ผู้ชายคนนั้นถอดเสื้อผ้าออก สวมกางเกงว่ายน้ำ เดินเท้าเปล่าไปริมแม่น้ำ แหงนหน้ามองฟ้าเล็กน้อย จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกระโดดลงน้ำไป พรวดเดียวก็ดิ่งไปถึงส่วนลึกของแม่น้ำ ขุดหินดินทรายขึ้นมาทีละก้อน ทีละนิด ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไร…
ไม่นาน เขาลอยขึ้นมาเหนือน้ำ สูดลมหายใจเข้าแล้วดำน้ำต่อไป ตามหาอะไรบางอย่างต่อ จวบจนดวงตะวันใกล้จะลับฟ้าเขาถึงขึ้นมาจากน้ำ สีหน้าย่ำแย่มาก ทั้งตัวดูอ่อนแอเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เขานั่งบนรถจักรยานยนต์ หยิบหมั่นโถวออกมากินพลางมองดวงตะวันลาลับภูเขานิ่งๆ แสงสว่างค่อยๆ มืดลง…
จากนั้นผู้ชายหยิบภาพใบหนึ่งมาจากในกระเป๋าเล็กตรงซอกข้างใน ด้านบนเป็นเด็กหญิงที่แย้มยิ้มสดใสมาก เธออายุราวสิบสามขวบ ผมสั้น ดวงตาโตสว่างไสวมาก ถ้ามีคนเห็นจะต้องพบแน่ว่าเด็กหญิงคนนี้เหมือนกับเด็กหญิงในใบปลิวทุกประการ!
ผู้ชายยิ้มมองเด็กหญิงในภาพ ยิ้มได้อบอุ่นมาก เหมือนกับว่าหมั่นโถวแข็งๆ ที่เข้าปากไปกลายเป็นรสหอมหวานอร่อย เขากินหมั่นโถวสองสามคำก็หมดแล้ว ดื่มน้ำในกาน้ำอีกอึกใหญ่ จากนั้นเก็บภาพไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง แล้วขี่รถจักรยานยนต์ออกจากหมู่บ้านร้างแห่งนี้
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้ชายเข้ามาในหมู่บ้านที่บ้านเรือนใหม่ทั้งหมด ทุกอย่างในหมู่บ้านใหม่ บ้านแต่ละหลังเรียงรายกันเป็นลำดับ ดูเรียบร้อยมาก ทว่าทั้งหมู่บ้านกลับขาดความสบายๆ อย่างหมู่บ้านอื่นอยู่มาก แต่มีความเงียบเหงาเพิ่มมาอีกหลายส่วนแทน
ผู้ชายเข็นรถเข้าไปในลานบ้านตน ถึงได้ยินเสียงคนเรียกข้างหลัง “หร่วนไห่ ไปอีกแล้วเหรอ?”
หร่วนไห่หันไปมอง เป็นผู้ชายแบกจอบคนหนึ่งมาที่หน้าประตูบ้านเขา พอเห็นสีหน้าท่าทีอิดโรยของหร่วนไห่ก็ถอนหายใจ “ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมต้องทำแบบนั้นล่ะ?”
หร่วนไห่ยิ้มให้ผู้ชายคนนั้น ไม่ได้พูดอะไร
“บอกนายทีไรก็เอาแต่ยิ้ม จนปัญญาจริงๆ วันนี้พี่สะใภ้นายทำกับข้าวอร่อยๆ ด้วย ไปดื่มด้วยกันหน่อยไหม?” ผู้ชายพูด
หร่วนไห่พยักหน้า เห็นได้ชัดว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับชายคนนี้ อีกฝ่ายดึงหร่วนไห่ไปบ้านตน ไม่นานไก่ตุ๋นเห็ด ยำแตงกวาทุบเสฉวนจานใหญ่ถูกเสิร์ฟมาคู่กับเจลลี่หนังหมูหนึ่งจาน กับสุราสองแก้ว สองคนกินด้วยกัน ปกติแล้วผู้ชายจะพูด หร่วนไห่จะฟัง…
ภรรยาของผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามา ด่ายิ้มๆ ว่า “คุณนี่นะ พอกินเหล้าหน่อยก็พูดมากเชียว มีแค่หร่วนไห่ที่ฟังคุณโม้ได้ พูดมากให้น้อยลงหน่อยเถอะ พูดเรื่องจริงจังบ้าง!”
ผู้ชายถึงค่อยเก็บหีบเสียงไป ก่อนหัวเราะเบาๆ “หร่วนไห่ คืออย่างนี้ นายก็รู้นี่ว่าหมู่บ้านพวกเรามีคนออกไปรับจ้างในเมืองไม่น้อย หัวหน้าคนงานที่ก่อสร้างสนิทกับฉัน ตอนนี้เขากำลังขาดลูกมืออยู่ นายทำงานไม้เก่ง อย่าเสียเวลาเลย ไปทำกับเขาดีกว่า ปีหนึ่งได้เงินไม่น้อยเลยนะ”
หร่วนไห่ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มก็แข็งค้างเป็นครั้งแรก ตามด้วยวางแก้วสุราลง ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด
ผู้ชายจึงพูด “นาย…หร่วนไห่ ฉันรู้ว่านายจะปฏิเสธ แต่นายต้องคิดดีๆ นะ นายอยู่ที่หมู่บ้านไม่มีอนาคตอะไรเลย? ถึงนายจะเป็นช่างไม้ที่มีชื่อเสียงในแปดหมู่บ้านสิบลี้ แต่ใครจะสร้างบ้านทุกวัน ตอนนี้น่ะ วัยรุ่นเข้าเมืองกันหมดแล้ว งานสร้างบ้านยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ คนที่นายหาได้ก็น้อยลงไปอีก นายต้องคิดถึงวันข้างหน้าเพื่อตัวเองบ้างใช่ไหมล่ะ? นายแก่ได้ เจ็บป่วยได้…ทุกคนข้างๆ นายก็เหมือนกัน ไปเมือง ทำงานดีๆ หาเงินสักสองสามปี กลับมาพี่จะหา…เฮ้อ เฮ้ย…หร่วนไห่ นายจะไปไหน?”
หร่วนไห่ลงมาข้างล่างแล้วเดินไปข้างนอก ไม่หันกลับมาแต่โบกมือให้ ความหมายคือไม่อยากไปและก็ไม่อยากฟัง
ผู้ชายเห็นดังนั้นจึงส่ายหน้าด้วยความจนปัญญา ยกแก้วสุราขึ้นดื่มหมดในอึกเดียว “เจ้านี่ยังนิสัยแย่เหมือนเดิมเลย โผงผางชะมัด”
“คุณนี่นะ อย่าไปพูดเลย…แต่จะว่าไปบนโลกนี้มีผู้ชายดีๆ แบบหร่วนไห่ไม่เยอะแล้วแหละ” ภรรยาผู้ชายพูด
ผู้ชายมองบนทีหนึ่ง “ใครว่าล่ะ? สามีเธอก็เป็นผู้ชายที่ดีหมายเลขหนึ่งไม่ใช่เหรอ?”
“ไปไกลๆ เลย หน้าด้าน!”
“เหอะๆ…”
……….
หร่วนไห่กลับมาถึงบ้านแล้วปิดประตู ไปนั่งตรงมุมเตียงเตา เงยหน้ามองผนังตรงข้าม บนผนังมีแต่ภาพ ด้านบนแขวนช่วงชีวิตการเติบโตของเด็กหญิงคนหนึ่งไว้ บนรูปภาพบางส่วนยังมีผู้หญิงคนหนึ่งด้วย มองจากเสื้อผ้าแล้ว ตอนที่ผู้หญิงคนนี้ถ่ายภาพน่าจะเป็นเมื่อยี่สิบปีก่อน บางภาพรางเลือน บางภาพขาดหาย ทว่าหร่วนไห่เย็บเล่มไว้ กรอบภาพประณีตมาก ด้านบนแกะสลักลายดอกไม้สวยนานาชนิด บ้างก็แกะสลักภาพโดราเอมอนกับเซเลอร์มูน กระทั่งมีภาพวาดการ์ตูนดาราเมื่อยี่สิบปีก่อนหรือไม่ก็ภาพเหมือน
หร่วนไห่นั่งเงียบๆ อยู่แบบนี้ เมื่อค่ำคืนมาเยือน แสงจันทร์ลอดเข้ามาในบ้านจากทางหน้าต่าง ราวกับว่ามีหิมะโปรยหนึ่งชั้นภายในบ้าน ทำให้บ้านหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม ผ่านไปนานหร่วนไห่ถึงเปิดไฟ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะวาดภาพที่เขาทำขึ้นเอง ดินสอดำแท่งหนึ่งคืออุปกรณ์วาดภาพทั้งหมดที่เขามี
ภายในห้องเงียบสงบมีเพียงเสียงลากดินสอผ่านกระดาษ ไร้เสียงอื่นใด…
แสงไฟสว่างตลอดจนเที่ยงคืนถึงดับไป
………..
แต่ฟางเจิ้งที่ออกมาตามหาหร่วนไห่กลับต้องเศร้าหมอง เขาพาเด็กแดงหาหนึ่งรอบแล้ว สุดท้ายก็ไม่เจออะไรเลย กระทั่งหลงทางด้วย! ดีที่วัดแสงสายัณห์ไม่ใช่วัดเอกดรรชนี วัดนี้มีชื่อเสียงมากพอ พอถามก็รู้ทางแล้ว จึงรีบกลับมาวัดแสงสายัณห์ก่อนมื้อเย็น
เมื่อกลับมาถึงประตูวัดแสงสายัณห์ ก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งนั่งยองอยู่หน้าประตูใหญ่ เด็กสาวกำลังใช้นิ้วชี้วาดอะไรบนพื้นอย่างจริงจังด้วยความโมโห
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงมองตากัน เด็กแดงหัวเราะเบาๆ “อาจารย์…”
ฟางเจิ้งมองบนไปทีหนึ่ง “เสียงหัวเราะนายนี่ทำให้อาจารย์อยากสวดมนต์ บอกมา นายเห็นอะไร”
“แรงอาฆาต แรงอาฆาตแบบไม่มีขอบเขต ให้ศิษย์ช่วยท่านปราบมารดีหรือไม่?” เด็กแดงหัวเราะเบาๆ
ฟางเจิ้งมองค้อนไป “ศิษย์ ปกติอาจารย์จะเผื่อแผ่ให้นายอยู่แล้ว ครั้งนี้…ยกให้นายแล้วกัน”
“อย่าเลย อาจารย์ ท่านเป็นคนสร้างกรรมเองก็ต้องรับผลเอง เรื่องนี้ท่านเป็นคนบอกเองด้วย ความสามารถในการตระหนักรู้ของศิษย์คงยังไม่พอมั้ง?” เด็กแดงพูดจบก็วิ่งหนีไป
ฟางเจิ้งเขกอากาศไปทีหนึ่ง ด่าเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าเด็กดื้อ จากนี้อย่าหวังว่าจะได้เล่นเน็ต! อินเทอร์เน็ตนี่เป็นสิ่งไม่ดีเกินไปแล้ว ไม่เข้าใจเหรอ? อาตมาสร้างกรรมอะไรไว้?”
เด็กแดงวิ่งหนีไปแล้ว รวดเร็วมากด้วย ฝีเท้าไร้เสียง โอวหยางเฟิงหวาเลยไม่รู้
ฟางเจิ้งก็รู้ว่าทุกคนมาด้วยกัน แต่ตอนไปกลับหนีไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งให้สาวน้อยอยู่ในกลุ่มนักบวช อย่างไรนี่ก็คงไม่ดีนัก ทว่าตอนนั้นเขาใจร้อนอยากช่วยคนเลยตามไปกะทันหันหน่อย…นี่จะโทษเขาไม่ได้ล่ะมั้ง?
“จะโทษอาตมาไม่ได้ อาตมา…ช่างเถอะ ถูกด่าก็แค่สองสามที จู่ๆ ไปแบบนั้นยังไงก็ไม่ถูกต้อง” ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ ก่อนทำหน้าหนาเดินเข้าไป
……………………………..……….