บทที่ 856-2 เจียวเจียวกับราชาผี (2)
ณ เมืองฉวี่หยาง
ซ่างกวานเยี่ยนเดินไปเดินมาในค่าย รอกู้เจียวกลับมา
โดยมีหวนเอ๋อร์นั่งเอามือเท้าคางในท่าสัปงกอยู่ข้างๆ
“อ๊ะ ข้าขออภัยเพคะ…” หวนเอ๋อร์รีบลุกขึ้นพรวดหลังจากรู้ตัวว่ากำลังเผลอหลับ
“เจ้าออกไปดูที่ประตูอีกรอบทีสิ” ซ่างกวานเยี่ยนสั่ง
“เพคะ!” หวนเอ๋อร์เปิดม่านแล้วเดินไปที่ประตูค่ายทหาร จากนั้นมองไปที่ถนนหลวงอย่างระมัดระวังเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่เห็นใครโผล่มาเลย
จึงกลับมาที่เดิมพร้อมกับรายงาน “ท่านชายเซียวยังไม่กลับมาเพคะ”
“ยังไม่กลับอีกรึ นี่ก็ผ่านไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนแล้วนะ” ซ่างกวานเยี่ยนยกมือขึ้นมากุมที่หน้าอก “เกิดอะไรขึ้นไหมนะ รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีชอบกล”
หวนเอ๋อร์พยายามปลอบ “ท่านชายเซียวเป็นคนรอบคอบ ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอนเพคะ”
“ใต้เท้าเซียว!”
เสียงของที่ปรึกษาหูดังขึ้น
เจียวเจียวกลับมาแล้วสินะ!
ซ่างกวานเยี่ยนรีบเดินไปเปิดม่านอย่างไม่รอช้า แต่กลับเจอเซวียนผิงโหวที่กำลังทำหน้ากวนประสาทอยู่
เซวียนผิงโหวแค่เดินทางผ่านมาทางนี้
ทุกคนที่ค่ายรู้ว่าเขาคือพ่อแท้ๆ ของแม่ทัพเซียว จึงเรียกเขาว่าใต้เท้าเซียวเพื่อแสดงความเคารพ
ซ่างกวานเยี่ยนทำหน้าไม่พอใจ “เจ้าอีกแล้วรึ”
เซวียนผิงโหว “ข้าผิดอะไร แค่ผ่านมาแถวนี้เท่านั้นเอง”
ซ่างกวานเยี่ยนไม่อยากเสวนากับคนผู้นี้ต่อ
นางหาใช่คนที่ชอบยุ่งวุ่นวายกับคนอื่นไม่
เซวียนผิงโหวเอ่ยทักนางด้วยท่าทีทีเล่นทีจริง “อะไรกัน คิดถึงลูกของข้าแล้วรึ”
พลางคิดในใจ เจียวเจียวเป็นลูกเจ้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ซ่างกวานเยี่ยนถลึงตาใส่เขาหนึ่งที ก่อนเดินกลับเข้าไปในค่ายและทิ้งเซวียนผิงโหวไว้ตรงนั้นคนเดียว
เซวียนผิงโหวยกมือขึ้นมาบีบสันจมูกตัวเอง
ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงๆ
เขาส่ายศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในค่ายของตัวเอง
ระหว่างที่เดินไปก็บ่นไป “ถังเย่ว์ซานพาลูกข้าไปเตร่ที่ไหนอีกละเนี่ย ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก”
ด้วยความที่ในค่ายไม่มีอะไรให้ทำ อีกทั้งพรุ่งนี้ต้องออกไปโจมตีแคว้นเหลียงแต่เช้า เซวียนผิงโหวจึงตัดสินใจรีบนอนหลับพักผ่อนเอาแรง
ขณะที่หลับไปได้ครึ่งทาง ก็เกิดฝันขึ้นมา
เขาฝันว่าได้เจอกับเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างผอมบาง มีใบหน้าคล้ายคลึงกับอาหัง แต่ไม่ใช่อาหัง
แล้วจู่ๆ เด็กคนนั้นก็เข้ามาใกล้ๆ เขาพร้อมกับยื่นมือออกมา
จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเด็กคนนี้ก็คือลูกของเขากับฉินเฟิงหว่าน
เขาดีใจมาก รีบก้าวเท้าไปข้างหน้า “ลูก!”
เมื่อเขากำลังจะเอื้อมมือไปหาอีกฝ่าย จู่ๆ ดาบยาวก็ออกมาจากความมืดและแทงเข้าที่หน้าอกของเด็กหนุ่มจากด้านหลัง
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าร้องดังขึ้น
เซวียนผิงโหวสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้าย
เขาตกใจจนเหงื่อออก จนเสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่ม
นี่เขาฝันร้ายได้อย่างไรกัน
ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยเจอกันมาก่อน แล้วใยจู่ๆ ลูกชายของเขาถึงได้…
น่าหงุดหงิดชะมัด!
ลูกชายของเขาจะต้องไม่เป็นอะไร
หลังจากเสร็จงานที่นี่ เขาจะพาเซียวชิ่งกลับไปหาแม่ของเขา
อีกไม่นานพวกเขาก็จะได้กลับไปหานางแล้ว นางจะต้องตกใจสุดขีดเชียวล่ะ
ลูกชายของเขา จะต้องเป็นเด็กที่น่ารักมากแน่ๆ
…
ณ ภูเขาผี
เป็นเวลาดึกแล้ว ชาวบ้านและทหารทุกคนที่ยุ่งวุ่นวายทั้งวันก็กลับมายังที่พักของตน และหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีชีวิตชีวาก็เริ่มเข้าสู่ความเงียบ
แม้จะมีพายุที่เมืองฉวี่หยาง แต่เมืองผู่ในเวลานี้กลับมีค่ำคืนที่สวยงาม
กู้เจียวนอนอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ที่ซ่างกวานชิ่งเตรียมไว้ให้ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวจากหน้าต่าง “พรุ่งนี้จะเป็นอีกวันสดใส”
ส่วนถังเย่ว์ซานกำลังกรนเสียงดังในกระท่อมเล็กๆ ของเขา
ส่วนเจ้าเฮยเฟิงก็พาสหายม้าอีกตัวมานอนเฝ้าที่หน้ากระท่อม แล้วหลับตาลงเพื่อพักสายตา
กู้เจียวฟังเสียงลมที่พัดบนภูเขา ชื่นชมแสงจันทร์ที่ไร้ขอบเขต
“นี่ลูกพี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะเดินทางกลับกันแล้วนะ” กู้เจียวเอ่ยกับเจ้าเฮยเฟิง
เฮยเฟิงพ่นลมทางจมูกเพื่อบ่งบอกว่ารับทราบแล้ว
จากนั้นมันก็พ่นลมหายในอีกรอบ เพื่อเตือนให้กู้เจียวรีบพักผ่อน
เมื่อเห็นว่ากู้เจียวยังคงลืมตา เจ้าเฮยเฟิงจึงยื่นหัวผ่านหน้าต่างเพื่อบดบังแสงจันทร์และท้องฟ้า
กู้เจียว “…”
ก็ได้ ก็ได้
ข้าหลับก็ได้
กู้เจียวพลิกตัวไปอีกฝั่ง จากนั้นหลับตาลงเพื่อเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา
“ใต้เท้า…”
“ใต้เท้า…”
“ใต้เท้า…”
กู้เจียวได้ยินเสียงเรียกของใครบางคน
ใครกันที่เรียกนาง
กู้เจียวที่กำลังจะพลิกตัวก็เกิดพลาดตกเตียงจนเกิดเสียงดังลั่นไปทั่วกระท่อม!
“ใครน่ะ!”
ถังเย่ว์ซานตกใจมากจนลุกขึ้นนั่ง พอเห็นว่าไม่มีอะไรก็ลงไปหลับต่อโดยกอดธนูไว้ในอ้อมอก
ร่างของกู้เจียวหล่นกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
เมื่อครู่นี้นางฝันว่ามีคนกำลังเรียกนาง
บางคนก็เรียกนางว่าใต้เท้า แต่มีอีกคำเรียกหนึ่งด้วย…
แต่เป็นเพราะว่าตื่นก่อน เลยจำไม่ได้ว่าคำเรียกอีกอย่างคืออะไร
เจ้าเฮยเฟิงชะโงกหัวเข้ามาในกระท่อม
“ข้าไม่เป็นไร” กู้เจียวลุกขึ้นพร้อมกับเอามือกุมศีรษะที่ปูดโนออกมา
หลังจากที่ล้ม ความรู้สึกง่วงนอนก็หายไปทันที
ตอนนี้ฟ้าเริ่มมีเมฆปกคลุมเยอะแล้ว จากที่ตอนแรกยังใสอยู่
“ดูท่าจะฝนตกสินะ”
อุณหภูมิในห้องเริ่มอบอ้าวขึ้น กู้เจียวจึงตัดสินใจออกมารับลมข้างนอก
ขณะที่กู้เจียวกำลังยืนชมวิวทิวทัศน์ภูเขาที่ถูกปกคลุมด้วยผืนฟ้ายามราตรี
จู่ๆ กู้เจียวก็หันไปทางทิศตะวันออกอย่างไม่รู้ตัว
เฮยเฟิงที่ยืนอยู่ทางทิศนั้นพอดีก็พยายามยื่นหัวมาบังสายตาของกู้เจียว
ไม่ให้มอง
กู้เจียวจึงพยายามย่อตัวลงมา
เจ้าเฮยเฟิงเห็นดังนั้นจึงย่อตัวตามเช่นกัน
กู้เจียวจึงกระโดดขึ้นหลังดเจ้าเฮยเฟิง
“ลูกพี่ เราไปเดินเล่นที่หลังเขากันไหม”
เจ้าเฮยเฟิงได้แต่ถอนหายใจที่เจ้านายของตัวเองเป็นเด็กซุกซน
แต่สุดท้ายก็ยอมตามใจ และมุ่งหน้าไปทางหลังเขา
ไม่มีทหารลาดตระเวนในหมู่บ้าน เนื่องจากทหารทุกคนไปคุ้มกันอยู่ในป่า
เจ้าเฮยเฟิงเดินด้วยความระมัดระวังที่สุดเพื่อไม่ให้ชาวบ้านตื่น
ซ่างกวานชิ่งได้สั่งให้คนทำรั้วกั้นเอาไว้เพื่อกันไม่ให้คนเข้าไปที่หลังเขา
เจ้าเฮยเฟิงกระโดดข้ามรั้วนั้นไปได้สบายๆ
“ลูกพี่นี่เก่งจริงๆ ” กู้เจียวเอ่ยปากชม
เจ้าเฮยเฟิงคิดในใจ อย่าประจบหน่อยเลย
หลังจากพ้นเขตหมู่บ้าน พวกเขาเดินทางมาถึงบริเวณตีนเขา กู้เจียวลงจากหลังม้าแล้วมองดูภูเขาอันมืดมิดพร้อมกับพึมพำ “โห ที่นี่ใหญ่ขนาดนี้เลยรึ ราชาผีอยู่ที่ไหนกันนะ ช่างเถอะ เข้าไปกันก่อนดีกว่า”
จากนั้นพวกเขาขึ้นไปบนเนินเขาแล้วเดินเข้าไปในป่าทึบ
ป่าแห่งนี้ไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมชมและมีความเขียวชอุ่มมากกว่าพืชพรรณบนภูเขาก่อนหน้านี้
ทันใดนั้น มีงูพิษตัวหนึ่งเลื้อยลงมาจากกิ้งไม้และแลบลิ้นใส่กู้เจียว
กู้เจียวรีบคว้าหมับทันที
งูพิษ “…!!”
เมื่อเห็นว่าเจ้างูตัวนี้ไม่มีอะไรโดดเด่น กู้เจียวจึงโยนมันทิ้งไป
พวกเขาเดินไปข้างหน้าต่อ
ตอนแรกกู้เจียวคิดว่าคงยากที่จะตามหาเจอ ทว่า พอพวกเขาหลุดออกมาจากป่า ก็เจอกับสุสานทันที
ที่จุดสูงสุดของสุสาน มีนายพลคนหนึ่งนั่งนิ่งๆ ถือดาบยาวและสวมชุดเกราะ… ราวกับว่าเขาถูกสาปให้เป็นหิน
ในมือของเขาถือทวนมรกตที่มีความยาวราวสามฉื่อซึ่งดูเหมือนหนักราวพันจิน
ในที่สุดกู้เจียวก็เข้าใจที่ซ่างกวานชิ่งเอ่ยถึงแล้ว
เขาอธิบายไว้ถูกทุกอย่าง
คนผู้นั้น…’ตาย’แล้วจริงๆ
เขาดูไร้ชีวิตชีวา และเขาก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว
เขาเหลือเพียงร่างที่พังทลายราวกับศพที่เดินได้
แสงจาดดวงจันทร์ทะลุเมฆดำหนาทึบสาดส่องลงมาที่สุสานและบนร่างของเขา
แกร๊ก!
ลำคอของเขาเริ่มขยับช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ หันมาทางกู้เจียว