ตอนที่ 346 ภาพเทพปีศาจโบราณ
จื่อเหยาเอ่ยออกมาเรียบ ๆ จากนั้นก็เดินตรงไปทางหอเก็บตำรา
ทว่าขณะที่นางอยู่ห่างจากหอเก็บตำราอีกเพียงครึ่งจั้ง ก็ได้หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน
จากนั้นนางก็ลอบชำเลืองมองเย่ฉางชิงเล็กน้อย ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างทำท่ามุทราอย่างรวดเร็ว ราวกับต้องการเปิดผนึกต้องห้ามบางอย่างก็มิปาน
มินานกระโปรงสีขาวของจื่อเหยาก็ปลิวไสว ไอหมอกรอบกายไหลเวียน แผ่คลื่นแสงเป็นชั้น ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้นปราณวิญญาณที่ปกคลุมบนจัตุรัสแห่งนี้ก็เกิดปะทุขึ้น ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังขึ้นกลางอากาศเป็นระลอก
เป็นปรากฏการณ์ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก !
จนเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
หินสีครามน้อยใหญ่ที่ถูกวางเรียงรายเอาไว้ใกล้กับหอเก็บตำราก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมา ก่อนจะเปล่งลำแสงอันเจิดจ้ามากมายขึ้นมาในทันที
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้หอเก็บตำราหลังนี้ดูลึกลับมากขึ้นไปอีก
หลังจากกวาดตามองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบ ๆ แล้ว ในที่สุดจื่อเหยาก็ลอบถอนหายใจออกมา
เพราะก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ใหญ่หลี่ซิวหยวนได้กำชับนางเอาไว้หลายครั้งว่า
แม้ผนึกต้องห้ามที่วางเอาไว้ที่หอเก็บตำราจะใช้งานมิได้แล้ว แต่เพื่อเสริมให้หอเก็บตำราหลังนี้ดูลึกลับมากขึ้น
เช่นนั้นก่อนที่นางจะเข้าไปในหอเก็บตำรา จะต้องหยุดลงและปล่อยพลังวิญญาณของตนเองเข้าไปในค่ายกล ที่ศิษย์พี่สามลู่ซานหยางสลักเอาไว้เสียก่อน
แม้ลวดลายบนค่ายกลที่ลู่ซานหยางสลักเอาไว้มิสามารถตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นใด ๆ ได้ และมิสามารถกลายเป็นผนึกต้องห้ามที่ใช้งานได้จริง ๆ แต่ขอเพียงปล่อยพลังวิญญาณเข้าไปภายในค่ายกล ก็จะทำให้ลวดลายของค่ายกลเปล่งแสงออกมาอย่างแน่นอน
ถึงตอนนั้นต่อให้ผนึกต้องห้ามของหอเก็บตำราจะใช้การมิได้ แต่หากมองด้วยตาเปล่าแล้ว ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังถือว่าน่าประทับใจอยู่ดี
ที่สำคัญที่สุดก็คือศิษย์น้องเล็กที่เข้ามาใหม่ผู้นี้ เป็นเพียงผู้ฝึกเซียนหน้าใหม่เท่านั้น
ความจริงแล้วลู่ซานหยางมิได้มีความแตกฉานในด้านค่ายกลเท่าไรนัก
เช่นนั้นจื่อเหยาจึงเป็นกังวลมาตลอดว่า ลวดลายค่ายกลที่ลู่ซานหยางสลักเอาไว้ จะมีปัญหาเกิดขึ้นหรือไม่
แต่ตอนนี้ดูแล้วถือว่าอลังการมิน้อย และก็มิได้มีอันตรายใด ๆ
และในตอนนั้นเอง
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าดูเอาไว้นะ”
จื่อเหยาหันไปมองเย่ฉางชิงที่มีท่าทางกระปรี้กระเปร่า พลางแสร้งเอ่ยด้วยเสียงจริงจังว่า “หอเก็บตำราหลังนี้มีการวางผนึกต้องห้ามที่อันตรายเอาไว้ หากมิได้รับอนุญาตจากอาจารย์ ต่อไปเจ้าห้ามมาที่นี่โดยพลการเด็ดขาด มิเช่นนั้นผลลัพธ์ที่ได้อาจจะร้ายแรงเกินกว่าที่เจ้าจะคาดเดาได้”
เย่ฉางชิงถึงกับชะงักงัน ก่อนจะประสานมือคารวะอีกครั้ง “ศิษย์พี่เก้าได้โปรดวางใจ ข้าจะมิมาที่นี่โดยพลการเด็ดขาดขอรับ”
จื่อเหยาพยักหน้าน้อย ๆ จากนั้นก็เดินนำเข้าไป
เย่ฉางชิงจึงรีบเดินตามไปทันที
………………………………
ขณะเดียวกัน
ด้านหลังป้ายหินที่อยู่มิไกลนัก
หลี่ซิวหยวนที่แอบดูมาตลอด ในที่สุดก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“โชคดีที่ศิษย์น้องจื่อเหยาเปิดใช้ลวดลายบนค่ายกลได้สำเร็จ มิเช่นนั้นต่อให้อาจารย์จะมิเอาความอะไร คืนนี้ข้าก็ต้องไปจัดการลู่ซานหยางให้ได้”
เอ่ยเพียงเท่านั้น หลี่ซิวหยวนก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างอดมิได้ ก่อนจะจากไปอย่างไร้กังวล
………………………….
วินาทีที่จื่อเหยาผลักประตูเข้าไป
กลิ่นอายของความเก่าแก่มากมายพลันปะทะเข้ามา
มินานบริเวณชั้นหนึ่งของหอเก็บตำราที่ถูกตกแต่งเอาไว้หลังนี้ ก็ปรากฏสู่สายตาของคนทั้งคู่ทันที
ชั้นวางหนังสือที่มีความสูงมิต่ำกว่าหนึ่งจั้งถูกวางเรียงเอาไว้มากมาย แต่ละชั้นมีตำราโบราณต่าง ๆ วางเก็บเอาไว้
บริเวณตรงโถงตรงกลางมีโต๊ะไม้ยาวโบราณตัวหนึ่งวางอยู่ บนโต๊ะมีกระถางกํายานและเชิงเทียนวางไว้ ขณะที่ด้านหน้าโต๊ะก็มีเบาะนั่งวางไว้
ขณะที่บนผนังโดยรอบมีกระบี่โบราณ ภาพปลาหยินหยาง ภาพทิศทางของลมปราณแขวนประดับเอาไว้
ภาพตรงหน้าแม้จะดูธรรมดามิได้มีอะไรหรูหรา แต่กลับให้ความรู้สึกที่เรียบง่ายอย่างบอกมิถูก
แต่สิ่งที่ทำให้เย่ฉางชิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป และอดใจสั่นขึ้นมามิได้ก็คือ
เพียงแค่เขากวาดตาดูชื่อตำราโบราณมิกี่เล่ม ที่อยู่บนชั้นหนังสือตรงหน้า ก็รู้สึกตื่นตระหนกไปหมดแล้ว
คัมภีร์โกลาเบิกรากวิญญาณหมุนเก้าย้อนเก้า !
คัมภีร์หยกม่วงร้อยจั้งเพลิงศักดิ์สิทธิ์หยางบริสุทธิ์เมฆาเลื่อนลอย !
เคล็ดวิชาเก้าสวรรค์เทพสังหารกระบี่อัสนี !
หฤทัยสูตรแค่นอนก็เป็นเซียนได้ เหตุใดต้องยืนบำเพ็ญเพียรด้วย !
…………………………..
ต้องบอกว่าแม้ชื่อเคล็ดวิชาเหล่านี้จะยาวเกินไปหน่อย แต่เย่ฉางชิงกลับมองว่า
เพราะเหตุนี้จึงทำให้เคล็ดวิชาทุกเล่มในหอเก็บตำราหลังนี้ จะต้องเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาในตำนานอย่างแน่นอน
เยี่ยงไรเสียที่นี่ก็คือสำนักชิงหยาง !
เป็นสำนักเซียนลึกลับในตำนานแห่งหนึ่ง !
มีเพียงสุดยอดเคล็ดวิชาที่มีชื่อเช่นนี้ จึงคู่ควรที่จะถูกเก็บเอาไว้ในสำนักเซียนลึกลับอย่างสำนักชิงหยางได้
ตอนนั้นเองจื่อเหยาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่ฉางชิง ก็เอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิดว่า
“ศิษย์น้องเย่ ตามกฎของสำนักชิงหยางของเราแล้ว ศิษย์ที่มีระดับต่ำกว่าแดนก่อกำเนิด จะสามารถเลือกเคล็ดวิชาจากชั้นหนึ่งได้เพียงชั้นเดียวเท่านั้น และเนื่องจากเคล็ดวิชาที่สำนักชิงหยางของเราเก็บเอาไว้ล้วนพิสดารล้ำลึก”
“เช่นนั้นศิษย์ที่เข้ามาใหม่จะสามารถเลือกเคล็ดวิชาได้เองเพียงเล่มเดียวเท่านั้น และศิษย์พี่จะเป็นคนเลือกให้เจ้าอีกหนึ่งเล่ม เช่นนั้นข้าจะเลือกเคล็ดวิชาที่ค่อนข้างง่ายให้ จากนั้นเจ้าก็ค่อย ๆ ฝึกฝนจากง่ายไปยาก ค่อย ๆ พัฒนาไปก็แล้วกันนะ”
ได้ยินเช่นนั้นเย่ฉางชิงก็ได้สติขึ้นมา พลางประสานมือคาราวะให้แก่ศิษย์พี่เก้าจื่อเหยาผู้นี้น้อย ๆ
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนศิษย์พี่เก้าแล้ว”
เย่ฉางชิงเอ่ยด้วยใบหน้าแฝงรอยยิ้มอ่อนโยน
ขณะเดียวกันเขาก็อดมิได้ที่จะทอดถอนใจออกมา มิว่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่หลี่ซิวหยวน หรือว่าศิษย์พี่เก้าตรงหน้าผู้นี้
แม้จะเป็นศิษย์ของสำนักเซียนลึกลับอย่างสำนักชิงหยาง แต่ตบะบารมีของพวกเขาจะต้องสูงส่งอย่างแน่นอน
ทว่าเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับมือใหม่เช่นตนนั้น กลับมิได้แสดงความเย่อหยิ่งใด ๆ ออกมา ตรงกันข้ามพวกเขากลับเข้าถึงได้ง่ายอย่างที่คาดมิถึง
บวกกับความสามารถอันลึกล้ำของสำนักเซียนลึกลับแล้ว
ต่อให้โลกนี้เขาจะไร้ความสามารถและมิเอาไหนเพียงใด แต่เขาจะมิขออยู่อย่างคนขี้แพ้อีกแล้ว!
สิ้นเสียงจื่อเหยาก็มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก เพียงเดินตรงเข้าไปในหอเก็บตำรา
ทว่าเมื่อนางเดินไปหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างชั้นหนังสือ นางก็ได้กวาดสายตาไปยังชื่อหนังสือประหลาดต่าง ๆ บนชั้น ก่อนจะเผยสีหน้าที่มิสู้ดีออกมา
“ท่านอาจารย์คิดอะไรของเขา ชื่อเคล็ดวิชาเหล่านี้ดูพิลึกจริง ๆ ! ”
จื่อเหยาขมวดคิ้วเรียวขึ้นน้อย ๆ พลางพึมพำกับตัวเองอย่างอดมิได้ว่า ‘ข้าจำได้ว่าชื่อเคล็ดวิชาที่วางขายที่ถนนขายของแปลกในเมืองหลานซี ด้วยราคาสองตำลึง ได้หนังสือหนึ่งชั่งยังมิแปลกขนาดนี้เลย แต่ชื่อเคล็ดวิชาเหล่านี้ เงินสองตำลึงได้หนังสือสองชั่งยังแพงเกินไปด้วยซ้ำ’
‘ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เคล็ดวิชาชื่อพิลึกพิลั่นเช่นนี้ ต่อให้แสดงละครตบตาสมจริงขนาดไหนก็คงยากที่จะมิให้เผยพิรุธต่อหน้าศิษย์น้องเย่เสียแล้ว’
‘ศิษย์พี่ใหญ่ก็อีกคน ดีแต่ให้ข้าทำเรื่องที่มิจำเป็น และทำไมตัวเองถึงมิเข้ามาดูภายในหอเก็บตำราเสียก่อน ว่าในนี้มันมีอะไรบ้าง เช่นนี้มิเท่ากับตั้งใจแกล้งข้าหรอกหรือ ? ’
คิดได้เช่นนั้น จื่อเหยาก็ได้แต่กระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง
หลังจากลังเลเล็กน้อย นางก็เหลือบมองเย่ฉางชิงที่ยืนอยู่ข้างชั้นวางหนังสือโดยมิให้เขารู้ตัว ขณะเฝ้าดูทุกการกระทำของศิษย์น้องเย่ผู้นี้
และในเวลาเดียวกัน เย่ฉางชิงก็ได้เดินไปยังโถงที่อยู่ตรงกลางของชั้นหนังสืออย่างมิรีบร้อน สายตายังคงกวาดมองไปยังเคล็ดวิชามากมายที่ทำให้ตาพร่ามัว
และเขายังคงกวาดตามองอยู่เช่นนั้น และมิมีทีท่าว่าจะหยุดลงแต่อย่างใด
เขามองว่าบนชั้นหนังสือแม้จะมีเคล็ดวิชาอยู่มากมาย และล้วนแต่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาในตำนาน อีกทั้งสุดยอดเคล็ดวิชาเหล่านี้ยังได้มีการแบ่งระดับสูงต่ำเอาไว้
เช่นนั้นเขาย่อมต้องเลือกสุดยอดเคล็ดวิชาที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
อีกทั้งในตอนนี้เขายังเชื่อมั่นว่าดัชนีทองคำของตนเองที่ตื่นขึ้นมานั้นก็คือโชค
เช่นนั้นสุดยอดเคล็ดวิชาที่เขาอยากได้ มิมีทางที่จะได้รับมาอย่างง่าย ๆ ด้วยวิธีการธรรมดาอย่างแน่นอน
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
ขณะที่เย่ฉางชิงที่เดินเลาะมาจากด้านข้างของชั้นหนังสือชั้นสุดท้าย
ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นกล่องเหล็กที่มีฝุ่นหนาเตอะจับอยู่กล่องหนึ่ง ตรงบริเวณมุมใต้บันได
“เอ๊ะ ! ”
เย่ฉางชิงหรี่ตาลงทันที
‘หรือว่าสุดยอดเคล็ดวิชาที่ข้าต้องการ จะอยู่ภายในกล่องเหล็กใบนี้ ? ’
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เย่ฉางชิงก็รู้สึกดีใจขึ้นมา ก่อนจะรีบเดินตรงเข้าไปทันที
เมื่อมาอยู่ตรงหน้ากล่องเหล็กที่มีขนาดมิใหญ่นักใบนี้
เย่ฉางชิงก็ค่อย ๆ ปัดฝุ่นหนาเตอะบนกล่องออกด้วยความระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะไปสัมผัสโดนผนึกบางอย่างเข้า
มินานเมื่อเห็นว่ากล่องเหล็กใบนี้มิได้มีผนึกอะไร เขาจึงตัดสินใจเปิดกล่องเหล็กใบนั้นออกในทันที
วินาทีต่อมา ม้วนหนังสัตว์โบราณม้วนหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของเย่ฉางชิง
‘หรือว่าจะมิใช่ ? ’
เย่ฉางชิงขมวดคิ้วน้อย ๆ ดวงตาพลันเกิดประกายบางอย่างแวบผ่าน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมือไปหยิบม้วนหนังสัตว์โบราณม้วนนั้นออกมา
เพียงพริบตาหลังจากม้วนหนังค่อย ๆ ถูกคลี่ออก ตัวอักษรโบราณแถวหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา
ภาพเทพปีศาจโบราณ !