“สรุปแล้ว อยากให้ช่วยอะไรนะครับ?”
ผมถามออกไป ภายในห้องจึงกลับมาอยู่ในบรรยากาศจริงจัง คำถามนั้นจึงเหมือนเป็นเสียงแจ้งเตือนสำหรับการเริ่มต้นเคส
พลอยก็เข้าโหมดจริงจังเช่นกัน เธอผสานมือไว้บนตักและรับฟังด้วยความเงียบ
ส่วนดิวก็หายไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว …เข้าห้องน้ำล่ะมั้ง?
พี่ต้นลูบต้นคอ
“ก็อย่างที่บอกไปตอนพักเที่ยงนั่นล่ะ นี่ก็เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดตอนเช้าด้วย จะว่าไงดีล่ะ…”
พร้อมครุ่นคิดอยู่จังหวะหนึ่ง
“…หลังจากพี่จัดการได้ พี่ก็โทรไปแจ้งที่โรงเรียนของพวกนั้น …น้องประธานอาจจะไม่รู้ แต่วันนี้พี่ต้องขาดเรียนคาบเช้าไปสองคาบเพราะไปที่โรงเรียนนั้น”
“ไปทำไมครับนั่น?”
“พอดีเด็กที่ก่อเรื่องจะเป็นลูกของคนมีอิทธิพลน่ะ …ผู้ปกครองฝั่งนั้นไม่ค่อยชอบใจที่พี่ไปทำร้ายลูกเขาเท่าไหร่”
ไม่เอามีดแทงสวนไปก็บุญแล้วมั้ง? จะให้ท้ายลูกตัวเองก็ให้มันอยู่ในขอบเขตหน่อยเถอะ
ผมคิดเช่นนั้น พร้อมกับพอจะเดาสถานการณ์ได้
“อำนาจค้ำฟ้าเลยล่ะ ขนาดทางโรงเรียนยังเอาผิดหรือลงโทษไม่ได้เลยด้วย”
“แย่เลยนะครับนั่น”
ผมล่ะเหนื่อยใจกับประเทศนี้จริงๆ …แค่เป็นลูกของคนมีอำนาจนิดหน่อยก็เล่นทำผิดโดยไม่ต้องรับโทษอะไร
จะบอกว่าลำเอียงก็ไม่ถูก เรียกว่ารากฐานของระบบมันค่อนข้างจะเน่าเฟะซะมากกว่า
พี่ต้นพูดต่อ
“และเด็กคนที่ก่อเรื่องก็ค่อนข้างเกเรเลยล่ะ จากที่ฟังจากครูใหญ่ มีการแกล้งเพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน …แถมไม่อยู่ในขอบข่ายที่เรียกว่าแกล้งกันขำๆด้วย”
พวกเด็กเฮี้ยวๆสินะ? นอกจากจะมาไถเงินเด็กโรงเรียนอื่นแล้วยังสร้างปัญหาภายในโรงเรียนอีก
ถ้าที่เข้าใจก็คือ เจ้าพวกนั้นทำผิดกันบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ แต่แม้แต่ทางโรงเรียนก็ยังไม่สามารถลงโทษได้ เพราะมีอำนาจของผู้ปกครองอยู่เบื้องหลัง
เริ่มจะวุ่นวายหน่อยๆแล้วสิ…
พี่ต้นถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แต่จากเรื่องที่เกิด พี่คิดว่าพวกเขาคงไม่มาก่อปัญหาแถวโรงเรียนเราอีกแล้วล่ะ แต่ก็นะ…รู้สึกเหมือนยังเคลียร์ไม่จบไงไม่รู้สิ”
“อ่าครับ”
“น้องประธานพอมีวิธีมั้ย?”
“ที่พี่ต้นต้องการ …คืออยากให้เจ้าพวกนั้นโดนลงโทษสักหน่อยงั้นเหรอครับ?”
“ประมาณนั้น อย่างน้อยๆก็อยากให้หลาบจำกันบ้าง นี่เล่นไม่โดนอะไรเลยก็เหลิงกันพอดี”
นั่นสินะ ถ้ามีคนให้ท้ายอยู่แบบนี้ คงไม่หลาบจำแล้วได้ไปก่อความวุ่นวายที่ไหนอีกในอนาคตแน่ๆ
ถึงจะตัดปัญหาที่เกิดกับเด็กในโรงเรียนอาคมจิตตวิทยาไปได้แล้วก็เถอะ แต่พี่ต้นก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
จะบอกว่าเป็นห่วงคนอื่นนอกเหนือจากเด็กโรงเรียนเราก็คงจะได้ล่ะมั้ง?
อืม… แต่ในสายตาผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็นไปหน่อยนี่สิ
แม้จะโมโหที่เจ้าพวกนั้นทำร้ายลูกน้องผม แต่บางเรื่องมันก็ทำได้แค่อยู่เฉยๆ
ขอบเขตการทำงานผมก็อยู่แค่ในโรงเรียนด้วย ไม่ใช่ว่าถ้านอกจากนั้นแล้วผมจะปล่อยผ่านหรอกนะ แค่มันจัดการได้ยากและอำนาจของผมมันเข้าไม่ถึง
ผมก็แค่ประธานนักเรียนของโรงเรียนอาคมจิตตวิทยา …เพราะงั้นถ้าขนาดครูใหญ่ของโรงเรียนเด็กเกเรพวกนั้นยังจัดการไม่ได้ล่ะก็ ผมก็จนปัญญา
“…ประธาน”
พลอยเอ่ยด้วยเสียงกังวล
ผมไตร่ตรองจนคิ้วขมวด
พี่ต้นก็รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน
“พี่ต้นครับ”
“อืม”
“คือ…ผมช่วยไม่ได้หรอกครับ”
“งั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ไม่อยากช่วยนะครับ แต่ผมไม่มีอำนาจพอ ต่อให้ไปคุยกับครูใหญ่เพื่อประสานงานไปโรงเรียนโน้นได้ แต่ถ้าฝั่งโน้นเขาต้องการจัดการแต่แรก …พวกเราก็คงไม่ต้องมานั่งคุยกันยังงี้หรอกครับ”
ผมค่อนข้างจะสนิทกับครูใหญ่ของโรงเรียนนี้อยู่ ถ้าให้ครูใหญ่โรงเรียนผมไปคุยกับฝั่งโน้นก็อาจจะพอกดดันได้บ้าง
กระนั้น ผมคิดว่าผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างจากที่เป็นตอนนี้นักหรอก
“อืม พี่เข้าใจ…ขอบคุณที่ช่วยคิดอย่างจริงจังนะ น้องประธาน”
“ก็ไม่หรอกครับ เหมือนผมไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ”
“ไม่หรอกๆ แค่นี้ก็น่าขอบคุณแล้วล่ะ”
“…ผมก็โกรธที่พวกนั้นทำร้ายพี่ต้นครับ”
“ฮะฮะ อย่าคิดมากน่า”
พี่ต้นหัวเราะเบาๆและหยิบกระเป๋า
“จะกลับแล้วเหรอครับ?”
“อืม โทษทีนะ วันนี้พี่ขอตัวก่อนแล้วกัน”
ผมกับพลอยยกมือไหว้ ก่อนที่พี่เขาจะเดินออกไปจากห้องสภา
พวกผมก็มองด้วยความลำบากใจ
พี่ต้นก็คงรู้สึกเซ็งๆนั่นแหละ
…รู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อยแฮะ อย่างน้อยก็อยากลงโทษเจ้าพวกบ้านั่นสักหน่อยให้ได้เหมือนกัน
ไปถามชื่อ นามสกุลกับทางโรงเรียนไว้ดีมั้ยนะ? ไว้อีกสักห้าสิบปีพวกนั้นเผื่อตายขึ้นมาค่อยไปจัดการในนรกทีหลัง
ไม่ได้พูดเล่นนะ ผมก็เซ็งๆปนโมโหคล้ายๆพี่ต้นนั่นแหละ
แต่ขั้นตอนย้ายตัวนักโทษในขุมนรกก็ค่อนข้างวุ่นวายเลยแฮะ… ไปบอกคนรู้จักไว้ก่อนดีมั้ยนะ? ย้ายจากนรกของที่นี่ไปของผมก็ใช้เวลานานซะด้วยสิ…
“ประธานคะ”
“อะ อือ ว่าไง?”
“ทำอะไรไม่ได้จริงๆเหรอคะ?”
“อ่า ไม่ได้หรอก อยู่นอกเหนืออำนาจฉันไปไกลเลย ฉันก็แค่ประธานนักเรียนเอง”
“ฉัน… รู้สึกสงสารพี่ต้นไงไม่รู้สิ”
“เหมือนกัน แต่มองในแง่ดี อย่างน้อยก็ไม่น่ามีเรื่องไถเงินกับเด็กโรงเรียนเราอีกแล้วล่ะ”
“ค่ะ…”
ก็ต้องยอมรับไปแบบนั้น
จะปล่อยไว้แค่นี้ก่อนก็ได้ ถ้าไม่มีเรื่องเกิดขึ้นกับคนในโรงเรียนนี้อีก ผมก็จะพยายามลืมๆเรื่องนี้ไปก็แล้วกัน
ส่วนเจ้าพวกนั้นถ้าจะไปก่อเรื่องที่ไหนกันต่อ ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเด็กโรงเรียนผม ก็คิดซะว่าเป็นเรื่องไกลตัวเอาก็พอ ให้คนที่เจอปัญหานั้นในอนาคตจัดการเอาเอง สู้ๆล่ะ
แต่ก็รู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดีไงชอบกล…
“…พี่ต้น …เป็นอะไรไปเหรอ?”
ดิวที่น่าจะพึ่งกลับมาจากห้องน้ำเอ่ยถามเมื่อเข้ามาในห้อง คงเดินสวนกับพี่ต้นไปเมื่อกี้
ผมปัดมือ
“เซ็งนิดหน่อยกับระบบจัดการของโรงเรียนอื่นกับอำนาจผู้มีอิทธิพลน่ะ”
…ถึงนั่นจะหมายถึงพี่ต้น แต่ผมก็เหมือนย้ำกับตัวเองไปด้วย
ดิวนั่งลงที่โซฟาเช่นเดิม
“…เป็นห่วงจัง”
ไม่ค่อยเห็นดิวพูดความรู้สึกออกมาตรงๆเท่าไหร่ เริ่มสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างดิวกับพี่ต้นอีกแล้วสิ
“อย่างพี่ต้นไม่ต้องห่วงหรอก พี่แกเล่นซัดเด็กเกเรสามคนซะอยู่หมัดเลยนี่?”
ผมรู้จากข่าวที่พลอยเอาให้อ่านตอนพักกลางวันล่ะนะ กลุ่มนักเรียนที่มาไถเงินมีตั้งสามคนแต่พี่ต้นคนเดียวก็จัดการได้สบายๆ
คนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นน่ะ สภาพจิตใจก็แกร่งพอๆกันนั่นแหละ
พลอยเอียงคอ
“ไม่ใช่ว่าชมรมข่าวใส่สีตีไข่หรอกเหรอคะ? ถึงจะเป็นพี่ต้น แต่สามคนนี่ก็เกินไปรึเปล่าคะ?”
“ไม่หรอกๆ ถึงจะสามคนแต่ก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ พี่ต้นก็ชกต่อยเก่งอยู่แล้วด้วย …ที่สำคัญอีกอย่างก็…”
“คะ?”
ผมนึกคำพูดที่พี่ต้นเคยบอกกับผมเมื่อนานมาแล้ว
ก่อนบอกกับพลอยไปว่า
“…สู้กับคนบินไม่ได้น่ะ ง่ายจะตายไป”
+ +
…ผมตัดสินใจออกมาจากห้องสภาทั้งๆแบบนั้น
ไม่ได้โกรธน้องประธานที่ช่วยไม่ได้หรอก ผมรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายก็จะมาจบที่ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ฝั่งนั้นเป็นถึงลูกชายผู้มีอิทธิพล ถึงขนาดที่ครูใหญ่ยังทำอะไรไม่ได้…
สำหรับผมที่เป็นแค่กระหังน่ะ ก็คงได้แค่นี้นั่นแหละ
“เฮ้อ…”
ผมเหม่อมองฟ้า ถึงจะเป็นช่วงเย็นแต่ก็รู้สึกสดชื่นจนอยากจะบินกลับบ้านทั้งๆแบบนี้
…แต่จะบินพร่ำเพื่อไม่ได้ด้วยสิ ถึงแถวๆนี้จะเป็นที่อยู่ของพวกสิ่งมีชีวิตลี้ลับเสียส่วนมาก แต่ก็ไม่ค่อยชอบใจกับการเห็นอะไรแปลกๆบินบนฟ้านักหรอก
ดังนั้นเดินกลับแหละดีแล้ว ผมก็ทำอย่างนี้มาตลอดด้วยสิ
พอมานึกดู… ที่ผมต้องไปที่โรงเรียนฝั่งนั้นตอนช่วงเช้านี่ ก็จบลงแค่ได้เห็นครูใหญ่ตักเตือนพวกนักเรียนเกเรเท่านั้นเอง
ไม่ได้รับโทษ ไม่มีความผิด แค่จะพักการเรียนก็ยังทำไม่ได้
เมื่อคิดไปถึงตรงนั้นก็พาลอยากจะถอนหายใจอีกรอบ
ผมลูบต้นคอเบาๆ เป็นกิริยาที่ไม่ค่อยน่าดูชมเท่าไหร่นัก …แต่ก็ติดเป็นนิสัยไปแล้ว
ระหว่างทางกลับจากโรงเรียน เนื่องจากบ้านผมก็อยู่ค่อนข้างไกลกว่านักเรียนส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ทางลัดที่เป็นเส้นทางสัญจรลับๆที่ไม่ค่อยจะใช้กัน
หรือก็คือทางเปลี่ยวๆ
ซึ่งโดยส่วนตัว ผมก็จะใช้เส้นทางนี้กลับบ้านเป็นประจำ อย่างน้อยก็ไม่มีโจรแถวนี้ …รู้สึกว่ามนุษย์เวลาเข้ามาที่เปลี่ยวๆคนเดียวจะกลัวผีกันสินะ?
แต่ก็นะ สำหรับผมที่เป็นกระหังหรือก็คือผีชนิดหนึ่ง จะให้กลัวผีอีกก็ใช่เรื่อง
…ไม่ค่อยเข้าใจแนวคิดของมนุษย์เท่าไหร่ แถมในปัจจุบันก็เป็นยุคที่เห็นสิ่งมีชีวิตลี้ลับหรือผีสางได้ทั่วไป ไม่รู้ทำไมถึงยังมีกลุ่มคนที่กลัวผีอยู่อีก
ในจังหวะที่เดินมาสักพัก ผมก็รู้สึกได้ว่ามีกลุ่มคนเดินตามหลัง
รู้สึกจะตามมาตั้งแต่ออกมาจากโรงเรียนแล้วรึเปล่า? แต่เพราะไม่แน่ใจบวกไม่ได้สนใจเลยปล่อยๆไป
แต่ก็อย่างที่บอกว่านี่เป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยมีใครใช้ ตั้งแต่ผมมาเข้าโรงเรียนนี้และใช้เส้นทางดังกล่าวกลับบ้าน ก็น้อยครั้งที่จะเจอผู้ร่วมทาง
และก็ไม่เคยเจอที่มาเป็นกลุ่มใหญ่แบบนี้ด้วย
ผมตัดสินใจหันกลับไป
“…นี่พวกนาย จะตามกันอีกนานมั้ย?”
กลุ่มคนที่ผมเห็นนั้น ประกอบด้วยนักเรียนชายเกือบสิบคน รวมถึงคนที่เป็นหัวโจกที่ผมจัดการไปตอนเช้าด้วย
หัวโจกที่กระทำผิดแต่ก็ไม่ได้รับโทษ
อีกฝ่ายชี้นิ้วใส่
“หุบปาก! ไอ้กระหัง!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ผมก็ประหลาดใจเล็กน้อย
“รู้จักกระหังด้วยเหรอ? นึกว่าอย่างนายจะไม่สนใจผีสางซะอีก”
ถ้าเป็นคนปกติก็คงจะรู้ว่าผมเป็นกระหังจากกระด้งฝัดข้าวตรงท่อนแขนแล้ว แต่กลุ่มนักเรียนพวกนี้น่ะ จากที่เห็นตอนเช้า น่าจะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่ากระหัง
จึงค่อนข้างน่าแปลกใจว่าทำไมถึงเรียกผมได้เจาะจงขนาดนั้น
หัวโจกเมินคำถาม
“เป็นผีก็อยู่ส่วนผีไปสิวะ? ข้ายังจำตอนเช้าที่แกไปฟ้องข้าที่โรงเรียนได้อยู่เลยนะว้อย!”
“นายจะโมโหอะไร? ไม่โดนทำโทษอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? แถมยังมาลอยหน้าลอยตาแบบนี้อีก”
แล้วถ้าจะพูดว่าเป็นผีก็อยู่ส่วนผีไปล่ะก็ …ฝั่งนั้นต่างหากที่มาไถเงินเด็กโรงเรียนผม ไม่งั้นผมก็คงไม่ต้องจัดการหรอก
“คิดว่าที่แกไปเอิกเกริกที่โรงเรียนข้าแบบนั้นน่ะ ข้าโดนพ่อด่าว่าอะไรบ้างหา!?”
“อะไรของนาย? โดนพ่อด่าเลยมาลงกับฉันหรือไง?”
“อะ…อึก”
หัวโจกที่โดนผมแทงใจดำเข้าไปเต็มๆก็ออกอาการลุกลี้ลุกลน
เฮ้อ นี่หัวหน้าพวกนายไม่ใช่หรือไง? ทำตัวเป็นลูกแหง่กลัวพ่อแบบนี้ยังจะติดตามมันอีกเหรอ?
อืม พูดงั้นก็อาจจะแรงไปหน่อย แต่ละครอบครัวก็มีวิธีเลี้ยงหรือการดูแลที่แตกต่าง ดังนั้นสำหรับหัวโจกคนนี้ก็อาจจะมีผู้ปกครองที่เข้มงวด
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกสำหรับลูกคนมีอิทธิพล
เพราะคนเหล่านั้นต้องรักษาภาพลักษณ์
แน่นอนว่าถ้าลูกชายตัวเองก่อปัญหาก็ต้องรีบแก้ไขให้เร็วและเงียบที่สุด …การที่ผมซึ่งเป็นเด็กจากโรงเรียนอื่น เอาวีรกรรมของหัวโจกคนนี้ไปบอกกับครูใหญ่ของโรงเรียน พ่อของหมอนี่ก็คงจะโมโหนั่นล่ะ
พอเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆจากการวิเคราะห์ได้ในระดับหนึ่ง
กระนั้น…ก็ยังมีที่สงสัยอยู่
คือจะยกพวกมาทำไมตั้งมากมาย และในมือยังถือไม้หน้าสามเอาไว้ด้วย
“คือไง? จะกระทืบเหรอ?”
“ก็เออสิวะ!”
“ไม่เข็ดจากตอนเช้าหรือไง? ถึงทางโรงเรียนจะเอาผิดนายไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ในที่เปลี่ยวๆแบบนี้…”
ขาผมเริ่มลอยขึ้นเหนือพื้น ในสายตามองเห็นกลุ่มนักเรียนที่ค่อยๆเงยหน้ามอง ต่ำลงเรื่อยๆ
ผมจ้องเขม็งไปที่กลุ่มนักเรียนด้วยดวงตาสีทองซึ่งสะท้อนแสงเล็กน้อย
“จะมีใครเจ็บตัว…ก็คงหาคนผิดไม่ได้หรอก ใช่มั้ยล่ะ?”
ที่ผมพูดไปแบบนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นการขู่ว่าอย่าให้ทุกอย่างต้องลงเอยที่การวิวาท
…ถึงยังไงอีกฝ่ายก็เป็นมนุษย์ ต่อให้จะยกพวกมามากแค่ไหนก็สู้ผมไม่ได้หรอก
และตอนนี้ผมกำลังบินด้วยความสามารถเฉพาะตัวของกระหัง จากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก ในปัจจุบันผมสามารถบินได้โดยที่ไม่ต้องกระพือแขน
ผมลอยตัวกอดอกมองกลุ่มนักเรียนที่ทำสีหน้าหวาดหวั่น
และจู่ๆ หัวโจกก็แค่นหัวเราะ
“เหอะ…ขู่ไปก็เท่านั้น คิดว่าพวกข้ามาสู้กับผีอย่างแกแล้วจะไม่หาของไว้รับมือเลยรึไง!?”
ผมขมวดคิ้ว
เจ้านี่กำลังพูดอะไรอยู่กัน…
หัวโจกล้วงกระเป๋ากางเกง ส่วนคนอื่นๆก็เริ่มหัวเราะในลำคอ
ทันทีที่เห็นของที่หยิบขึ้นมา ใบหน้าผมก็ซีดลงทันที
รวมถึงร่างกายที่สั่นไม่หยุด ควบคุมอาคมไม่ได้
“บ้าจริง…”
ร่างกายค่อยๆร่อนลงพื้นช้าๆ แขนขาเกิดอาการชาอย่างไม่พึงประสงค์
แม้จะพยายามออกแรง แต่ร่างกายกลับไม่ขยับเขยี้อน
ผมทรุดเข่าลงกับพื้น ช่างเป็นสารรูปที่ไม่สมกับกระหังอย่างที่สุด
หัวโจกและลูกน้องเห็นแบบนั้นก็พากันแผดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ฮะฮ่าฮ่า! สิ้นฤทธิ์เลยสินะ! ไอ้กระหัง!”
ผมไม่สนใจคำพูดท้าทาย พร้อมกัดฟันและถามออกไป
“…ไปเอามาจากไหน?”
หัวโจกเดินเข้ามาพร้อมเงื้อไม้หน้าสามขึ้น
“อยากรู้เรอะ? ไว้ค่อยบอกตอนกระทืบแกให้หนำใจก่อนก็แล้วกัน!”
วินาทีถัดมา ผมก็ถูกไม้หน้าสามฝาดที่หน้าเต็มแรงจนหมดสติ
…ผมได้สติขึ้นมาก็ตอนที่โดนถังน้ำสาดเข้าใส่จนทั่วร่างเปียกโชก
“ตื่นได้แล้ว!”
และเสียงที่ตะโกนเช่นนั้น
“…”
ผมเช็กสภาพร่างกายตัวเอง
ศีรษะแตกจากโดนการโดนฟาด ข้อมือทั้งสองข้างถูกมัดไว้ติดกันและพาดไปด้านหลัง
พลั่ก!
ทันทีที่ได้สติก็โดนต่อยเข้าเต็มแรงจนหน้าโยก
ไม่หยุดแค่นั้น อีกฝ่ายยังต่อยตามมาอีกหลายหมัด
“เป็นไงล่ะ! ไอ้บัดซบ! ไม่เก่งเหมือนตอนเช้าแล้วไงวะ!?”
ผมละความสนใจจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นพร้อมเหล่มองรอบข้าง
จำนวนกลุ่มนักเรียนยังมีอยู่เท่าเดิม แต่เหมือนจะถูกพาย้ายสถานที่ …โรงงานร้างแถวๆโรงเรียนสินะ? เคยเข้ามาอยู่เหมือนกัน
เลือกสถานที่ได้ดีเหมือนกันนี่นา
ไม่มีคน แถมยังขนาดกว้างใหญ่จนเก็บเสียงจากภายในไปในตัว
เพราะงั้นต่อให้ตะโกนเรียกให้ใครช่วย ก็ไม่มีใครได้ยิน
…ว่าแต่เราหมดสติไปนานขนาดไหนกันนะ?
ระหว่างที่คิด ก็ยังโดนรุมกระทืบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แรงกระแทกจนสมองแทบเบลอ
เลือดไหลกลบทั่วใบหน้า สภาพคงทุเรศน่าดู
“…นี่นายเกลียดผีขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ยังจะทำเป็นนิ่งอยู่อีกเรอะ!?”
พอเห็นว่าผมเป็นภูตผีที่สภาพร่างกายเหนือกว่ามนุษย์นิดหน่อย ต่อให้ต่อยมากแค่ไหนก็ไม่ถึงตายก็ไม่ยั้งมือกันเลยนะ…
“อะ เอ่อ…ลูกพี่”
“หา!?”
หนึ่งในหมู่ลูกน้องเอ่ยขัดจนหัวโจกหยุดมือ
“ต่อยขนาดนั้นเดี๋ยวก็ตายพอดีหรอก…”
หัวโจกพ่นลมหายใจขึ้นจมูกก่อนจับใบหน้าผมให้เชิดขึ้นมา
“ไอ้เวรนี่มันเป็นผี! ยังไงก็ถือว่าตายอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ!?”
“…นายไปเรียนสุขศึกษาใหม่ก็ดีนะ”
ผมพูดแทรก
…จะเรียกว่าพวกหัวโบราณได้ไหมนะ?
ต่อให้ผมจะเป็นสิ่งมีชีวิตลี้ลับก็เถอะ แต่องค์ประกอบของร่างกายก็มนุษย์ดีๆเนี่ยแหละ จะต่างก็มีแค่พลังวิญญาณและความสามารถเฉพาะตัวของเชื้อสาย
เพราะงั้นที่บอกว่าเป็นผีก็ถือว่าตายน่ะ ช่างโง่สิ้นดี…
“หุบปาก!”
ให้ตายสิ เริ่มจะแย่จริงๆแล้วนะ เล่นต่อยกันไม่พักแบบนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่ห้อยอยู่ตรงคอเจ้านี่ล่ะก็ ผมคงกระชากเชือกที่มัดมือออกได้ง่ายๆ
…ผ่านไปหลายนาที ผมที่เป็นฝั่งโดนต่อยก็เจ็บ แต่ฝั่งที่ต่อยก็มือแดงจากแรงกระแทก
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
“พอใจมั้ย? จะบอกได้รึยังว่าไปได้นั่นมาจากไหน?”
ผมถามไปแบบนั้นขณะมองอีกฝ่ายหอบหายใจ
ถึงหัวโจกจะดูสงสัยที่ทำไมผมถึงไม่ค่อยทุกข์ร้อนเท่าที่ควร แต่ก็เหมือนจะพอใจในระดับหนึ่ง
…เห็นอย่างนี้ผมก็ค่อนข้างชินกับการถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนกัน ถึงสภาพตอนนี้จะเละไปหน่อยก็เถอะ เลือดท่วมเสื้อเลยนี่นะ
“แฮ่ก…หมายถึงไอ้นี่น่ะเรอะ?”
และชูสิ่งนั้นขึ้นมา แม้นั่นจะไม่ใช่สิ่งที่สามารถส่องแสงสว่าง แต่ผมก็ต้องหันหน้าออกจากความสว่างจนแสบร้อนในรูปแบบนามธรรม
สิ่งนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘องค์พระปลุกเสก’
มีสรรพคุณมากมายหลายอย่าง ทั้งช่วยในด้านโชคลาภหรืออะไรต่างๆนาๆ แต่ความสามารถที่ทราบโดยทั่วกันก็คือ…
‘ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย’
ตัวตนของผมที่เป็นผีก็นับว่าเข้าค่าย
ดังนั้นสิ่งมีชีวิตลี้ลับส่วนใหญ่ จะเข้าใกล้องค์พระไม่ได้
นอกจากจะทำให้ความสามารถรอบด้านต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ยังส่งผลให้ขยับร่างกายลำบาก
เปรียบเปรยก็คงคล้ายๆซุปเปอร์แมนที่ไม่ถูกกับคริปโตไนต์ล่ะมั้ง?
เรื่องแบบนั้นไว้ค่อยไปถามยัยน้ำดูแล้วกัน ผมไม่ค่อยดูการ์ตูนด้วยสิ…
ผมถามต่อ
“ไม่น่าจะหาได้ง่ายๆไม่ใช่เหรอ?”
อย่างที่เข้าใจกันว่านี่เป็นยุคที่มีผีสางอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง องค์พระปลุกเสกที่สร้างโทษให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็พบเห็นได้น้อยลงเรื่อยๆ
จนในปัจจุบันก็นับว่าเป็นของหายากเลยทีเดียว …ขยายความให้สักหน่อย ผมที่เป็นเด็กอายุสิบแปดก็รู้เรื่องนั้นจากหนังสือประวัติศาสตร์ล่ะนะ
“สมบัติตระกูลน่ะ ฉันยืมมาจากพ่อ! เป็นไง!? แสบร้อนไปเลยสิแก!”
“เออๆ แสบๆ …พอใจแล้วใช่มั้ย? จะปล่อยฉันไปได้ยัง?”
“ฮะฮะ! คิดว่าจะปล่อยแกไปง่ายๆหรือไงวะ!?”
หัวโจกพูดจบก็กวักมือเรียกลูกน้อง
หนึ่งในนั้นเดินมาหาพร้อมยื่นมีดให้ ไม่ใช่เล่มเดียวกับที่ใช้ตอนเช้า อันนั้นผมส่งให้ทางโรงเรียนเพื่อเป็นหลักฐานว่ามีการใช้ของมีคมไปแล้ว
แต่ก็ไม่ได้รับการลงโทษอยู่ดี
คมมีดจรดลงที่ท้องของผม
“เฮ้ย…เล่นแรงไปแล้วนะ? ถ้าแค่นี้ฉันจะยังปล่อยผ่านแล้วไม่แจ้งตำรวจได้อยู่นะ?”
“ยังจะทำหน้าอย่างงั้นอีกเรอะ!?”
“ฆ่าคนตายน่ะ ติดคุกนะ …ไม่กลัวพ่อนายจะว่าเอาหรือไง?”
ถึงจะพูดด้วยเสียงราบเรียบ แต่ผมก็รู้สึกกังวลขึ้นมา เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายเหมือนจะแทงได้ทุกเมื่อ
สีหน้าอันบ้าคลั่งของมนุษย์ที่ควบคุมโทสะไม่ได้…
…สงสัยจะติดคำพูดแบบซาตานมาจากน้องประธานนิดหน่อยแฮะ
“ฮะฮะฮ่า!!”
“หัวเราะอะไร?”
“ก่อนหน้านี้แกพึ่งพูดเองไม่ใช่เหรอ? ว่าถ้าเป็นที่เปลี่ยวๆน่ะ จะมีคนเจ็บก็คงหาตัวการไม่ได้”
“…!?”
“แล้วก็นะ …คนตายน่ะ มันพูดไม่ได้ร้อก!!”
สิ้นเสียง ผมก็รู้สึกอุ่นๆที่ช่วงท้อง และคมมีดเย็นเฉียบที่คว้านเข้าไปที่อวัยวะภายใน…
+ +
เคสที่ 7 ไถเงิน (กระหัง) /มีต่อ