“ดูเหมือนวันนี้น้องสไปรท์กับพี่น้ำจะไม่มานะคะ?”
“เออ ก็กะไว้อยู่แล้ว”
ผมตอบพลางจ้องไปที่ประตูห้องสภาอย่างหน่ายจิต
ที่นี่คือโรงเรียนอาคมจิตตวิทยาสาขาที่หนึ่ง
ส่วนตัวผมคือสภานักเรียน ดำรงตำแหน่งประธานคนปัจจุบัน
คริสโตเฟอร์ เด็กหนุ่มชาวต่างชาติ ลูกของซาตาน
นั่นคือนิยามสั้นๆที่บ่งบอกความเป็นตัวผม แต่ถ้าให้ยาวกว่านั้นอีกหน่อย ก็…
เด็กหนุ่มมัธยมชั้นปีที่ห้า เรือนผมสีชมพูเตะตา ดวงตาสีแดงสด และที่สดยิ่งกว่าก็คือสีแดงของเขาทั้งสองข้างบนศีรษะ
แต่งกายด้วยเครื่องแบบที่แตกต่างจากคนในโรงเรียน จนเด็กสาวรองประธานถึงกับออกปากว่า ‘กลัวคนไม่รู้ว่าเป็นคนต่างชาติหรือไงคะ?’
“สองคนนั้นก็ไม่น่าแปลกใจหรอก แต่พี่ต้นก็ไม่มาเนี่ย ติดธุระอะไรรึเปล่านะ?”
“ถึงพี่เขาจะติดธุระหรือแค่โดดเฉยๆ ประธานก็ไม่คิดจะตำหนิอะไรอยู่แล้วนี่คะ?”
“นั่นมันก็จริงอยู่หรอก ถ้าอย่างพี่ต้นยังโดนฉันว่าล่ะก็ คนอื่นๆคงโดนไล่ออกเลยล่ะ”
อัตราส่วนการทำงานมันต่างจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยล่ะ ผมแทบคิดไม่ออกเลยว่าเคยเห็นสองคนนั้นทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้ผมภูมิใจบ้าง
อ๋อ ส่วนพลอยกับดิวไม่มีปัญหาเท่าไหร่ อย่างน้อยก็โผล่หน้ามาที่ห้องสภาทุกเย็นนี่นะ
อย่างตอนนี้ก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะรับแขกอย่างคุ้นตา
ดิวกินขนม พร้อมด้วยลูกเจี๊ยบบนไหล่ที่เลี้ยงไว้
พลอยจิบน้ำพลางเอ่ย
“วันนี้จะมีใครมามั้ยนะ…”
“อย่าใจร้อนสิ พึ่งเริ่มเวลาชมรมเอง ส่วนใหญ่ที่จะมีปัญหาหรือว่างมาขอความช่วยเหลือก็หลังจากนี้นี่แหละ”
ตามที่พูดไป เคสส่วนใหญ่ก็จะได้เริ่มหลังจากผ่านเวลาชมรมไปสักพัก บางคนก็มีปัญหาระหว่างทำกิจกรรมชมรม บางคนก็รอเวลาเลิกเรียนแล้วค่อยมาขอความช่วยเหลือกับสภานักเรียน
อ๋อ มีบางเคสที่มาขอให้ช่วยช่วงกลางวันด้วยล่ะนะ เพราะตามปกติหลังกินข้าวเที่ยง ผมก็จะมานั่งจ่อมอยู่ที่ห้องสภาตลอด
ไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนหรืออะไรหรอก ก็แค่ใจมันรักในหน้าที่เท่านั้นเอง
สรุปก็คือ สภานักเรียนเปิดรับช่วยเหลือทุกปัญหาทั้งช่วงกลางวันและเย็น
ประจวบเหมาะกับที่ได้ยินเสียงเคาะประตู
““เชิญครับ/ค่ะ””
ผมกับพลอยตอบรับแทบจะพร้อมกัน
และบานประตูใหม่เอี่ยมที่พึ่งเปลี่ยนตอนเปิดเทอมก็ถูกเปิดออก
นี่จะเป็นนักเรียนคนแรกของวันที่ต้องการความช่วยเหลือ และจะเป็นเรื่องอะไรนั้น…
“อ้าว?”
ผมเผลออุทาน เพราะคนที่อยู่หลังบานประตูไม่ใช่นักเรียน
เด็กชายที่อายุราวเจ็ดถึงแปดปี ไว้จุกกลมๆที่กลางศีรษะ สวมใส่…เอ่อ…โจงกระเบน? สีแดงเข้ม พร้อมด้วยเครื่องประดับสีทองหลายต่อหลายจุด
ขาลอยอยู่เหนือพื้น …พวกวิญญาณสินะ?
พลอยที่เห็นเด็กคนนั้นลอยเข้ามาในห้องก็ยกมือไหว้อย่างมีมารยาท
“สวัสดีค่ะ พี่ขุนทอง”
“เดี๋ยวสิพลอย ถึงจะเป็นคนที่มาขอให้เราช่วยก็เถอะ แต่ไปเรียกเด็กตัวแค่นั้นว่าพี่แถมยังยกมือไหว้นี่ก็ยังไงอยู่นะ?”
ผมที่แทรกไปแบบนั้น พลอยก็เอียงคอ
“ประธานไม่รู้จักพี่เขาเหรอคะ?”
“เหอะ”
ขณะผมส่ายศีรษะ เด็กที่น่าจะชื่อขุนทองก็หัวเราะร่า
“วะฮะฮ่า สวัสดีๆ แม่หนูนางรำ คุณแม่สบายดีมั้ย?”
“สบายดีค่ะ”
หืม…รู้จักกับแม่ของพลอยด้วยงั้นเหรอ? ถ้างั้นก็พอเดาออกแล้วล่ะ
ในปัจจุบัน แม้ภูตผีหรือสิ่งมีชีวิตลี้ลับจะสามารถพบเห็นได้ทั่วไป แต่ก็สามารถแยกเป็นประเภทหลักๆได้สองประเภท
หนึ่ง ประเภทลูกหลานของสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
สอง สิ่งมีชีวิตลี้ลับตัวเป็นๆ หรือจะเรียกว่าวิญญาณก็ได้
สำหรับประเภทที่หนึ่งนั้น ก็อาจจะทำความเข้าใจได้ยากหน่อยว่าคืออะไร
ผมจะอธิบายไปตามที่ผมเข้าใจแล้วกัน
ให้ลองนึกภาพว่าช่วงปีมะโว้หรือหลายสิบหลายร้อยปีก่อนที่ผมจะเกิด จู่ๆเหล่าสิ่งมีชีวิตลี้ลับก็ดันมีทายาทขึ้นมา …ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นไงมาไงเหมือนกัน
แต่ถ้าให้เดาล่ะก็ คงมีใครสักคนเมื่อนานมาแล้วไปได้เสียกับผีจนออกทายาทมาเป็นลูกครึ่งผีกับมนุษย์สืบทอดมาจนปัจจุบัน…
…มั้ง?
ผมก็ไม่แน่ใจ ถ้าอยากรู้ก็ไว้ไปถามนักวิชาการหรือนักประวัติศาสตร์เรื่องผีเอาแล้วกัน
ไม่ก็นักวิทยาศาตร์เรื่องผี?
เอาเถอะ ผมไม่สนหรอก จะแบบไหนก็ช่างมันประไร
ชีวิตเราต้องมุ่งไปข้างหน้านี่นะ มัวแต่สนใจอดีตก็คงได้แต่ถอยหลังหรือย่ำอยู่กับที่นั่นแหละ
มาถึงจุดนี้ก็ขอโทษพวกนักประวัติศาสตร์เผื่อไว้หน่อยดีกว่า ขอโทษครับ
…กลับมาที่ประเภทที่หนึ่งต่อ ประเภทลูกหลานของภูตผีนั้น จะมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วๆไป เว้นเสียแต่ที่จะได้ลักษณะหรือความสามารถเฉพาะตัวในสายเลือดนั้นๆมาด้วย
ยกตัวอย่างก็เช่นพลอย
พลอยได้เชื้อสายผีนางรำมาจากแม่ ส่วนแม่ของเธอก็ได้มาจากยาย สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่น
…เด็กสาวที่สามารถเติบโตได้เหมือนมนุษย์ปกติทั่วไป แต่มีความสามารถของผีนางรำมาด้วย
ผีนางรำสินะ …รู้สึกว่าจะดังในไทยอยู่เหมือนกัน แต่ก็สงสัยมาได้สักพักแล้วว่าผีนางรำนี่มันทำให้คนกลัวได้ตรงไหน?
แม้จะขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘ผี’ แต่ในสมัยนี้ก็เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ถ้าตัดคำนั้นออกก็จะเหลือแค่ ‘นางรำ’ เท่านั้น
ซึ่ง…ก็ทำให้ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ว่ามันน่ากลัวตรงไหน
น่าจะให้อารมณ์เหมือนแดนเซอร์มากกว่ารึเปล่านะ…
…นอกเรื่องไปหน่อย กลับมาที่ประเด็นเดิม
แล้วสำหรับนักเรียนทุกคนในโรงเรียนนี้ก็ล้วนแต่เป็นประเภทที่หนึ่งด้วยกันทั้งนั้น ย้ำว่า ‘ทุกคน’ เลยนะ …ส่วนใครคนไหนเป็นภูตผีแบบไหนก็อย่างที่เคยว่าไว้
ไปที่ประเภทที่สอง
ประเภทที่สอง สิ่งมีชีวิตลี้ลับตัวเป็นๆ หรือวิญญาณ
จำพวกนี้คือภูตผีแท้ๆที่มีมาเนิ่นนานตามความเชื่อต่างๆ บางตนก็มีอายุหลายร้อยปี ให้ผมยกตัวอย่างก็เช่นพวกผีเจ้าที่อะไรประมาณนั้น
ไม่สามารถเติบโต จะคงไว้ซึ่งรูปลักษณ์ก่อนที่จะเสียชีวิต
สิ่งเหล่านั้นคือประเภทที่สอง ที่ทำความเข้าใจง่ายกว่าประเภทแรกเยอะ
แต่เอาเถอะ อีกหน่อยก็คงชินไปเอง อย่างตัวผมก็ชินแล้วด้วย
เพราะตั้งแต่เกิดมา โลกก็เป็นแบบนี้ไปแล้วล่ะนะ
เด็กที่ชื่อขุนทองคนนี้ก็คือวิญญาณอย่างแน่นอน
อืม…ดูจากที่ลอยได้กับร่างกายโปร่งใสก็ควรจะรู้ได้ตั้งนานแล้วแหละ ไม่รู้จะอธิบายให้ยืดยาวไปทำไม
“ขอเราชิมสักหน่อยได้มั้ย? แม่หนูนางรำ”
“เชิญเลยค่ะ ยังไงก็เป็นขนมที่ใช้รับแขกอยู่แล้วด้วย”
“งั้นไม่เกรงใจล่ะนะ”
ว่าแล้วขุนทองก็ลอยละล่องไปหยิบขนมที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งๆที่เป็นวิญญาณที่ไม่มีกายเนื้อแท้ๆ แต่กลับกินขนมที่มีอยู่จริงๆได้ซะงั้น?
หลักการมันมั่วซั่วไปหน่อย แต่เอาเถอะ โลกที่มีภูตผีเดินกันป้วนเปี้ยนแบบนี้ จะไปหาหลักการอะไรให้มันก็ใช่ที
“ง่ำๆ …นี่เหรอสภานักเรียน พึ่งมีมาเมื่อเร็วๆนี้เองสินะ?”
“ประมาณสามปีที่แล้วค่ะ ช่วงที่หนูยังอยู่มอสอง ครูใหญ่ก็พึ่งตั้งสภานักเรียนขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือนักเรียนและแก้ปัญหาต่างๆค่ะ”
“เราก็พึ่งเคยมานี่แหละ สมัยแม่เจ้าเรียนอยู่ก็รู้สึกจะมีอะไรคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน แต่ไม่ได้เรียกว่าสภานักเรียนนี่สิ”
“ฮุฮุ เรื่องนั้นหนูไม่รู้หรอกค่ะ คงต้องไว้ไปถามคุณแม่อีกที”
คุยกันสบายใจเลยนะ แถมกินขนมรับแขกแบบนี้ คงไม่ได้แค่มานั่งเล่นใช่มั้ย?
ผมลุกขึ้นก่อนเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามที่ขุนทองกำลังกินขนมด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
ทันทีที่มองมาทางผม ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นหรี่เล็กเหมือนมองเศษขยะ
“อะไรกัน? เจ้าน่ะ กลิ่นอายน่าขยะแขยงจัง”
“ประธานนักเรียน คริสโตเฟอร์”
ผมแนะนำตัวไปอย่างนั้น
ขุนทองปัดมือ
“แล้ว?”
“เป็นวิญญาณสินะ นายน่ะ”
ขุนทองฟังแล้วก็เชิดหน้าขึ้น
“ถ้าลูกตาเจ้ามองได้แค่นั้นก็ไปตายไป๊!”
“พูดกับคนแก่กว่าให้มันดีๆหน่อยได้มั้ย?”
“คนที่ต้องพูดให้มันดีๆมันเจ้าต่างหาก! เห็นอย่างนี้แต่เราอายุจะร้อยปีแล้วนะ! เราสิงอยู่โรงเรียนนี้ตั้งแต่ตอนเจ้ายังเป็นวุ้นเลยด้วยซ้ำ!”
“เห ผีเจ้าที่สินะ?”
“ไม่ใช่!!!”
…ถ้าไม่ใช่ผีเจ้าที่แล้วมันตัวบ้าอะไรล่ะเนี่ย
ผมสงสัยจนออกทางสีหน้า
พลอยก็ส่งรอยยิ้มมาทางผม
“พี่ขุนทองเป็น ‘กุมารทอง’ ค่ะ”
“กุมารทอง?”
“แหม ประธานก็หัดรู้จักผีไทยให้หลายๆอย่างหน่อยสิคะ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็เรียกเขาเป็นผีเจ้าที่ไปซะหมด”
“จะอย่างไหนมันก็เรียกว่าผีเจ้าที่ได้ไม่ใช่เหรอ?”
ยิ่งกับตัวตรงหน้าที่บอกว่าสิงที่โรงเรียนนี้มานานแล้วด้วย
พลอยส่ายศีรษะ
“ไม่ได้หรอกค่ะ กุมารทองก็ส่วนกุมารทอง ผีเจ้าที่ก็ส่วนผีเจ้าที่”
“เหรอ…แล้วไอ้กุมารทองนี่ทำอะไรได้? และที่สำคัญคืออยากให้ช่วยเรื่องอะไร?”
จบประโยค ขุนทองก็ทุบอย่างแรงจนโต๊ะรับแขกสะเทือน
“นี่เจ้าเรียกกุมารทองว่าไอ้เรอะ!!!?”
“โอ้ว โทษที กับคนที่พึ่งเจอครั้งแรกด้วยนี่นะ งั้น…กุมาร?”
“ทองหายไปไหน!?”
“ขุนทอง?”
“ไม่ได้หมายถึงชื่อว้อย!!!”
…เป็นบ้าอะไรของมันล่ะเนี่ย ไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด
พลอยสะกิดขุนทองเบาๆ
“อย่าไปถือสาเลยค่ะ คนต่างชาติก็งี้แหละ”
“หึ! งั้นเราจะไม่เอาความก็ได้! นี่เพราะแม่หนูนางรำขอมาหรอกนะ!”
…ก็ไม่รู้หรอกนะว่าคุณท่านอายุกี่ร้อยปี แต่เห็นเด็กตัวเท่าหัวเข่าทำท่าอวดเบ่งแล้วปวดขมับไงชอบกล
หลังจากนั้นพลอยก็อธิบายให้ผมฟังว่ากุมารทองคืออะไร
ส่วนใหญ่ก็มีเรื่องความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องจนขี้เกียจจะสนใจ แต่ถ้าที่จับใจความได้ กุมารทองจะเป็นวิญญาณของเด็กที่ตายในท้องแม่และถูกหมอผีจับไปทำเป็นเครื่องรางของขลัง
บางกรณีก็เป็นแค่วิญญาณเด็กที่สิงอยู่ในรูปปั้นหรือตุ๊กตาแทน …อ๋า เจ้าตุ๊กตาเด็กกวักมือที่เห็นแถวศาลเจ้าคือของกุมารทองเองหรอกเรอะ?
หลักๆก็ประมาณนั้น
ส่วนหมอนี่ ก็เป็นแค่วิญญาณเด็กสิงในตุ๊กตาเท่านั้น ไม่มีสตอรี่ชวนน้ำตาคลอว่าตายตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แต่อย่างใด
“เข้าใจรึยัง!? ไอ้หรั่ง!”
“ลองเรียกว่าไอ้หรั่งอีกทีสิ เดี๋ยวจะไปทุบตุ๊กตาให้เละเลยค่อยดู”
ขุนทองยิ้มเยาะ
“โห? ยโสโอหังจริงนะ? ข้าจะไม่ถือก็แล้วกัน เพราะเห็นว่าเป็นเด็กหรอกนะ”
“เป็นผู้ใหญ่มากค่ะ พี่ขุนทอง”
พลอยเอ่ยชมพร้อมลูบศีรษะ
ขุนทองทำหน้าดีใจ ยิ้มอย่างไร้เดียงสา
…รบกวนช่วยทำตัวให้เหมือนผู้ใหญ่หน่อยได้มั้ย? ที่ผมเห็นตอนนี้ก็แค่เด็กกะโปกที่กระตือรือร้นอยากเป็นผู้ใหญ่เท่านั้นเอง
ขณะกำลังคิดเช่นนั้น ซึ่งคนของประเทศนี้คงมองว่าผมเป็นพวกลบหลู่สมควรตายนั่นเอง…
ขุนทองก็ชี้มาที่หน้าผม
“แล้วเจ้าล่ะเป็นตัวอะไร? ไม่ใช่ผีที่มีต้นกำเนิดจากความเชื่อไทยสินะ?”
“ก็ฉันไม่ใช่คนไทยนี่นะ แต่บอกไปแกก็ไม่รู้จักหรอก”
ดูเหมือนผมจะเปลี่ยนมาพูดเป็นกันเองกับกุมารทองตัวนี้ซะแล้วสิ อย่างว่าล่ะนะ มองยังไงก็เหมือนกำลังคุยกับเด็ก จะให้มีพิธีรีตองก็กระดากปาก
“หึหึหึ ดูถูกองค์ความรู้ของกุมารทองมากไปแล้วนะ! ลองว่ามาสิ! เราจะตอบให้หมดเลยว่าเจ้ามีความสามารถอะไรบ้าง!”
แน่จริงก็ช่วยสาธยายมาก่อนผมจะเฉลยได้มั้ย? ถ้าจะเก่งขนาดนั้นล่ะก็
ก็อยากเถียงไปแบบนั้นอยู่หรอก แต่แค่เด็กล่ะเนอะ เอาไรมาก
ผมถอนหายใจ
“ซาตาน”
“หือ?”
“ฉันเป็นลูกของซาตาน”
นั่นคือสิ่งที่ผมเป็น เขาสีแดงสดคล้ายเลือดสองอันที่อยู่บนศีรษะตั้งแต่เกิด ก็ได้มาจากพ่อแท้ๆ
…ข้อมูลกำพืดของผมเอาไว้แค่นี้ก่อน ยังไม่สำคัญเท่าไร
มาดูดีกว่าว่ากุมารทองตนนี้จะเก่งอย่างที่ว่าไว้หรือไม่
ผมผสานมือพลางจ้อง
ขุนทองตาค้างไปราวสองวิเห็นจะได้…
“ตัวบ้าอะไรวะนั่น?”
“ฉันก็ถามคำถามนั้นตอนได้ยินคำว่ากุมารทองเหมือนกัน”
“เป็นผีเหรอ?”
“เทพปีศาจ”
“ตกลงเป็นเทพหรือปีศาจ?”
“แล้วแกจะแยกหาเตี่ยแกเรอะ? บอกว่าเทพปีศาจก็เทพปีศาจสิ”
“แม่หนูนางรำ เด็กนี่มันสติไม่สมประกอบรึเปล่า?”
“ที่ไม่สมประกอบมันแกต่างหากว้อย!! ไอ้คนแก่ในร่างเด็ก!!!”
“ประธานอย่าตะโกนสิคะ”
เฮ้อ…ให้ตายสิ
ผมสบถในใจก่อนหันไปหาดิวที่นั่งอยู่ข้างๆ
อืม กินขนมไม่สนใจรอบข้างเหมือนเดิม เจริญเถอะ
กุมารทองก็ทำหน้าผวาไปเล็กน้อย
ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่มาขอความช่วยเหลือ สภานักเรียนนั้นถึงจะมีหน้าที่ช่วยเหลือนักเรียน แต่ถ้าเป็นบุคลากรในโรงเรียนก็เข้าข่ายต้องช่วยเช่นกัน
…ถึงไม่รู้ว่าอย่างกุมารทองนี่จะนับจริงๆรึเปล่าก็เถอะ
ผมพ่นลมหายใจเพื่อปรับอารมณ์ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง
“แล้วอยากให้ช่วยเรื่องอะไร?”
“ทะ ทำไมจู่ๆจริงจังขึ้นมาล่ะเนี่ย?”
“ฉันก็แค่แยกงานกับเรื่องส่วนตัวได้ ส่วนแกจะกวนส้นเท้ายังไงก็นับว่าเป็นคนที่ฉันต้องช่วย”
“พูดว่ากวนตีนเลยก็ได้มั้ง? ไม่ไหวเลยนะพวกฝรั่งเนี่ย ชอบเลี่ยงคำหยาบอยู่เรื่อยเล้ย~”
“งั้นหยุดกวนตีนแล้วรีบๆพูดธุระมาซะ”
คิดว่าผมอยู่ไทยหลายปีแล้วจะไม่ได้ซึมซับคำหยาบมาเลยหรือไงกัน? ก็แค่มีตำแหน่งเป็นประธานนักเรียนเลยจำเป็นต้องพูดอย่างนอบน้อมเท่านั้น
ถ้าเป็นไปได้ผมก็จะไม่ใช้ล่ะนะ…
“ไอ้ควายธนูนี่ทำเต๊ะท่าอะไรอยู่เนี่ย?”
“พ่**”
…หลุดปากไปเฉยเลยแฮะ
กุมารทองปากสั่นระริก ก่อนแผดเสียงด้วยความโกรธ
“มาด่าพ่อเราแบบนี้ได้ไง!? นี่มันลบหลู่กันชัดๆ ไปตายเลยไป๊!”
“แกก็หยุดพูดนั้นพูดนี่แล้วรีบๆบอกธุระมาสักทีได้มั้ย!? หา!!?”
“แต่เมื่อกี้ประธานก็พูดแรงไปหน่อยนะคะ?”
ผมมองพลอยที่แทรกมาแบบนั้น
“ก็หมอนี่เรียกฉันว่าควายธนูก่อนไม่ใช่หรือไง?”
“แล้วประธานรู้จักควายธนูเหรอคะ?”
…ก็จริงแฮะ ได้ยินคำว่าควายเลยของขึ้นไปหน่อย ว่าแต่ควายธนูมีความหมายอะไรด้วยเหรอ?
พลอยที่รู้ว่าผมกำลังสงสัยก็เอ่ย
“ควายธนูเป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่งน่ะค่ะ”
“งั้นก็ไม่ใช่คำด่าหรอกเหรอ?”
“เอ่อ…เรื่องนั้น สำหรับประธานอาจจะเป็นคำด่าก็ได้มั้งคะ…”
เด็กสาวนางรำออกอาการไม่แน่ใจ
กุมารทองก็ชี้หน้าผม
“ก็เขาเจ้ามันเหมือนเขาควายไงเล่า! ไอ้ควายธนูเอ๊ย!!”
“…ถ้าแกสู่สุคติเมื่อไหร่ ฉันจะไปขอให้คนรู้จักลากแกลงนรกแน่ ไอ้กุมารทองนี่”
สุดท้ายก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องช่วยกุมารทองตนนี้เรื่องอะไรกันแน่…
เคสที่ 1 (กุมารทอง) /มีต่อ