สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 844 เซวียนผิงโหวออกโรง! (1)

บทที่ 844 เซวียนผิงโหวออกโรง! (1)

บทที่ 844 เซวียนผิงโหวออกโรง! (1)

ทวนของกู้เจียวเจาะทะลุเข้าไปในรถม้าโดยตรงและโดนแขนเสื้อของชายคนนั้น

โดนหรือเปล่านะ

ขณะที่กู้เจียวกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด วินาทีต่อมา เงาของใครบางคนกำลังเข้ามาทางด้านหลังของกู้เจียวอย่างรวดเร็ว

กู้เจียวรีบเก็บทวนขึ้นแล้วกระโดดไปข้างหน้า

เจ้าเฮยเฟิงวิ่งออกมารับกู้เจียวได้อย่างทันท่วงที

กู้เจียวหยิบปลายทวนขึ้นมาดู และพบว่าไม่มีเลือดติด แสดงว่าแทงไม่เข้าสินะ

สมกับเป็นฉู่เผิงเฟย ไม่แปลกที่เขาจะจัดการจิ้งคงซึ่งในฝันเขาได้ขึ้นเป็นแม่ทัพแล้ว

“กล้าดีอย่างไรถึงลอบโจมตีพ่อบุญธรรมของข้า!”

คนที่พูดคือทหารมือกระบี่หนุ่มที่เกือบจะทำให้กู้เจียวได้รับบาดเจ็บ

เขามีนามว่าจ้าวอัน เป็นบุตรบุญธรรมของฉู่เฟยเผิง และเขาเพิ่งอายุยี่สิบในปีนี้

เขาจ้องกู้เจียวและเจ้าเฮยเฟิงอยู่นานสองนาน ก่อนจะโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “ข้าไม่อยากได้ทวนของเจ้าหรอก เพราะข้าน่ะ ถูกฝึกให้ใช้กระบี่ ข้าอยากได้ม้าของเจ้า! ไว้ข้ากำจัดเจ้าได้เมื่อไหร่! ม้าตัวนั้นจะต้องเป็นของข้า!”

จากนั้นเจ้าเฮยเฟิงก็เริ่มแผ่รังสีอำมหิต!

จ้าวอันเห็นดังนั้นจึงคลี่ยิ้มบาง “ต้องแบบนี้สิ ถูกใจข้า!”

“ถูกใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่ของเจ้าสักหน่อย” กู้เจียวเอ่ย

“ก็ถ้าข้าแย่งมันมาได้ มันต้องเป็นของข้า! เจ้าหนู! ดูนี่นะ!” จ้าวอันไม่เถียงกับกู้เจียวต่อ เขากระโดดขึ้นแล้วชักกระบี่พุ่งไปทางกู้เจียว

กู้เจียววาดทวนไปรอบด้านเพื่อเป็นการป้องกัน แล้วจ่อไปที่เอวของอีกฝ่าย

แววตาของจ้าวอันวูบไหวทันทีก่อนจะรีบถอนกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว หันไปด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของกู้เจียว จากนั้นเงยหน้าขึ้นเพื่อเล็งเข้าไปที่บริเวณศีรษะของกู้เจียว

การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาจึงมุ่งเป้าไปที่ร่างกายส่วนบนของกู้เจียวเนื่องจากเขาตั้งใจจะขโมยเจ้าเฮยเฟิงมาเป็นของตัวเองจริงๆ

คงไม่ใช่ในฝันหรอกมั้ง

ไม่ ไม่ใช่ความฝัน ในฝันจ้าวอันแทบไม่ได้มีโอกาสแสดงฝีมือต่อสู้ด้วยซ้ำ

หลังจากทั้งสองต่อสู้กันหลายรอบ แม้ว่าศิลปะการต่อสู้ของจ้าวอันนั้นสูงกว่าที่คาดไว้ แต่ก็ไม่ได้ลำบากเกินไป

ทันใดนั้น กู้เจียวกระโดดขึ้นตีลังกากลางอากาศ และฟาดทวนพู่แดงไปทางอีกฝ่ายอย่างเต็มแรง!

กระบี่ของจ้าวอันถูกหักออกเป็นสองท่อน!

“เป็น… เป็นไปได้อย่างไร” จ้าวอันมองดูกระบี่ของตัวเองด้วยสายตาไม่เชื่อ

เขาเป็นถึงมือกระบี่ที่อายุน้อยที่สุดของแคว้นเหลียงเชียวนะ…

กู้เจียวไม่สนใจว่าเขาจะเป็นอะไร ยังคงกระหน่ำทวนอย่างดุเดือดใส่เขาอยู่อย่างนั้น

และในตอนนั้นเอง มีคนจากในรถม้ายิงลูกดอกเข้าที่ปลายทวนของกู้เจียว

แรงจากลูกดอกนั้นนอกจากจะทำให้ทิศของทวนเปลี่ยนไปแล้ว มันยังแรงพอที่ทำให้แขนของกู้เจียวเริ่มมีอาการชาเล็กน้อย

แม้ร่างท่อนบนของกู้เจียวจะออกแรงเยอะมากไม่ได้ แต่หากพวกเขาคิดว่านั่นทำให้กู้เจียวยอมปล่อยจ้าวอันให้ลอยนวลไป พวกเขาก็คิดผิดแล้วล่ะ

สายตากู้เจียวเล็งไปที่กระบี่หักบนพื้น จากนั้นใช้เท้าเตะให้กระบี่ขึ้นมา ก่อนจะออกแรงเตะอีกครั้งเพื่อให้กระบี่พุ่งไปด้านหน้า!

และแล้วมันก็พุ่งเข้าแทงแผ่นหลังของจ้าวอันเต็มๆ !

สิ้นเสียงกรีดร้อง ร่างของจ้าวอันล้มลงตรงบริเวณด้านหน้ารถม้า

เขาอาเจียนเป็นเลือด ตะเกียกตะกายยื่นมือไปทางรถม้า “พ่อบุญธรรม… ”

และในตอนนั้นเองที่มีเสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากรถม้า “จะออกไปไหม ขืนมัวแต่ดูแบบนี้อยู่ พันธมิตรของเราได้แตกสลายแน่”

กู้เจียวกำทวนในมือแน่น ฉู่เฟยเผิงกำลังพูดกับใครอยู่นะ

ทันใดนั้น เงาสามร่างพุ่งออกมาจากทางด้านหลังค่ายทหาร

การเคลื่อนไหวนี้มัน…

แต่เดี๋ยวก่อนนะ วิญญาณทมิฬถูกหลงอีจัดการไปแล้วไม่ใช่รึ

จู่ๆ มีวิญญาณทมิฬสามคนได้อย่างไร

ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า

สามคนนี้… มาจากสำนักเดียวกันกับวิญญาณทมิฬและหลงอี!

ในที่สุดกู้เจียวก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกคุ้นกับกระบวนกระบี่ของจ้าวอัน ที่จริงแล้วมันไม่ใช่กระบวนกระบี่ แต่เป็นกระบวนท่าการต่อสู้

เพียงแต่หากเทียบกันแล้ว จ้าวอันยังสู้วิญญาณทมิฬไม่ได้

ส่วนสามคนที่เพิ่งปรากฏนี้ ทำเอากู้เจียวเริ่มรู้สึกประหม่าและกดดันอย่างมาก

ตอนกู้เจียวอยู่ที่แคว้นเจา มองว่าดาวโจรนั้นคือปรมาจารย์แห่งการต่อสู้ แต่พอมาวันนี้ ต้องยกให้วิญญาณทมิฬจริงๆ

มือกระบี่ทั้งสามคนนี้แต่ละคนมีพลังใกล้เคียงกับวิญญาณทมิฬ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เหนือกว่ากัน แต่ถ้าทั้งสามคนร่วมมือกัน พวกเขาจะมีพลังมากกว่าวิญญาณทมิฬอย่างแน่นอน

ดูเหมือนว่า สถานการณ์จะ… เริ่มไม่ดีแล้วสินะ

อีกด้านหนึ่ง เหล่าทหารม้าเฮยเฟิงก็กำลังลุยศึกกันอย่างสุดความสามารถ

ทั้งเสียงกลองสงครามที่ถูกตีให้ดังสนั่น บวกกับเสียงการเชือดเฉือนกันของอาวุธที่ก้องไปทั่ว

ทหารที่เฝ้ายามอยู่บนหอคอยประตูเมืองได้แต่มองดูเหล่าทหารม้าเฮยเฟิงด้านล่างที่กำลังต่อสู้อย่างขะมักเขม้น

ทั้งที่จริงพวกเขาต้องรับผิดชอบด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่ากองทัพทหารม้าเฮยเฟิงเข้ามาช่วยแทน

ในตอนแรก มีเพียงไม่กี่คนที่เฝ้าดูการต่อสู้ด้วยความรู้สึกสะใจล้วนๆ ที่เห็นพวกทหารม้าเฮยเฟิงได้ชำระแค้นให้พวกเขา แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นว่าความรู้สึกซาบซึ้งใจและสะเทือนใจดันเข้ามาแทน

ต้องเป็นคนที่เคยเข้าใกล้ความตายจริงๆ ถึงตระหนักได้ว่าการมีชีวิตอยู่นั้นเป็นความโชคดีแค่ไหน

ทหารม้าเฮยเฟิงเคยต่อสู้กับพวกเขา และสังหารสหายของพวกเขา แต่ในขณะนี้ ทหารม้าเฮยเฟิงกำลังต่อสู้ในนามของพวกเขา

ทหารม้าเฮยเฟิงกำลังนองเลือดแทนพวกเขา

และเป็นอีกครั้งที่พวกเขาเห็นภาพทหารม้าเฮยเฟิงถูกพวกแคว้นเหลียงจัดการ หนึ่งในพวกเขาที่มองดูอยู่เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป เขายกกำปั้นขึ้นมาต่อยกำแพงพร้อมกับตะโกนร้อง “น่าโมโหชะมัด!”

เขาหันไปถามแม่ทัพของพวกเขา “แม่ทัพจี้! เราลงไปช่วยพวกเขากันเถอะ!”

ทหารอีกคนกัดฟันแล้วพูดเสริม “นั่นสิ! แม่ทัพจี้! พวกทหารแคว้นเหลียงมีจำนวนมากเกิน หากเป็นแบบนี้ต่อไป ทหารม้าเฮยเฟิงต้องแย่แน่ๆ !”

“ทุกคนต้องยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอรับคำสั่ง!” แม่ทัพจี้กำหมัดแน่น

ทุกคนต่างร้องตะโกนพร้อมกัน “ท่านแม่ทัพ!”

สีหน้าของแม่ทัพจี้เริ่มสับสน “นี่เป็นคำสั่ง!”

คิดหรือว่าเขาไม่อยากลงไปช่วย

คิดหรือว่าเขาไม่อยากขับไล่พวกแคว้นเหลียงออกไปจากแผ่นดินแคว้นเยี่ยน

เขาคิดแม้กระทั่งในฝันด้วยซ้ำ!

แต่เขาไม่อาจทำลายแผนทั้งหมดได้! พวกเราต้องเก็บแรงเอาไว้เพื่อรอเวลาสำคัญ หากพวกเขาส่งกองกำลังออกรบในตอนนี้ ใครจะรับมือกับพวกตระกูลหันและแคว้นจิ้นที่กำลังมุ่งหน้ามาทางเมืองฉวี่หยางล่ะ!

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่กลัวตาย!

แต่ยังตายไม่ได้ต่างหากล่ะ!

พวกเขาต้องไม่หุนหันพลันแล่น อย่าให้ความพยายามของทหารม้าเฮยเฟิงนั้นเปล่าประโยชน์!

ดวงตาของเฉิงฟู่กุ้ยเปลี่ยนเป็นสีแดง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ แต่เขาก็ยังยืนหยัดต่อไปและไม่ปล่อยให้ตัวเองล้มลง

การโจมตีแบ่งออกเป็นสี่ฝั่ง ซ้าย ขวา กลาง และหลัง

กองกำลังสามกองแรกมีหน้าที่รับผิดชอบในการต่อสู้ หากสามกองแรกเกิดล้มลงเป็นจำนวนมาก กองกำลังที่อยู่ด้านหลังจะเข้ามาแทนที่ทันที

บนถนนสายยาวในเมือง ทหารกองหลังเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าทีละก้าว

ซึ่งหมายความว่าแนวหน้าเริ่มสูญเสียกำลังพลมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้พวกเขากระตือรือร้นที่จะต่อสู้มากเพียงใด แต่ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้วนมาถึงตัวเองเลย

ดวงตาของทุกคนเป็นสีแดงเมื่อเห็นสหายของพวกเขาออกไปข้างนอก ก่อนจะถูกหมอหามกลับเข้ามาในสภาพที่เต็มไปด้วยโลหิต

เหล่านายหมอรีบนำทหารที่ได้รับบาดเจ็บไปยังค่ายพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียง

“ยังมีอีก ยังมีอีก ไปตามคนมาเพิ่มเร็ว! พวกเจ้าสองคนไม่ต้องไปแล้ว!”

ในช่วงสงคราม ทั้งหกแคว้นมีกฎร่วมกันคือ หนึ่ง ห้ามทำร้ายนักการทูต สอง ห้ามฆ่าบุคลากรทางการแพทย์

แต่ถึงกระนั้น อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

นายหมอสองคนที่มีรอยฟันที่แขนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “พวกเราไม่เป็นไรขอรับ!”

พวกเขาทั้งสองได้รับบาดเจ็บเพียงผิวเผินก็จริง และเนื่องจากตอนนี้ขาดแคลนกำลังคน จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมให้พวกเขาไปกลับจากสนามรบต่อ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset