่สูญเสียไป ก็ได้รับการฟื้นฟู

    

    “ เอาเถอะข้ามีเวลาเล่นกับเจ้าอีกมากโข เนื่องจากข้ามีขวดกระเบื้องหลายหมื่นขวด….ข้าจะดูว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้?” หลินเว่ยเบ้ปาก และพูดด้วยความรังเกียจ

    

    “ หืม…หลายหมื่นขวดงั้นหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย สีหน้าของจูกังเลี่ยพลันเปลี่ยนไป แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อว่าหลินเว่ยนั้นจะมีขวดกระเบื้องลึกลับจำนวนมาก แต่เขาก็พูดอย่างกังวลใจ

    

    แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีขวดกระเบื้องหลายหมื่นขวด แต่ก็มีความเป็นไปได้มาก ที่จะมีประมาณหลายสิบขวด ในสถานการณ์ปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่าจะ จูกังเลี่ยแทบจะทนไม่ไหว เนื่องจากสายฟ้ามีผลต่อเวลาการเปลี่ยนร่างของเขา

    

    สองชั่วโมงต่อมา หลินเว่ยดื่มของเหลวหยวนเยว่ เป็นขวดที่สิบ ในเวลานี้จูกังเลี่ยซึ่งกำลังใกล้จะตาย ได้อ้าปากของเขาอีกครั้ง และกล่าวว่า “หลินเว่ย…ไม่สิ! นายท่านข้ายินดีที่จะยอมจำนน ตราบใดที่ท่านไม่สังหาร ข้าเต็มใจที่จะเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน”

    

    เมื่อได้ยินคำพูดของจูกังเลี่ย ทั้งจื่อหยูและคนอื่น ๆ ก็มองไปที่ใบหน้าของหลินเว่ยทันที จากนั้นก็ได้ยิน จื่อหยูพูดอย่างประหม่าว่า: “หลินเว่ย เจ้าคงจะไม่หลงเชื่อถ้อยคำของเขา เขาเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าในอนาคต”

    

    ”เจ้าเด็กหลิน! หญิงคนนั้นพูดถูกต้อง หมูปีศาจแห่งนรกนั้น มีที่มาจากอเวจี อาจมีทางใดที่จะหลุดจากการควบคุมของเจ้าได้ และเจ้าอาจจะถูกมันครอบครองร่างเมื่อใดก็ได้ ทันทีที่เสียงของจื่อหยูลดลง จินหยูก็รีบพยักหน้า และเห็นด้วยกับความคิดของจื่อหยู

    

    ”ไม่! ข้ายินดีที่จะมอบจิตวิญญาณของข้าให้กับนายท่าน หากข้าคิดคดทรยศเมื่อใด เพียงชั่วขณะสามารถทำลายจิตวิญญาณของข้าได้ทันที” เมื่อได้ยินคำพูดของจื่อหยู และ จินหยู จูกังเลี่ยก็รีบออกมาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง

    

    หลินเว่ยไม่ได้เอ่ยปากว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ กับคำพูดของคนทั้งสามคน อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้น เมฆดำบนท้องฟ้าก็เริ่มคลี่คลาย และท้องฟ้าพลันปลอดโปร่ง เมื่อจื่อหยูเห็นฉากนี้ ใบหน้าของนางก็แสดงความวิตกกังวล ในขณะที่จูกังเลี่ยแสดงสีหน้าตื่นเต้น พวกเขาทั้งหมดคิดว่าหลินเว่ยเลือกที่จะยอมรับ จูกังเลี่ยมาเป็นสัตว์เลี้ยง

    

    หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จูกังเลี่ยก็ฟื้นคืนความแข็งแรง และยืนขึ้นอย่างช้า ๆ แม้ว่าใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ในดวงตาของเขามองเห็นแสงอาฆาตจาง ๆ ในพริบตาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

    

    “ ขอบคุณนายท่านที่ไม่สังหารข้า จูกังเลี่ยมองลงไปที่หลินเว่ยและเอ่ยขอบคุณ

    

    ”กึก!”

    

    “ ตูม!” เสียงคำรามดังก้องไปทั่วท้องฟ้า แรงกดดันที่ไร้รูปร่างพุ่งลงไปที่ร่างของจูกังเลี่ย จากนั้นปรากฏแสงสีม่วงพาดผ่าน สายฟ้าสีม่วงมีขนาดเล็กกว่าก่อนหน้านี้มาก และตกลงมายังร่างของจูกังเลี่ย ด้วยความเร็วดุจสายฟ้า

    

    ”ตุม

    

    “ อ้ากก!” หลังจากเสียงดัง และฝุ่นฟุ้งกระจาย แสงสีม่วงกะพริบแสงเป็นระยะ ๆ จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น

    

    ครู่ต่อมาฝุ่นสลายไป และมีหลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น กลางหลุมขนาดใหญ่มีจูกังเลี่ยนอนอยู่ และมองไปที่ใบหน้าของหลินเว่ย เผยให้เห็นร่องรอยของความนัยต่าง ๆเช่นความสับสน ความโกรธความแค้นชิงชัง

    

    ”เพราะเหตุใด” จูกังเลี่ยเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก และกล่าวเป็นระยะ ๆกับหลินเว่ย

    

    “ พวกเขาสองคนพูดถูก จะเป็นการดีกว่าที่สังหารเจ้าลงในวันนี้ เพื่อไม่สร้างความเสี่ยงใด ๆ ในอนาคต” หลินเว่ยมองไปที่จูกังเลี่ยอย่างสงบและพูดเบา ๆ

    “ พรู่ด … !” เมื่อได้ยินคำอธิบายของหลินเว่ย จูกังเลี่ยก็กระอักเลือดออกมาทันที จากนั้นก็กลอกตาลง ศีรษะขนาดใหญ่ของเขาร่วงลงสู่พื้น อย่างไร้เรี่ยวแรง

    

    ”นี่มันตายแล้วหรือ?” เมื่อเห็นรูม่านตาสีแดงเลือดของ จูกังเลี่ยปิดลงไป สูญเสียความมันวาวและร่องรอยลมหายใจค่อยๆอ่อนลง แม้แต่ใบหน้าของหลินเว่ยก็ยังตกตะลึง

    

    สัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งระดับทองแดงกลับตายลงด้วยฝีมือของเขา หากพูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ ท้ายที่สุด มันต้องใช้ระยะเวลาหลายปีและจิตใจที่แข็งแกร่ง จึงจะสามารถก้าวไปสู่ระดับความแข็งแกร่งเช่นนี้

    

    “ตายแล้วหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย จื่อหยูกล่าวอย่างลังเลใจ อย่างไรก็ตามในเวลานี้ แสงและเงาสีขาวโปร่งแสง ลอยออกมาจากร่างของจูกังเลี่ย จากนั้นก็พุ่งไปที่หลินเว่ย ทันใดนั้นมันก็พุ่งเข้าสู่ทะเลจิตสำนึกของหลินเว่ย

    

    จนกระทั่งตอนนั้น หลินเว่ยพึ่งจะทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก่อนที่เขาจะดำเนินการใด ๆ เขาได้ยินเสียงของ จูกังเลี่ย ซึ่งดังมาจากภายในร่างกายของเขา: “เด็กน้อย เป็นเจ้าที่บังคับข้าในทำเช่นนี้ ข้าจะยึดครองร่างของเจ้าซะ”

    

    ”จินหยู! เจ้าจัดการมันได้ใช่หรือไม่?” หลินเว่ยมองไปที่จินหยูอย่างสงบ และพูดอย่างแผ่วเบา

    

    หลินเว่ยนั้นไม่มีความหวาดกลัวว่าจะถูกยึดครองร่าง เพียงแค่ผู้เฒ่าหมิงก็เพียงพอที่จะจัดการกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงใด ๆ ก็สามารถวางใจได้ เพราะยังมีผู้เฒ่าหมิงอยู่ด้วย!

    

    ”ฮึ่ม! กล้ามาล้อเล่นต่อหน้าท่านปู่เช่นข้า ไม่ส่องกระจกดูสภาพตนเองเสียเลย เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย จินหยูก็โค้งริมฝีปากของเขา และพูดด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

    

    เมื่อจินหยูพูดจบ เขาก็กลับเข้าไปยังจิตสำนึกของ หลินเว่ย หลังจากนั้นก็พบเจ้าหมูวายร้าย ไม่พูดพร่ำ จินหยูรีบไล่ต้อนจูกังเลี่ยทันที

    

    “ ปีศาจน้อย! ข้าแนะนำให้เจ้าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องของข้า มิฉะนั้นเจ้าจะถูกกลืนหายไป” จูกังเลี่ยหยุดลง และหันไปมองที่จินหยู ที่อยู่ตรงหน้า เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้ม คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความคุกคาม

    

    ”ฮึ่ม! ไอ้ขยะอเวจี กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ คงไม่กลัวตาย” จินหยู เกลียดมากที่สุด คือ คนที่เรียกเขาว่า เด็กน้อย ทันทีที่สิ้นเสียงโวยวายของจินหยู ปรากฏแผ่นหินสีทองก็ปรากฏที่มือของจินหยู จากนั้น จินหยู ก็ออกคำสั่งชี้ไปที่จูกังเลี่ย และพูดว่า “ไป!”

    

    “ นี่มันอะไรกัน?” จูกังเลี่ยมองเห็นแผ่นหินสีทอง แต่เขาไม่ได้หลบเลี่ยง กลับจ้องมองมันอย่างฉงน

    

    “ ป้าบ!” จูกังเลี่ยถูกตบด้วยแผ่นหินสีทองทันที โดยปราศจากการระมัดระวังตัว ร่างกายของเขาวูบไหวราวจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อ

    

    ”คำราม! สารเลว! เจ้าทำอะไรกับข้า….ข้าจะทำให้เจ้าทรมานแสนสาหัส” ครู่ต่อมาจูกังเลี่ยถอยกลับ พร้อมกับสีหน้าโกรธเคือง และด่าทออย่างโมโหร้าย

    “ ป้าบ!”ทันทีที่แสงสีทองกะพริบตบเข้าไปที่ร่างวิญญาณของจูกังเลี่ยอีกครั้ง โดยแผ่นหินสีทองของจินหยู พลังวิญญาณของจูกังเลี่ยพลันสลายไป กลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์ จินหยูตรงเข้าคว้ามันไว้ และลงไปในจิตวิญญาณของหลินเว่ย

    

    ”วันนี้เจ้าโชคดี มีเนื้อมาป้อนถึงปาก เจ้าน่าจะสามารถเลื่อนระดับพลังความแข็งแกร่งของเจ้า เป็นระดับทองแดงได้ หลังจากชำระล้างสิ่งสกปรกจากวิญญาณของเจ้าหมูป่าเสียก่อน” จินหยูกล่าวด้วยรอยยิ้ม

    

    “ นี่ … ” หลินเว่ยลังเล และมองไปที่วิญญาณที่อยู่ตรงหน้าเขา อย่างไรก็ตาม เขาได้ยินมาว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะกลืนกิน และดูดซับแหล่งพลังวิญญาณของคนอื่น ในแง่หนึ่ง มันเป็นการทำลายศีลธรรมและกฎของสวรรค์ ในทางกลับกัน หลังจากกลืนกินแหล่งวิญญาณของคนอื่นแล้ว แหล่งกำเนิดวิญญาณของเขาเอง ก็จะเกิดอุปสรรคในการเลื่อนระดับในอนาคต

    

    เมื่อเห็นการแสดงออกของหลินเว่ย จินหยูก็รู้ได้อย่างเป็นธรรมชาติว่า หลินเว่ยกังวลเรื่องอะไร เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม: “ไม่ต้องห่วง! ข้าจะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร หากมีคนที่ต้องการยึดครองร่างเจ้า แต่ว่ามันเกิดล้มเหลว วิญญาณของมันจะถูกกลืนหายไป นั่นคือสิ่งที่มันสมควรได้รับ และหากแหล่งวิญญาณถูกสังหารหรือได้รับบาดเจ็บ ระหว่างการยึดครองร่างของผู้อื่น แหล่งวิญญาณของมัน จะเปลี่ยนเป็นแหล่งพลังงานที่บริสุทธิ์ ซึ่งสามารถดูดกลืนได้โดยไม่มีผลเสียใด ๆ ข้ารู้ว่าเส้นทางนี้สอดคล้อง กับเส้นที่ถูกทำนองคลองธรรมแห่งสวรรค์และโลก ”

    

    ”ข้าเข้าใจแล้ว! เอาล่ะ มาแบ่งกันเถอะ! อย่างไรเสีย มันก็คือของที่เราปล้นมาได้” หลินเว่ยส่งแหล่งพลังหนึ่งในสองให้ จินหยู

    

    ”ไม่…จิตวิญญาณของข้าอยู่ในระดับทองแล้ว หากข้ากลืนวิญญาณ ความแข็งแกร่งระดับเงินของเจ้าหมูบ้านี่เข้าไป มันก็ไม่ได้ส่งผลลัพธ์ใดๆ ต่อข้า อย่างไรก็ตามสำหรับเจ้าแล้ว มันมีความสำคัญมาก หากก่อนหน้านี้

    

    จูกังเลี่ยได้รับบาดเจ็บ พลังของเขานั้นลดลงไปมาก และไม่สามารถฟื้นฟูได้เต็มที่ ในตอนนี้ ถึงเจ้าจะดูกลืนพลังวิญญาณไป แต่ก็คงมีพลังหลงเหลือไม่ถึงระดับทองแดงอย่างสมบูรณ์นัก” จินหยูส่ายหัวและกล่าวอย่างเสียใจ

    

    “ ไม่เป็นไร! ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝึกฝนแหล่งกำเนิดของจิตวิญญาณ แม้ว่าจะเป็นการเลื่อนระดับเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ดีสำหรับข้า หลินเว่ยส่ายหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

    

    

Options

not work with dark mode
Reset