สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 880 ซ่างกวานชิ่งฟื้นแล้ว

บทที่ 880 ซ่างกวานชิ่งฟื้นแล้ว

บทที่ 880 ซ่างกวานชิ่งฟื้นแล้ว

……….

เหตุการณ์ที่จู่ๆ พลิกผันต่อหน้าต่อตาทำให้เหล่าทหารแคว้นจิ้นถึงกับตาค้าง

จนอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองตาฝาดไปหรือไม่

ทหารม้าหนึ่งคน ม้าหนึ่งตัว พร้อมกับอาวุธอันเดียว จะสามารถฝ่าฝูงธนูและสังหารผู้บัญชาการของพวกเขาให้ตายคาหอคอยได้อย่างไร

นี่ไม่ใช่เรื่องจริง!

ท่านแม่ทัพใหญ่คือผู้ปรีชาวรยุทธ์เหนือใครๆ อีกทั้งชุดเกราะของผู้บัญชาการที่แข็งแกร่งจนอาวุธใดก็ฟันไม่เข้า!

ทหารม้าเฮยเฟิงผู้นี้ เขาทำได้อย่างไร!

…แล้วพวกเขาก็ระลึกได้จริงๆ ว่าท่านผู้บัญชาการถูกฆ่าแล้ว

ความสำเร็จของกู้เจียวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ก่อนหน้านี้ เซวียนผิงโหวคือคนที่ทำลายชุดเกราะจนกงซุนอวี่ถูกดาบแทงเข้าเนื้อ ต่อมาก็ต่อสู้กับเหลี่ยวเฉินจนกำลังภายในได้รับความเสียหายอย่างหนัก

แน่นอนว่าแม้ในสถานการณ์เช่นนี้ การโจมตีให้สำเร็จในครั้งเดียวก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก

ทหารแคว้นจิ้นเริ่มผวาให้แก่ความแข็งแกร่งของกู้เจียว

แม่ทัพหอคอยปล่อยเชือกลง พร้อมกับตะโกนร้องเสียงหลงหลังได้สติ “ท่านผู้บัญชาการ”

ทว่าท่านผู้บัญชาการของเขาไม่ได้ยินเขาแล้ว

ความโกรธอันรุนแรงและความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งเกิดขึ้นในใจของเขา ตระกูลกงซุนนับว่าเป็นตระกูลที่ได้รับความนับถือในหมู่ชาวแคว้นจิ้นไม่ต่างจากตระกูลเซวียนหยวนของแคว้นเยี่ยน ตั้งแต่ผู้บัญชาการคนเก่าจากไป ก็ไม่เคยมีผู้บัญชาการคนไหนที่สามารถเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณของเหล่าทหารแคว้นจิ้นได้เหมือนกับกงซุนอวี่

แล้วเขาต้องมาเห็นภาพแม่ทัพใหญ่ถูกศัตรูฆ่าอย่างเลือดเย็นต่อหน้าต่อตา!

รับไม่ได้ เขารับไม่ได้!

กู้เจียวจ้องมองไปทางทหารอีกฝ่ายที่กำลังอยู่ในอารมณ์อาลัยอาวรณ์ อะไรกัน แค่นี้ก็รับไม่ได้แล้วรึ

รู้ไว้ด้วยว่านี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

เสียงแตรดังขึ้น กลองสงครามสั่นสะเทือนทั่วแผ่นฟ้า ตามมาด้วยเสียงกีบม้าอันกึกก้อง

ภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน กองทหารทหารม้าเฮยเฟิงและทหารแห่งเงาทมิฬรวมตัวกัน

บัดนี้เมืองผู่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย กองทหารครึ่งหนึ่งต้องไปเฝ้าประตูทางใต้ และที่เหลือก็กำลังตามไปสมทบกับกู้เจียวที่ชายแดนระหว่างทั้งสองแคว้น

พวกเขาไม่ได้ทิ้งหลังมากนัก ซึ่งหมายความว่าเจ้าเฮยเฟิงไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วเต็มพิกัด เป็นความตั้งใจของผู้บัญชาการตัวน้อยที่ให้กงซุนอวี่มาถึงที่นี่

อันที่จริงกู้เจียวจะฆ่าเขาตั้งแต่ระหว่างทางเลยก็ได้ ซึ่งมันง่ายและปลอดภัยกว่ามาก

แต่ที่ไม่ทำเช่นนั้น ซ้ำยังยอมเสี่ยงตายฝ่าฝูงธนูของทหารแคว้นจิ้น เพื่อรอเวลาตอนที่กงซุนอวี่ปีนขึ้นหอคอย แล้วจัดการฆ่าเสีย!

ฟังแล้วมันอาจดูเป็นแผนที่สิ้นหวังใช่หรือไม่

มันอาจเป็นเรื่องที่ทำให้ทหารแคว้นจิ้นสะเทือนขวัญไปอีกนาน

แต่ก็อย่างที่ผู้บัญชาการน้อยกล่าวไว้ นี่เพิ่งเริ่มต้นนั้น

ทหารม้าเฮยเฟิงทุกคนเตรียมง้างคันธนู

จางฉือหย่งออกคำสั่ง “ปล่อยธนู!”

ลูกธนูหลายร้อยลูกถูกยิงใส่กงซุนอวี่อย่างดุเดือด!

ธนูนี้ เพื่อท่านแม่ทัพใหญ่!

ทหารเงาทมิฬเองก็เช่นกัน

แม่ทัพผางออกคำสั่ง “ปล่อยธนู!”

ธนูนี้ เพื่อท่านแม่ทัพใหญ่!

เหวินเหรินชง หลี่เซิน จ้างเติงเฟิงปล่อยธนูด้วยสายตาอำมหิต

ธนูนี้ เพื่อเซวียนหยวนเซิ่ง! เพื่อเซวียนหยวนจื่อ! และเพื่อสหายทุกคนที่ตายเพราะเจ้า!

“อย่านะ”

“หยุด”

“ท่านผู้บัญชาการ”

เสียงร้องโหยหวนของเหล่าทหารแคว้นจิ้นดังระงม

กองทัพเซวียนหยวนก็เคยเจอกับความรู้สึกเช่นนี้

แต่พวกเขาเคยขอร้องอ้อนวอนแบบที่พวกมันทำไหม เคยขอให้พวกมันหยุดทำร้ายท่านแม่ทัพเซวียนหยวนเซิ่งไหม

ลูกศรนับพันแทงทะลุเข้ากลางหัวใจ!

จุดจบของเซวียนหยวนเซิ่งเป็นเช่นไร วันนี้ กงซุนอวี่จะต้องถูกเอาคืนกว่าร้อยเท่าพันเท่า

และแล้วพวกทหารแคว้นจิ้นก็หยุดการโจมตีลง ไม่รู้เป็นเพราะเสียใจหรือตกใจ

เสียงร่ำไห้ของพวกเขาดังก้องไปทั่วเมือง ทว่าสีหน้าของกู้เจียวยังคงไม่เปลี่ยนไป

ไม่มีความสงสาร ไม่มีความสะใจใดๆ

เป็นสีหน้าที่เรียบเฉย

และความเรียบเฉยนี้คือคำดูถูกที่มีต่อทหารแคว้นจิ้น

“ฆ่ามัน! ฆ่ามันที! แก้แค้นให้ท่านผู้บัญชาการเร็วเข้า! เตรียมรถศึก!” แม่ทัพประจำหอคอยตะโกนพร้อมทั้งดวงตาที่แดงก่ำ

ในเมื่อลูกธนูไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้ งั้นก็ลองลิ้มรสก้อนหินยักษ์กับหน้าไม้ยักษ์ดูหน่อยเป็นไง!

พลังทำลายล้างของรถศึกและหน้าไม้ยักษ์นั้นเหนือกว่าดาบและปืน ต่อให้สวมเกราะที่แข็งแรงแค่ไหนก็ตาม

ขณะที่รถศึกของแคว้นจิ้นกำลังออกตัว กองทัพแคว้นเยี่ยนและขบวนอาวุธก็มาถึงตรงชายแดนพอดีเช่นกัน

โดยมีถังเย่ว์ซานเป็นผู้นำทัพ

ถังเย่ว์ซานรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของกู้เจียวโดยไม่เกรงกลัวความตาย จากนั้นหันไปมองร่างของกงซุนอวี่ที่ถูกเสียบคาหอคอย จากนั้นหันมาเอ่ยปากชม “สมกับเป็นสหายของข้า”

ดูเหมือนเขาจะเริ่มชินกับการเป็นเด็กจูงม้าของนางแล้วสินะ

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ไม่ไปบุกเมืองรึ” กู้เจียวจำได้ว่าถังเย่ว์ซานกับเซวียนผิงโหวจะต้องไปโจมตีประตูเมืองทิศเหนือด้วยกัน

“พวกเราโจมตีประตูเมืองทิศเหนือสำเร็จแล้ว ตอนนี้น่าจะกำลังทำศึกกันอยู่ ส่วนอาเซียวไปที่ภูเขาผี ข้าก็เลยส่งกำลังหมื่นนายไปช่วยเหลือพวกเขา แต่เขาดันขอแค่ห้าพันคน ข้าก็เลยพาทหารที่เหลือมาที่นี่ยังไงล่ะ” ถังเย่ว์ซานอธิบาย

“อ้อ ถ้าอย่างนั้น เริ่มเลยไหมล่ะ” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับหันไปทางหอคอย

“นี่เจ้าคิดจะ…” ถังเย่ว์ซานมองเด็กสาวด้วยสายตาสงสัย

“ฤกษ์ดีสู้ฤกษ์สะดวกไม่ได้หรอก บุกเลยแล้วกัน!” สีหน้าที่เรียบเฉยนั้นกำลังเอ่ยประโยคที่ฟังดูหยิ่งยโสที่สุดออกมา

ศึกในเมืองผู่ยืดเยื้อเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน

แม้ว่ากงซุนอวี่จะออกคำสั่งถอนกำลังทหารก่อนกำหนด แต่ประตูเมืองหลักทั้งสี่กลับถูกกองทหารแคว้นเยี่ยนปิดกั้นเป็นที่เรียบร้อย ทำให้ทหารแคว้นจิ้นไม่สามารถออกไปได้

นักบวชชิงเฟิงกลับมาที่ถนนเส้นเดิม จากนั้นเปิดประตูร้านค้าออก

เหลี่ยวเฉินกำลังนั่งพิงเสาอยู่ในโถงร้านโดยขาข้างหนึ่งยืดออกส่วนอีกข้างงอสบายๆ และวางมือไว้บนตัก

เด็กสี่ขวบกำลังเคลิ้มหลับในอ้อมกอดของเขา

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ขนตายาวของเขาก็กระพือเล็กน้อย เขาลืมตาขึ้น หันศีรษะและมองไปที่นักบวชชิงเฟิงที่กำลังเดินฝ่าแสงจันทร์มาทางนี้

ใบหน้าของเหลี่ยวเฉินซีดผาด ริมฝีปากก็เช่นกัน

เขาแทบไม่รู้สึกถึงรังสีอำมหิตของนักบวชชิงเฟิงแล้ว

“ข้าไม่ทำร้ายคนไม่มีทางสู้หรอก รอให้สงครามจบก่อนค่อยว่ากันทีหลัง” นักบวชชิงเฟิงกล่าว

เหลี่ยวเฉินไอออกมาเป็นเลือด จากนั้นก็ใช้มือเช็ดอย่างชุ่ยๆ พร้อมกับหัวเราะ “ตามใจเจ้า”

“อาการเจ้าสาหัสน่าดู” นักบวชชิงเฟิงย่นคิ้ว ก่อนจะคุกเข่าลง “แบมือออก”

เหลี่ยวเฉินยื่นมือให้เขาอย่างไม่เต็มใจ

นักบวชชิงเฟิงรับรู้ถึงชีพจรของเขา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบขวดยาออกมาจากอ้อมแขน “กินนี่ซะ”

นักบวชชิงเฟิงขมวดคิ้ว

ภิกษุผู้นี้น่ารำคาญจริงๆ

แม้ในใจจะบ่น แต่นักบวชชิงเฟิงก็ยอมช่วยเปิดจุกขวด แล้วป้อนยาให้เขา

เหลี่ยวเฉินกลืนมันลงไปทันที

นักบวชชิงเฟิงที่กำลังจะหยิบถุงน้ำให้เขากะชะงักทันที

กลืนแล้วก็ดี จะได้ไม่ต้องให้ดื่มน้ำ

ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่ายาจะออกฤทธิ์ ระหว่างที่เหลี่ยวเฉินกำลังนั่งเหม่อ จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นได้ “กงซุนอวี่ล่ะ”

“มีคนเร็วกว่าข้าจัดการไปแล้วล่ะ” นักบวชชิงเฟิงกล่าว

เหลี่ยวเฉินจึงถาม “แม่สาวน้อยคนนั้นรึ”

นักบวชชิงเฟิงทำหน้าเหวอ “ว่าอย่างไรนะ”

เหลี่ยวเฉินอ้าปากค้าง “อ๊ะ แย่ละ เผลอหลุดความลับจนได้”

“อย่าบอกนะว่า…ผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิง เป็นเด็กผู้หญิง” นักบวชชิงเฟิงกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก นั่นสินะ เหตุใดเขาถึงไม่สงสัยในความเป็นไปได้นี้มาก่อนเลย อาจเป็นเพราะหนึ่งคือแวดล้อมเขาไม่ได้มีผู้หญิงมากนัก และสอง ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเด็กผู้หญิงจะมีความเหี้ยมหาญเช่นนี้

“เอ๋ ว่าแต่ คราวนี้เจ้ากลับมาถูกได้อย่างไร” เหลี่ยวเฉินพยายามเปลี่ยนเรื่อง

ตอนที่ออกไปไล่ล่ากงซุนอวี่ ก็แค่ตามอีกฝ่ายไป ยังไงก็ไม่หลงทาง

แต่ขากลับนี่สิ

นักบวชชิงเฟิงตอบเบาๆ “ข้าขี่ม้าน่ะ”

เจ้าม้าเก่ง มันจำทางได้

เหลี่ยวเฉิน “…”

การตายของกงซุนอวี่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อกองทัพแคว้นจิน ขวัญกำลังใจของกองทัพลดลงอย่างรวดเร็ว ต่อให้พวกเขาต้องการถอนตัวแต่ก็ทำไม่ได้

กองทัพแคว้นจิ้นที่อยู่เขากุ่ยซานก็มีกองทัพของเซวียนผิงโหวคอยจัดการ

ฉางจิงพาจูจางขวงกลับมาด้วย

สีหน้าของเขาไม่พอใจอย่างมาก

นั่นก็เพราะจูจางขวงรู้ความลับของเขา เดิมทีเขาวางแผนที่จะฆ่าปิดปากด้วยซ้ำ แต่จูจางขวงดันเลือกที่จะยอมยอมแพ้หน้าตาเฉย!

และเซวียนผิงโหวก็มีกฎว่าห้ามฆ่าทหารที่ยอมแพ้

ในที่สุดกองทัพแคว้นจิ้นก็พ่ายแพ้ คนและม้าราวหกหมื่นพยายามหนีจากเมืองผู่อย่างสิ้นหวังและกลับไปที่แคว้นจิ้น

ทว่า ฝันร้ายของแคว้นจิ้นไม่จบเพียงเท่านี้

ช่วงกลางเดือนสิบ กองทัพทหารตระกูลกู้เดินทางข้ามแคว้นเยียนและมาถึงยังบริเวณชายแดนแคว้นจิ้น

และช่วงปลายเดือนสิบ กองทัพแคว้นเฉินและแคว้นจ้าวก็มุ่งหน้ามาทางทิศตะวันตก เดินทางมาถึงด่านจิ่วอวี้ของแคว้นจิ้น

ส่วนแคว้นเหลียงที่เพิ่งพ่ายสงครามมาหมาดๆ จึงยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

แต่ราษฎรทางตอนเหนือของแคว้นเหลียงไม่พอใจแคว้นจิ้นมานานแล้ว และพวกเขาจะเข้าร่วมในการโจมตีจินด้วย

แคว้นจิ้นจะต้องเผชิญหน้ากับศึกครั้งใหญ่ของอีกห้าแคว้นอย่างไม่มีทางเลือก!

ณ จวนเจ้าเมืองผู่

หวังหม่านและพลทหารคนอื่นๆ กำลังรายงานสถานการณ์ให้แก่ไท่หนี่ว์

ทหารแคว้นจิ้นที่ยังหลงเหลืออยู่ในเมืองล้วนถูกจับเป็นที่เรียบร้อย ส่วนอีกเมืองหนึ่งที่ตระกูลหันยึดไว้ก็ถูกยึดคืนเช่นกัน บุตรชายทั้งสี่ของตระกูลหันถูกสังหารระหว่างที่สู้รบ ส่วนที่เหลือก็ถูกจับไปทั้งหมด

“ทหารของเราที่บาดเจ็บและล้มตายล่ะ” ซ่างกวานเยี่ยนถาม

“สถานการณ์ดีกว่าที่คาดไว้มากเลยขอรับ” หวังหม่านกล่าว

แม้หวังหม่านจะเป็นคนจองหอง กระนั้นเขาไม่เคยรายงานเท็จและเอาดีเข้าตัว

อัตราส่วนของกองกำลังที่เสียชีวิตในครั้งนี้นับว่าน้อยที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยพบเจอ เป็นเพราะความกล้าหาญอย่างแท้จริงของเหล่าชายชาติทหาร ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง… เขาต้องยอมรับว่าทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ช่วยชีวิตผู้คนได้จำนวนมาก

ซ่างกวานเยี่ยนยิ้มด้วยความพอใจ “แม่ทัพหวังคงจะรู้สึกขอบคุณผู้บัญชาการเซียวเป็นอย่างมากสำหรับเรื่องนี้ เขาเป็นคนหายา อีกทั้งยังสอนเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ถึงวิธีการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ”

เมื่อได้ยินชื่อของเด็กนั่น หวังหม่านอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

ซ่างกวานเยี่ยนไม่มีกะใจจะต่อปากต่อคำกับเขาต่อ นางต้องรีบไปดูอาการของลูกชาย

ที่จริงซ่างกวานชิ่งฟื้นขึ้นแล้ว อีกทั้งเขารู้เรื่องตัวตนที่แท้จริงของคนที่อุ้มเขาตอนอยู่ที่อุโมงค์แล้ว

พอนึกถึงประโยคที่เขาเอ่ยกับเซวียนผิงโหวว่าจะชวนไปดื่มเล่าไปหอนางโลมอะไรนั่น แทบอยากจะเอาหัวมุดดินเลยให้ตายสิ!

ก๊อกๆ ๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ชิ่งเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือยัง ขอเข้าไปนะ”

ซ่างกวานชิ่งที่กำลังกรีดร้องในใจพร้อมกับเอามือทุบอกตัวเอง

พอได้ยินเสียงเปิดประตู ก็รีบยกผ้าห่มคลุมโปงทันที!

เขานอนตัวงออยู่ในผ้าห่ม

หัวของเขาถูกคลุมไว้

มีเพียงแค่เท้าที่โผล่ออกมา

เขาขยับเท้าไปมาด้วยท่าทางที่ดูดื้อรั้น จากนั้นชักเท้ากลับเข้าไปใต้ผ้าห่มทีละน้อยพร้อมส่งเสียงกรีดร้อง

เซวียนผิงโหว “…”

……….

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset