ช่วงเช้าวันถัดมา หลังจากได้รับงานมาจากเจ้าของเคสเด็กสาวไม่ทราบชื่อ ไม่สิ…นี่ก็ช่วงเย็นแล้วนี่นะ
เอาเป็นว่า หลังจากที่ได้รับงาน ก็ผ่านมาได้วันนึงแล้ว
และตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาชมรมอย่างที่คุ้นเคย หรือก็คือได้เวลาเริ่มงานสักที
ถึงจะบอกว่าสภานักเรียนจะเปิดรับความช่วยเหลือทั้งช่วงกลางวันและเย็น แต่ในกรณีที่เป็นเคสที่น่าจะใช้เวลานาน ผมก็จะจัดหาเวลาให้เหมาะสมโดยคำนึงให้จบงานเร็วที่สุด
และเวลานี้ก็คือช่วงที่เหมาะสำหรับเริ่มเคสนี้ล่ะนะ…
จากการสอบถามคร่าวๆโดยใช้อำนาจประธานนักเรียนนิดหน่อย ได้ความว่าพีทอยู่ห้องมอสี่ทับห้า
ส่วนแก้วกับเจ้าของเคสอยู่มอสี่ทับหกด้วยกันทั้งคู่
มองในภาพรวม ผมคิดว่าเป็นไปได้ยากที่เจ้าของเคสจะคิดว่าแก้วซึ่งเป็นเพื่อนสนิทแอบคบชู้กับแฟนตัวเอง เพราะขนาดห้องก็อยู่กันคนละห้อง
เผลอๆฝั่งเจ้าของเคส อาจจะเป็นคนแนะนำแก้วให้พีทรู้จักเองเลยด้วยซ้ำ
เมื่อสรุปได้ตามนี้ ก็พอจะเข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งสามคร่าวๆ
เจ้าของเคสพาแก้วให้มารู้จักกับพีทที่เป็นแฟนหนุ่ม ถ้าพีทคบซ้อนกับแก้วล่ะก็ ความสัมพันธ์ก็ต้องเริ่มจากจุดนั้น ทีแรกอาจจะเป็นแค่การพูดคุยเล็กๆน้อยๆจนพัฒนามาเป็นความสัมพันธ์เชิงชู้สาว
นั่นคือกรณีที่หนึ่ง
สำหรับกรณีที่สองที่ผมคิดว่าน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด ถ้าถามว่าแน่ใจขนาดไหน…ก็ถึงขั้นยอมรับการเดิมพันเลยนี่นะ
…กรณีที่สอง พีทกับแก้วก็แค่สนิทกันตามประสาเพื่อน แต่เจ้าของเคสกลับใช้สัญชาตญาณของผู้หญิงมองความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนออกไปในเชิงชู้สาวแทน
อืม~ คิดว่าความจริงก็ต้องเป็นกรณีที่สองนั่นแหละ หลักฐานก็ไม่มีหรอก แต่ผมเดินพันไว้แบบนั้นนี่นา? จะไม่ให้แน่ใจได้ไงเล่า?
แม้จะมั่นใจแบบนั้น
แต่ที่นี่ต่อให้จะเป็นโรงเรียนสำหรับสิ่งมีชีวิตลี้ลับ แต่เด็กทุกคนในโรงเรียนน่ะ ถ้าไม่นับความสามารถก็เป็นเหมือนวัยรุ่นธรรมดาทั่วๆไป
เด็กวัยรุ่นธรรมดา …ก็ย่อมมีสันดานของมนุษย์
เพราะงั้นความมั่นใจของผมก็ถูกลดหลั่นลงไปก็เพราะเหตุผลนั้นด้วย การที่พีทจะแอบคบชู้กับเพื่อนสนิทของแฟนตัวเอง ก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้…
…กิเลสมันไม่เข้าใครออกใคร
สำหรับผมที่อยู่คลุกคลีกับกิเลสของมนุษย์ก็พอจะเข้าใจได้อยู่
“…มนุษย์นี่นะ”
วิเคราะห์ซะตั้งนาน กลับได้มาแค่ข้อสันนิษฐานน้ำหนักเบา
ของแค่นี้ยังเอาไปใช้ยืนยันอะไรไม่ได้หรอก คงต้องไปถามพีทตรงๆนั่นแหละ ส่วนจะใช้วิธีแบบไหน …เรื่องนั้นผมคิดไว้แล้วล่ะ
หลังเลิกเรียน ตามปกติผมจะดิ่งไปที่ห้องสภาทันที
แต่ก็อย่างที่ว่าไว้ตอนแรก ตัวผมมีแผนการที่จะได้เข้าถึงความจริงได้ง่ายๆ
ดังนั้นจึงยังวนเวียนอยู่ในตึกเรียนแทน พูดให้ถูกคือลงไปยังชั้นเรียนของมอสี่
ไม่ได้จะไปหาพีทตรงๆหรอก ขนาดกับแฟนสาวยังบ่ายเบี่ยงได้ล่ะก็ อย่างผมที่ไปถามไถ่โดยไม่รู้จักหน้าค่าตาก็ต้องไม่หลุดข้อมูลมาให้อยู่แล้ว
ถ้าใช้พลังควบคุมจิตใจก็จะง่ายขึ้นเยอะ แต่ถ้าใช้พร่ำเพรื่อไปเรื่อย เดี๋ยวจะโดนเอาไปบอกต่อในทางแย่ๆ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆก็ใช้วิธีบ้านๆเอานั่นล่ะ
ผมเปิดประตูห้องมอสี่ทับหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ทั้งห้องของเจ้าของเคสหรือแฟนหนุ่มพีทแต่อย่างใด
ผมมาเรียกกำลังเสริมต่างหาก!
สายตาในห้องจับจ้องมาเป็นตาเดียว
ผมผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นมารยาท
“สไปรท์!”
และตะโกนเรียกเด็กสาวที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี
“โอ้ว!? พี่คริสโตเฟอร์นี่นา? หวาดดี~!”
สไปรท์หูพึ่ง ชูมือมาทางผมด้วยใบหน้าร่าเริง
“บอกให้เรียกว่าประธานไงเล่า”
ผมถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องเรียน
“มีงานให้ช่วย”
“เอ๋? ไม่อยากทำเลยอะ เหนื่อยตายชัก”
“เคสนี้เป็นเรื่องชู้สาวน่ะ”
ราวกับมีไฟแจ้งเตือนที่กลางหัวสไปรท์
เธอลุกขึ้นอย่างเร็วจนเหมือนดีดสปริง
“เล่นชู้เหรอ!? โอ้วๆ หนูเอาด้วย! หนูเอาด้วย!”
พร้อมยกมือเหมือนตอนอาจารย์ขานชื่อตอนเช้า
“ดีมาก …อ้อ ขอโทษด้วยนะเพื่อนๆของสไปรท์ พี่ขอยืมตัวยัยนี่แป๊บนึง”
““ค่า~””
เหล่าเพื่อนๆของสไปรท์พากันตอบรับอย่างไม่คิดมาก
และผมกับสไปรท์ก็ออกมาจากห้องมอสี่ทับหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังมอสี่ทับห้า…
“ฮื้มๆ~”
สไปรท์ฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์
และนี่คือเด็กสาวหนึ่งในสมาชิกของสภานักเรียน
รูปร่างภายนอกก็เป็นเด็กท่าทางแก่นๆ ผิวขาวอมชมพู ผมทรงทวินเทลบวกหนึ่งสีทองอร่าม เป็นสีที่ไม่ได้ผ่านการย้อม นั่นเป็นลักษณะเฉพาะในเชื้อสายของเธอ
“จะไปไหนกันอะ? พี่คริสโตเฟอร์”
ฟันเขี้ยวซี่เล็กๆที่ดูน่ารักบอกไม่ถูก เผยให้เห็นทุกครั้งที่อ้าปาก
ผมพ่นลมหายใจ
“เธอต้องเห็นร่างเป้าหมายก่อนจะ‘ก๊อปปี้’ได้ไม่ใช่เรอะ?”
“ช่ายๆ”
“ก็นั่นแหละ เป้าหมายอยู่ในนั้น”
ผมชี้ไปยังห้องห้าที่เดินใกล้จะถึง
…อย่างที่บอกไปหลายรอบ นักเรียนรวมถึงอาจารย์ในโรงเรียนแห่งนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
และสไปรท์ที่เป็นถึงสมาชิกสภานักเรียนก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน
อาจจะเคยพูดไปแล้ว แต่ผมจะบอกให้ชัดๆอีกครั้ง…
เด็กสาวคนนี้เป็น ‘เสือสมิง’
…สมิงพราย …ปู่เจ้าสมิงพราย …เสือสมิง จะเรียกยังไงก็แล้วแต่ความเชื่อ แต่ผมจะขอเรียกแค่เสือสมิงก็แล้วกัน
ตามตำนานแล้วคือพญาเสือที่กินมนุษย์เข้าไปมากมายจนสามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ที่ตกเป็นเหยื่อได้
แต่สไปรท์ก็เป็นแค่ลูกหลานของเสือสมิง เรื่องความแข็งแกร่งของมนตร์คาถาก็ลดลงมา
ที่จะเหลือตอนนี้ก็มีแค่ความสามารถในการแปลงกายเป็นสิ่งมีชีวิตทุกประเภทได้ในการมองเพียงครั้งเดียว …สำหรับรูปร่างภายนอกน่ะนะ
ในกรณีที่อยากได้ทั้งนิสัยรวมถึงวิธีพูด จะต้องใช้เวลาเฝ้าดูนานกว่านั้น
แต่นี่เป็นเหตุฉุกละหุกจึงไม่มีเวลาพอให้ทำ
เรื่องอื่นไว้ค่อยตบเอาทีหลัง ขอแค่เอารูปร่างมาได้ก็พอแล้ว
หืม? สงสัยว่าทำไมผมถึงรู้เรื่องเสือสมิงมากขนาดนี้น่ะเหรอ? ไม่ใช่ว่าตอนนี้พลอยไม่มีบท ผมเลยต้องรับหน้าที่อธิบายแทนหรอกนะ
ก็แค่ยัยสไปรท์ชอบพูดมาก ผมรู้จักกับเธอมาตั้งแต่เปิดเทอม …ก็ตอนเธอเข้าสภานั่นแหละ
ระหว่างนั้นก็ได้พูดคุยกันหลายครั้ง โดยส่วนใหญ่ภูตผีตนอื่นๆจะไม่ค่อยบอกความสามารถตัวเองให้คนอื่นฟังเท่าไหร่
แต่เด็กคนนี้ดันเล่าให้ผมฟังฉอดๆ …แถมยังเล่าหลายรอบจนน่ารำคาญ
สุดท้าย ข้อมูลของเสือสมิงส่วนใหญ่มันก็เลยฝังเข้าเซลล์สมองไปแล้ว…
“ว่าแต่เย็นนี้เธอไม่อยู่กับพี่น้ำเรอะ? เห็นส่วนใหญ่ตัวติดกันตลอด”
“วันนี้พี่น้ำกลับบ้านเร็วอะ หนูเลยนั่งเล่นอยู่กับเพื่อนที่ห้องแทน”
“…เหรอ”
…มีหลายอย่างให้ติเลยล่ะ
อย่างแรกคือพี่น้ำกลับบ้านแต่ไม่แจ้งผมเลยสักคำ
ส่วนยัยนี่ก็ไม่มีความคิดจะไปห้องสภาในหัวเลยสักนิด
เอาเถอะ ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ก็คือช่วยงานผมล่ะนะ จะหยวนๆให้ก็แล้วกัน
เมื่อมาถึง สไปรท์ก็ชะโงกมองเข้าไปในหน้าต่างห้อง
“ไหนๆ จะให้แปลงเป็นคนไหน?”
“เบาๆหน่อยสิเฮ้ย!”
แค่ผมมาเดินแถวห้องเรียนมอสี่ก็แปลกตามากพอแล้ว แถมผมยังใส่เครื่องแบบไม่เหมือนคนอื่นในโรงเรียนอีก
ช่วยอย่าทำตัวให้ตกเป็นจุดสังเกตมากไปกว่านี้ทีเถอะ ขอล่ะ
“ตกลงคนหนาย~?”
“ขอดูแป๊บนะ”
ผมหยิบรูปประจำตัวนักเรียนจากกระเป๋าเสื้อมาสองรูป มีรูปนักเรียนชายและหญิงอยู่อย่างละหนึ่งใบ
รูปของพีทกับแก้วที่เป็นเป้าหมายนั่นเอง
ห้องห้าเป็นห้องที่พีทเรียนอยู่ ไหนดูสิ…
ผมหรี่ตามองเข้าไปในห้อง ดวงตาสีแดงส่องประกายเล็กน้อย
ไม่เห็นพีทอยู่ในห้อง
“โอเค คนแรกตัดไป สงสัยจะไปเข้าชมรมไม่ก็กลับบ้าน”
…ขออย่าให้เป็นอย่างหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นได้เสียเวลาอีกวันแน่ๆ
ผมเก็บรูปพีทลงกระเป๋าเสื้อเหลือไว้แค่รูปของแก้ว
“เอาไงต่ออะ?”
“ต่อไปห้องหก”
“โอ้ว!”
เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึง
ห้องหก
ผมมองรูปประจำตัวนักเรียนของแก้ว เด็กสาวเพื่อนสนิทเจ้าของเคส รวมถึงมีความเป็นไปได้ว่าจะคบซ้อนกับแฟนหนุ่มของเจ้าของเคสอีกด้วย
ผมมองหาภายในห้อง
“คนนั้น”
“คนหนาย~”
“เฮ้อ…เอารูปไปดูเองไป๊”
ผมส่งรูปแก้วให้สไปรท์
เธอมองสลับระหว่างรูปกับคนในห้อง
“คนนั้นเองหรอกเหรอ? ดูเป็นสาวเงียบๆไงไม่รู้เนอะ?”
“ไม่ต้องใส่ความเห็น ก็อปปี้มาได้มั้ย?”
“เรียบร้อย~”
เอาล่ะ ในเมื่อได้ตามที่ต้องการแล้ว ก็หมดความจำเป็นที่จะอยู่แถวนี้ต่อ
“ต่อไปก็ไปหาพีทที่ชมรมฟุตบอล …หวังว่าจะยังอยู่ที่ชมรมนะ”
“ฮะฮ่าฮ่า พี่คริสโตเฟอร์ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พวกชมรมกีฬามันติดซ้อมกันเป็นบ้าเป็นหลัง ต่อให้ฝนตกหรือฟ้าฝ่าก็ยังคลุกกันอยู่จนกว่าจะถึงเวลาเลิกชมรมนั่นแหละ”
“ขยันกันจังแฮะ”
“มุ่งสู่ที่หนึ่งประเทศ! รู้สึกจะชอบพูดกันประมาณนั้นแหละ”
“เหรอ”
ถ้าทำได้จริงก็ขอดีใจด้วยละกัน
รู้สึกจะมีการแข่งขันระหว่างโรงเรียนของสิ่งมีชีวิตลี้ลับที่อยู่ในจังหวัดอื่นด้วยนี่นะ เพราะทีมกีฬาของโรงเรียนแบบนี้คงเอาไปสู้กับทีมโรงเรียนของคนทั่วไปไม่ได้
ความสามารถมันห่างกันเกินไป
เรื่องนั้นช่างมัน ที่สำคัญคือค่อนข้างแน่ใจว่าพีทยังอยู่ที่ชมรม
ยังไงที่ต้องให้สไปรท์ช่วย ก็หวังจะใช้จังหวะที่พีทอยู่คนเดียวอยู่แล้วล่ะนะ ดังนั้นรอให้ถึงเวลาเลิกชมรมน่าจะดีที่สุด
แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่แก้วจะนัดเจอกับพีทหลังเลิกเรียนอีก ต้องตัดปัญหาเรื่องแก้วให้เด็ดขาดก่อน ไม่งั้นแผนอาจจะล่ม…
“ขอถามอีกที ก็อปปี้เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?”
“ค่าๆ ให้แปลงให้ดูเดี๋ยวนี้เลยมั้ยฮึ?”
“ไม่ต้อง งั้นเธอกลับไปที่สภาก่อน เดี๋ยวฉันตามไป…”
“ห้องสภานี่อยู่ตรงไหนนะ?”
“หล่อนเป็นสภานักเรียนไม่ใช่หรือไงหา!?”
สไปรท์ยิ้มหยอกล้อ
“ล้อเล่นน่า จริงจังไปซะทุกเรื่องเดี๋ยวก็เครียดตายพอดีหรอก”
“เออๆ”
“งั้นหนูไปรอที่ห้องสภานะ อย่าลืมเวลาเลิกชมรมด้วยล่ะ!”
“รู้แล้วน่า”
พอเป็นเรื่องแบบนี้ สไปรท์ดันจริงจังจนผิดวิสัย
ซึ่งก็นับเป็นเรื่องดี เกิดผมลืมเวลาจนพีทกลับบ้านไปล่ะก็ มีหวังเคสนี้ได้ลากยาวถึงพรุ่งนี้แน่
ทำให้เสร็จวันนี้เลยจะดีที่สุด จะได้มีคนมาทำความสะอาดห้องชมรมให้อะนะ แต่นั่นก็ในกรณีที่พีทไม่ได้นอกใจ…
แย่ล่ะสิ อยู่ๆก็เริ่มกังวลว่าตัวเองจะทายผิดซะงั้น
สไปรท์เดินหายไปจากสายตา …ขอให้ไปรออยู่ที่ห้องสภาอย่างที่พูดจริงๆก็ดีหรอก
“ลดความเสี่ยง…สินะ”
ผมพึมพำกับตัวเองและกลับไปที่ห้องหก
จังหวะที่จะเปิดประตู ก็ผมว่าบานประตูถูกเปิดออกจากคนด้านใน
มองเห็นเด็กสาวสะพายกระเป๋าเตรียมจะกลับบ้าน
เธอมองผมขณะกำลูกบิดประตูค้าง
“เอ๊ะ…พี่ประธานนี่นา…”
เจ้าของเคสที่มาขอให้ผมช่วยเมื่อวานนั่นเอง
ผมสังเกตตั้งแต่ตอนให้สไปรท์ก็อปปี้แล้ว ว่าเด็กคนนี้อยู่ในห้อง
“จะกลับบ้านเหรอ?”
“อะ…ค่ะ ถ้าพี่ประธานอยากกลับด้วยกัน…”
“รีบกลับเข้าห้องไปเดี๋ยวนี้”
“ทำไมล่ะคะ!?”
เจ้าของเคสตะโกนด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“วันนี้น้องช่วยพาแก้วไปไหนสักที่หน่อย จะชวนไปเที่ยวก็ได้”
“…ช่วงนี้หนูห่างๆกับแก้วอยู่อะค่ะ จะให้ชวนไปเที่ยวเลยนี่มันก็…”
ยังหาหลักฐานไม่ได้เลยไม่ใช่เรอะ? เล่นเว้นระยะห่างกับเพื่อนสนิทเอาดื้อๆก็ผิดสังเกตพอดีน่ะสิ ยัยบ๊องเอ๊ย
ผมห้ามไม่ให้ตัวเองถอนหายใจ
“…พี่มีแผนจะเค้นคอแฟนน้องได้แล้วน่ะ และถ้าจะทำได้ก็ต้องให้แก้วกลับไปก่อน”
เจ้าของเคสฟังพร้อมครุ่นคิดกับตัวเอง
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น
“เอางั้นก็ได้ค่ะ! ถ้าทำให้จับพีทได้คาหนังคาเขาล่ะก็!”
“ถ้าเข้าใจแล้วก็ดี พรุ่งนี้ตอนเย็นมาที่สภาด้วยล่ะ”
จะดีหรือเลว เคสนี้ก็ต้องได้คำตอบช่วงหลังเวลาเลิกชมรมนี่แหละ ให้เจ้าของเคสมาหาผมพรุ่งนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด…
เจ้าของเคสจับโทรศัพท์บิดไปมาพลางพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“อะ เอ่อ…เอาไลน์หนูไว้ติดต่อก็ได้นะคะ…”
“ไม่เอาล่ะ พี่มีกฎว่าจะไม่ติดต่อเป็นการส่วนตัวกับนักเรียนที่มาขอความช่วยเหลือ”
ผมปัดมือเบาๆ
เธอทำหน้าเสียดายเล็กน้อย
“…ก็ได้ค่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ พี่ประธาน”
และเดินกลับเข้าไปในห้องทั้งๆแบบนั้น …ดูเหมือนกำลังชวนแก้วไปเที่ยวอย่างที่ผมสั่งไป
ว่าแต่ ทำไมรู้สึกวันนี้เจ้าของเคสทำตัวแปลกๆไปจากเมื่อวานนิดหน่อยแฮะ
จะว่าไงดีล่ะ รู้สึกเหมือนจะพูดกับผมแบบให้ความเคารพมากขึ้น
ไม่ก็เป็นอารมณ์อะไรสักอย่างที่ผมมองแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่…
อ๋อ คงเป็นเพราะเธออาจจะไปหาข้อมูลของประธานนักเรียน(หรือก็คือผม)เพิ่มเติมสินะ? ถึงได้เข้าใจว่าตัวผมเป็นคนที่น่าเคารพขนาดไหน
“…เรานี่มันสุดยอดจริงๆ”
ผมหัวเราะอยู่คนเดียวและเดินกลับสภา
สุดท้ายก็ถึงเวลาที่รอคอย เวลาเลิกชมรม
สายลมยามเย็นปลิวพัดเข้าหน้าของผมกับสไปรท์ที่ยืนสังเกตการณ์ชมรมฟุตบอลอยู่ที่ชั้นดาดฟ้าของตึกเรียน
ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ส่งผลให้รอบข้างกลายเป็นสีส้ม
“วะฮะฮ่า! เป้าหมายคือไอ้หน้าจืดคนนั้นสินะ!?”
สไปรท์พูดอย่างดุดันโดยที่ยกขาข้างหนึ่งไว้ที่ขอบตึก
“ถึงจะเห็นอย่างนั้น…แต่ก็มีโอกาสที่จะเป็นไอ้หนุ่มหน้าม่อคบซ้อนล่ะนะ”
ปากก็พูดไป เป็นไปได้ก็อย่าให้เป็นงั้นเล้ย…ผมไม่อยากแพ้เดิมพันหรอกนะ
จากความสูงของตึกที่มากถึงหกชั้น พวกผมจึงต้องเร่งพลังวิญญาณไปที่ดวงตาเพื่อให้มองเห็นได้ไกลขึ้น
ดวงตาสีแดงเลือดกับดวงตาสีฟ้าสดใสของสไปรท์ส่องสว่างรับกับดวงอาทิตย์ยามเย็น
“แผนเอาไง? พี่คริสโตเฟอร์”
“ก่อนจะไปเรื่องนั้น…”
“เง่อะ?”
“จะขึ้นมาที่ดาดฟ้าทำส้นตึกอะไร?”
ตอนนี้พวกผมมาอยู่ที่ดาดฟ้าตึกเรียนอย่างไม่มีเหตุผล
“ฮะฮ่า นักสืบไงนักสืบ นักสืบต้องมองเป้าหมายจากที่ไกลๆซิ๊!”
“นักสืบบ้านเธอเป็นงั้นเรอะ? แล้วอยู่ไกลเป้าหมายงี้จะไปตามทันได้ยังไง?”
แน่นอนว่าที่ต้องมาอยู่ที่นี่เพราะโดนสไปรท์ลากขึ้นมา ที่จริงผมอยากจะสังเกตการณ์ในจุดที่ใกล้กับชมรมฟุตบอลมากกว่านี้
ถึงต่อให้จะเป็นที่ไกลๆ ก็ไม่ควรจะเป็นดาดฟ้าแบบนี้…
“เอาน่าๆ หนูมีวิธี!”
จังหวะนั้นเอง ที่เห็นว่าพีทเริ่มลากับเพื่อนชมรมฟุตบอล
และเมื่อเขาปลีกตัวมาอยู่คนเดียว ก็ได้เวลาเริ่มเคสอย่างจริงๆจังๆสักที
“นี่ไงที่ฉันบอก เอ้า! รีบลงไปกันได้แล้ว”
ผมหันหลังและกำลังเดินไปที่ประตูชั้นดาดฟ้า
และในพริบตานั้นเองที่สไปรท์พูดขึ้น
“รับทราบ!!”
“หะ? เดี๋ยว เฮ้ย!?”
สไปรท์พุ่งกระโจนจากดาดฟ้าด้วยท่าทางราวกับแมวที่กระโดดลงจากที่สูง
“เจอกันข้างล่างน้า~……”
เสียงห่างไกลไปเรื่อยๆตามการทิ้งดิ่ง
“ให้ตายสิน่า…เป็นเสือสมิงไม่ใช่เรอะ”
ผมปลงใจจนเผลอถอนหายใจ
จะว่าถึงตัวเป้าหมายเร็วก็ได้อยู่ …แต่ภูตผีส่วนใหญ่ลงจากตึกหกชั้นไม่ได้ง่ายๆแบบเสือสมิงหรอกนะ…
ผมถอดเสื้อเบลเซอร์ออก วงเวทดาวหกแฉกก่อเกิดที่แผ่นหลัง
“…ปีกแห่งความตาย จงปรากฏเพื่อมอบอิสรภาพแก่ข้า”
ถ้อยคำที่ราวกับบูชาความมืดดังขึ้น พร้อมกับที่วงเวทเริ่มหลอมรวมเข้ากับสสารสีดำ
“‘เดดวิง’”
สิ้นเสียง ปีกสีดำทะมึนก็งอกออกจากกลางหลัง
ผมใช้ปีกนั้นบินลงจากดาดฟ้าเพื่อไปหายัยเสือสมิงที่มุทะลุเกินเหตุ
ที่สำคัญคือยังไม่ได้บอกแผนให้หล่อนฟังเลยด้วย…
เคสที่ 6 (นอกใจ) /มีต่อ