ท่านย่าหม่าคลำตรงเอวแล้วล้วงห่อผ้าเช็ดหน้าออกมา
เปิดชั้นแรกออก เปิดผ้าเก่าๆ ออกอีกชั้น พอเปิดออกก็มีผ้าเก่าๆ อีก ชั้นแล้วชั้นเล่า
ซ่งฝูหลิงถาม “ตั๋วเงินหรือ ห่อไว้แบบนี้ไม่กลัวมันเปื่อยยุ่ยหรือ”
“เอ๊ะ” ท่านย่าหม่าทำสีหน้ารังเกียจ “กระดาษแบบนั้นลมพัดก็ปลิว โดนน้ำก็จาง ข้าไม่เชื่อของพรรค์นั้นหรอก” ขณะพูดก็เปิดชั้นสุดท้าย
ซ่งฝูหลิงเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เป็นหยวนเป่า[1]ทองสองก้อน
หญิงชราผู้นี้เอาไปเปลี่ยนเป็นหยวนเป่าทองมา
“ท่านย่า รีบเอามาให้ข้าก้อนหนึ่ง”
“ตกลงเจ้าจะทำอะไรกันแน่ ไอ๊หยา กล้าแย่งย่าด้วย จะแย่งใช่ไหม ย่าว่าเจ้าคงอยากจะโดนฟาดสินะ”
ซ่งฝูหลิงจนปัญญา ถึงได้เล่าความจริงให้ฟัง
นางเล่าว่ามีกระดาษอยู่หนึ่งใบถูกคนเอาไปแล้ว
ของที่ทำออกมานั้นอาจจะราคาแพงมาก
แต่ท่านย่าอย่าเสียดาย พวกเราแบ่งกันคนละครึ่งใช่ไหมล่ะ ท่านย่ามีหยวนเป่าสองก้อนพอดี เอามาให้ข้าก้อนหนึ่ง ข้าก็จะเอาไปจ่าย
นอกจากนี้ของสิ่งนั้นก็ไม่ได้ทำไว้เฉยๆ ใช้งานได้นานมาก เพื่อความสะดวกของทุกคนในครัวขนม จะทุ่นแรงได้มาก
“มันออกจะแพงเกินไป พั่งยา เจ้าไม่รู้จักใช้เงินเลยนะ เฮ้อ”
ท่านย่าหม่าถอนหายใจ
“หยวนเป่าของเจ้า หยวนเป่าของย่า มันก็เงินทั้งนั้น…
…ย่าเคยพูดไว้ใช่ไหม คนอย่างพวกเราไม่กลัวเหนื่อย กลัวแค่เหนื่อยแล้วไม่ได้เงิน…
…เจ้าคิดดู จะจ่ายเงินทำของสิ่งนั้นเพื่อทุ่นแรงของพวกนางไปทำไม”
พอบ่นเสร็จมาคิดดูอีกที ย่าหม่าก็ยื่นหยวนเป่าทองให้หนึ่งก้อน
ความใจกว้างนี้ทำให้ซ่งฝูหลิงรู้สึกว่า จริงๆ นะ ผู้สูงวัยที่ผ่านโลกมามากในยุคปัจจุบันก็ใช่ว่าจะปลงได้แบบนี้
“เอาไป ไม่ใช่ให้เจ้าเอาไปให้จริงๆ หรอกนะ แค่เอาไปไว้กันเสียหน้า…
…พอถึงเวลาเจ้าก็ทำเป็นเกรงใจหน่อย ทางนั้นบอกไม่เอา เจ้าก็ต้องบอกว่าเอาไปๆ พอเขาบอกไม่เอาจริงๆ เจ้าก็ เจ้าค่อยเอากลับมา…
…ยื้อกันไปมาสักพักก่อน แบบนั้นค่อยดูมีศักดิ์ศรีหน่อย”
ซ่งฝูหลิง นี่ตบหน้ากันหรือเปล่า เหมือนโดนตบหน้าเลยจริงๆ ขอถอนคำพูดที่บอกว่าท่านย่าของนางมีความคิดมากกว่าคนแก่ยุคปัจจุบัน
ท่านย่าหม่าทำเสียงจึ๊ “มองย่าแบบนั้นทำไม ย่าพูดไม่ถูกรึ ถ้าไม่เชื่องั้นพวกเรามาพนันกัน คุณชายลู่ไม่มีทางเอาเงินหรอก อย่าลืมล่ะ เดี๋ยวเอามาคืนย่าด้วย ย่าจะเก็บแทนเจ้าเอง เอาไว้ให้เจ้าใช้ในอนาคต”
“ท่านย่าว่าพูดแบบนี้มันจะดีเหรอ ทำไมทางนั้นถึงจะไม่เอาเงินล่ะ”
“ไม่มีทางเอาหรอก เจ้าไม่เคยคลุกคลีกับคนรวย ยังไร้เดียงสาเกินไป ไม่เข้าใจหรอก”
ซ่งฝูหลิงชี้ตัวเอง นางเนี่ยนะไม่เคยคลุกคลีกับคนรวย
ท่านย่า ตอนนี้อย่าทำเป็นได้ใจเกินไปจะดีกว่า
“เอาล่ะๆ พวกที่ไปหาปลาใกล้กลับมาแล้ว จะเอาหรือไม่ก็เก็บไว้ให้ดีก่อน ย่าจะบอกให้นะ อย่าบอกแม่เจ้าว่าพวกเรามีเงินพวกนี้ กับคนอื่นก็ห้ามบอก”
ท่านย่าหม่ามีความคิดว่าหลานสาวสนิทกับนางเสียยิ่งกว่ากับแม่ตัวเอง
จะเป็นไปได้อย่างไร
เย็นวันนี้
เหล่าทหารช่วยกันไปหาปลามาตอบแทนคนในหมู่บ้าน
และก็หิ้วมาให้พวกซ่งฝูเซิงเกือบร้อยจิน
อาบน้ำชำระล้างร่างกายพลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน นึกไม่ถึงว่าพวกชาวบ้านจะต้มน้ำร้อนไว้ให้ ที่นอนก็ปูให้ มุดเข้าไปซุกอบอุ่นเหลือเกิน และก็เริ่มสนิทสนมคุ้นเคยกับพวกซ่งฝูเซิงมากขึ้นเรื่อยๆ คุยเหมือนคนในครอบครัว คุยแม้กระทั่งปัญหาเรื่องพื้นรองเท้า
เกิ่งเหลียงพูด “ไว้ข้าจะทำรองเท้าสเก็ตสักคู่บ้าง เอาไปให้พวกเพื่อนทหารดูว่าจะใช้ตอนไหนได้บ้าง ได้ไหมพี่ซ่ง”
ซ่งฝูเซิงบอกว่า “ได้ไม่ได้อะไร มันก็เหมือนแคร่เลื่อนนั่นแหละ”
ซ่งฝูกุ้ยก็ถามเรื่องรองเท้า ชี้ไปที่ใต้รองเท้าของทหารคนหนึ่ง “ใส่อันนี้ก็ไม่ลื่นแล้วเหรอ”
“อืม ไม่ลื่น”
“ทำเองเหรอ”
“เปล่า รองเท้าทรงสูงแบบนี้พวกเราได้รับแจกมา”
ซ่งฝูกุ้ยมองซ่งฝูเซิงตาปริบๆ ความหมายในแววตาชัดเจนมาก ข้าก็อยากได้บ้าง หัวหน้า แจกให้ข้าสักคู่สิ ดูเขาใส่กันสิ
…
คืนวันนี้ ซ่งฝูหลิงนอนคว่ำอยู่ในผ้าห่ม ด้านขวาเป็นหมี่โซ่วกับเฉียนเพ่ยอิง ด้านซ้ายเป็นซ่งจินเป่ากับท่านย่าหม่า
ซ่งจินเป่าถูกบังคับให้สระผม กำลังเอาผมมาปิดหน้าเล่นเป็นผี
ถูกท่านย่าหม่าตบไปสองทีก็ยังไม่ยอมนอนดีๆ เหมือนกำลังตื่นเต้นที่ได้เปลี่ยนที่นอน
ส่วนซ่งฝูหลิง กำลังอาศัยแสงจากตะเกียงอ่านเรื่องที่นางแต่งให้หมี่โซ่วฟัง
บางครั้งการเล่าให้คนอื่นฟังก็เป็นการจัดระเบียบความคิดแบบหนึ่ง
นางเองไม่ได้สนว่าเด็กน้อยจะเข้าใจหรือไม่ นางพูดว่า
“มีสถานที่แห่งหนึ่งถูกเรียกว่าโลก มีลักษณะเป็นทรงกลม…
…โลกใหญ่มาก ใหญ่กว่าแคว้นของพวกเราหลายเท่าสุดคณานับ…
…ดังนั้นบนโลกที่เป็นทรงกลมนี้ ก็มีอีกหลายแคว้นเหมือนกัน…
…มีอะไรบ้างน่ะเหรอ ก็มีที่เรียกว่าแคว้นดวงดาว แคว้นธงข้าว แคว้นสตาร์ แคว้นเหยี่ยว แคว้นดอกชบา แคว้นโป…
…แคว้นพวกนี้มีทั้งที่ความสัมพันธ์ดีและไม่ดี…
…แต่ละแคว้นก็มีประชากรเยอะเหมือนกัน”
“พี่ โลกอะไรนั่นที่ว่าทรงกลม แล้วคนยืนอยู่ได้ยังไง ไม่หล่นลงมากันหมดเหรอ”
ซ่งฝูหลิง เรื่องนี้คงต้องว่ากันยาว
“เจ้าจำไว้ก่อนแค่ว่ามันไม่มีทางตกลงมาก็พอ”
เฮ้อ เดี๋ยวจะเขียนว่าโลกเป็นทรงกลมใส่ไว้ในเรื่องดีไหมนะ แต่ถ้าไม่บอกว่าโลกเป็นทรงกลม เส้นทางมันก็จะดูขัดกัน ตอนนั้นที่รบกัน มีแค่โลกเป็นทรงกลมเท่านั้นถึงจะใช้ทางลัดได้
เอาไว้ก่อน ช่างมัน
“แคว้นเหยี่ยวเสียเปรียบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง…
…ซึ่งก็คือพวกเขาแพ้ในการสู้รบกับคนอื่นครั้งแรก…
…ผู้แพ้ก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งใช่ไหมล่ะ…
…ถ้าไม่ฟัง อีกฝ่ายก็จะทารุณต่อ พวกเขาแพ้แล้ว ยอมจำนนแล้วก็ต้องรับการลงโทษ…
…ตอนนั้นหลายแคว้นที่สู้กับพวกเขา เรียกว่าฝ่ายชนะแล้วกัน ได้พูดกับพวกเขาว่า จะไม่ทารุณพวกเขาต่อไปก็ได้ แต่มีเงื่อนไข…
…ข้อแรก แคว้นเหยี่ยวของพวกเจ้าต้องเสียดินแดนให้พวกเราส่วนหนึ่ง…
…ข้อสอง แคว้นเหยี่ยวของพวกเจ้าห้ามผลิตสิ่งนี้ ห้ามผลิตสิ่งนั้น ซึ่งก็คือพวกของที่เมื่อก่อนแคว้นเหยี่ยวขายดีนั่นเอง อย่างเช่น ขนมเค้กของบ้านเรา ฝ่ายนั้นไม่ให้เราขายแล้ว ประมาณว่าทางนั้นไม่อยากให้เราร่ำรวย ถ้าเจ้ากล้าทำ ต่อให้ต้องฉีกสัญญาทิ้งก็จะทารุณเจ้าต่อ…
…ข้อสาม ก็คือชดใช้เงิน ทองคำมูลค่าร้อยล้านตำลึง”
หมี่โซ่วแทบหยุดหายใจ “เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ จำนวนเงินมากกว่าร้อยล้านพันล้านตำลึง…
…แคว้นเหยี่ยวรู้สึกเหมือนรังแกกันเกินไป…
…เพราะคนของแคว้นพวกเขาถูกซ้อมจนสภาพเป็นแบบนี้กันแล้ว ยังจะให้ชดใช้เป็นเงินอีก มีเงินที่ไหนกัน เดิมทีคนในแคว้นรวมกันมีประมาณหนึ่งหมื่นเท่าของคนเมืองเฟิ่งเทียน คนพวกนี้ถูกซ้อมกันทุกคน ไปหาหมอก็ไม่มีค่ารักษา ยังจะให้ชดใช้อีกรึ…
…แต่ก็ช่วยไม่ได้ กลัวจะถูกทารุณกันไปมากกว่านี้ พวกเขาจึงยอมรับเงื่อนไข…
…ทำได้เพียงคิดวิธีหาเงิน เงินที่หามาได้จะเอามารักษาคนในแคว้นที่บาดเจ็บก่อนก็ไม่ได้ ต้องเอาไปชดใช้ก่อน…
…ด้วยประการฉะนี้ แคว้นเหยี่ยวจึงค่อยๆ เก็บเงิน ค่อยๆ คิดหนทางหาเงิน…
…ผ่านไปหลายปีมากๆ ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับยังคงจดจำภาพอันน่าสังเวชที่ถูกทารุณในตอนนั้นได้อยู่เสมอ จดจำไว้ว่าต้องแก้แค้น…
…เรื่องราวจึงเริ่มตั้งแต่ตอนนี้”
ซ่งฝูหลิงพูดต่อ “สงครามสายฟ้าแลบ”
ซ่งฝูเซิงฟังแล้วรู้สึกคุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อน
หมี่โซ่วได้ฟังแล้ว ดึกๆ ดื่นๆ ก็แทบจะแปลงกายเป็นเจ้าหนูทำไม “พี่สาว อะไรคือรถถัง หน้าตาเป็นยังไง ร้ายกาจขนาดไหน หนังเหล็กหุ้มพวกเขาอยู่ข้างใน พวกเขาหายใจออกเหรอ”
ซ่งจินเป่าฟังแล้วสายตาเปล่งประกาย เขาถามขึ้น “พี่สาว พี่ สาว ที่ท่านเล่ามาน่ะจริงเหรอ มีพวกคนแบบนั้นจริงเหรอ”
“แต่งเรื่องเก่งจริงๆ เลยนะ” ท่านย่าหม่าพลิกตัวพลางพูด หลานสาวคนเล็กของนางหาเรื่องจริงๆ ดูเอานะ เล่นเอาทุกคนตื่นเต้นไปหมด กลางค่ำกลางคืนไม่นอนกันแล้ว
เตียงอยู่ติดกัน ตรงกลางกั้นด้วยกำแพงไฟ
ตอนนี้ต้องแบ่งห้องให้พวกทหารอยู่กันใช่ไหมล่ะ บนเตียงของซ่งฝูเซิงก็เบียดกันอยู่ไม่น้อย
ซ่งฝูหลิงเล่าได้สักพักก็หยุด ตอนแรกนางคลำหาแก้วน้ำมาดื่ม จากนั้นก็กลับเข้าไปซุกผ้าห่มแล้วเงียบไป
ท่านลุงซ่งรอแล้วรอเล่า นึกไม่ถึงว่าอยู่ๆ หลานก็เงียบไป “พั่งยา ทำไมไม่เล่าแล้วล่ะ เล่าต่อสิ”
เฉียนเพ่ยอิงพูดอย่างจนปัญญา “ท่านลุงซ่ง ทำไมท่านยังไม่นอนอีก พั่งยาแค่พลิกตัวก็หลับแล้ว”
เล่นเอาท่านลุงซ่งโมโห
คนที่อยู่บนเตียงนั้นแทบอยากไปเขย่าตัวซ่งพั่งยาให้ตื่น
ได้ยินคนบ่นแต่ไม่รู้ว่าใคร
“เด็กคนนี้นี่ เล่าครึ่งๆ กลางๆ มันค้างคาใจนะ…
…ไอ้นั่นน่ะ เขาเรียกอะไรนะ…
…อ๋อ นึกออกแล้ว เรียกกระโดดร่ม…
…คนพวกนั้นกระโดดลงมาจากนกเหล็ก ยังไม่ถึงพื้นเลยนะ”
ซ่งฝูเซิงยิ้มพลางคลำทางลงจากเตียงจะไปห้องน้ำ ยังไม่ทันได้แหวกม่านก็ตกใจ “พวกเจ้าทำไมไม่นอนกัน มานั่งทำอะไรตรงนี้” พวกที่อยู่ห้องตะวันตกก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน ยกเว้นหนิวจั่งกุ้ยที่ไม่มา ดูท่าคงจะนั่งฟังเรื่องเล่าตรงประตูกันอยู่ตลอด
————————–
[1] เงินสมัยโบราณของจีน มีลักษณะเป็นก้อนวงรี ปลายโค้งสูงสองข้างคล้ายเรือ