บทที่ 184 หน้าที่ที่พี่สาวให้
“เชี่ย กำไลหยกที่สวยอะไรขนาดนี้!”
พอเปิดออกดูทุกคนก็ตะลึงอึ้งไป
โดยเฉพาะตอนที่เห็นใบเสร็จที่เฉินเกอถือมาก็ยิ่งตะลึงกว่าเดิม
แค่ของ 2 ชิ้นนี้ก็ 2 แสนกว่าแล้ว
“พวกเราก็อยากเห็น!”
ทางฝั่งวิดิโอคอลนั้นทำเอาหลินเจียวยกเท้าหนี
หยางฮุยกับหลี่ปินถือกำไลหยกให้กล้องเพื่อที่จะได้อีกฝั่งเห็น มีเพียงรูมเมทคนอื่นๆที่ถือกล่องดูเท่านั้น
แค่กล่อง 2 กล่องนี้ก็ดูไม่ถูกแล้ว
ตอนนี้ทุกคนเชื่อฝังใจอย่างไม่มีข้อสงสัยแล้ว เหล่าเฉินไม่มีทางปฏิเสธได้
ทันใดนั้นผู้ชายที่เฝ้าประตูก็ตะโกนขึ้น “เหล่าเฉินกลับมาแล้ว! รีบเก็บเร็วเข้า!”
หยางฮุยรีบวางสาย คนอื่นก็รีบเอาของวางกลับ
พวกเขาหยิบกำไลหยกวางกลับที่เดิมเป็นพัลวัน
ตอนนั้นเองเฉินเกอถึงเปิดประตูเข้ามา
พอเห็นรูมเมทต่างมองเขาเป็นตาเดียว เฉินเกอก็พูดออกมาอย่างสงสัยว่า “ดูบ้าอะไร หน้าฉันมีเงินแปะอยู่รึไง!”
“เหล่าเฉิน นายพูดมาตามจริง ตอนนี้นายมีเงินเยอะมากใช่ไหม?”
หยางฮุยถามอย่างแปลกใจ
“ห๊ะ? ฉันไปมีเงินที่ไหน?” เฉินเกอตอบกลับ
“เฮ้ย ยังจะมาปิดบังพวกเราอีก ทุกคนจับเขา!”
พวกหยางฮุยกรูกันเข้ามากดเฉินเกอไว้กับเตียง
ถอดกางเกง ตีก้น สารพัด
“ยอมแล้ว ฉันยอมแพ้แล้ว ใช่ๆๆ ตอนนี้ฉันมีเงินแล้ว!”
เฉินเกอหมดหนทางปิดบังแล้วจริงๆ
สิ่งที่เขาทำช่วงนี้ทำให้ดึงดูดความสนใจของพวกหยางฮุยกับหลี่ปินจริงๆ
ใช่ จู่ๆเด็กนักเรียนจนๆคนหนึ่งจะกลายเป็นคนที่มีเงิน แถมยังไม่ได้มีแค่เงินแต่ยังมีอำนาจด้วย
เดิมทีเขาไม่อยากบอกความจริงกับพวกหยางฮุยเพราะกลัวว่าความรู้สึกฉันท์พี่น้องระหว่างพวกเขาหมดลงเหมือนตอนนี้
แต่ตอนนี้ แม้ว่าตัวเขาเองยังไม่อยากบอกให้ใครรู้ว่าเป็นคุณชายเฉิน
พวกเขาก็เดาได้ 80% แล้ว
ดังนั้นเฉินเกอจึงพูดเพียงว่าตัวเองมีเงินจริง แต่ว่าเงินมาได้ยังไงนั้นรวมถึงตัวตนของเขา ให้ตายยังไงเฉินเกอก็ไม่มีทางยอมรับ
พวกเฉินเกอก็หมดหนทาง
เพียงแต่หลังจากวุ่นกันเสร็จแล้วก็ต่างดีใจกับเฉินเกอด้วย
ส่วนเฉินเกอก็มั่นใจแล้วว่าต่อจากนี้ไปจะต้องช่วยเหลือกันและกัน
จากนั้นถ้าพวกหยางฮุยแบล็คเมล์เฉินเกอ 2-3 วันจะใช้ชีวิตอยู่โรงเรียนได้ยังไง เมื่อก่อนเพื่อนในหอต่างช่วยเหลือเฉินเกอ ตอนนี้เฉินเกอเลี้ยงบ้างแน่นอนว่าไม่มีปัญหา
หลังจากทบทวนเสร็จเฉินเกอกับเพื่อนก็ออกไปเที่ยวกันถึงจะกลับมาพักที่หอ
ส่วนเรื่องที่เฉินเสี่ยวพี่สาวเฉินเกอมาจินหลิง
กลัวว่าจะย้อนเวลากลับไปตอนที่เฉินเกออยู่ที่ห้องน้ำอีกครั้ง
ระหว่างที่ออกจากหอไปห้องน้ำใหญ่ เฉินเกอก็รับสายเพื่อถามว่าเฉินเสี่ยวจะมาเมื่อไร เขาจะไปรับ
สรุปคือพี่เฉินเสี่ยวบอกว่ามาไม่ได้แล้ว
“น้องชายตอนนี้ที่บ้านมีแขกคนสำคัญมา พ่อเลยสั่งให้พี่ไปอยู่เป็นเพื่อนเกรงว่าจะไปไม่ได้แล้ว พ่อจึงสั่งให้พี่มาบอกเรื่องนั้นทางโทรศัพท์แทน!”
“ได้ครับ!”
เฉินเกอรู้สึกผิดหวังเพราะเขาคิดถึงพี่สาว
“นายยังจำเมื่อก่อนตอนที่เราอยู่บ้านเกิดที่จินหลิงได้ไหมว่าพ่อมีเพื่อนร่วมรบอยู่คนหนึ่ง?”
เฉินเกอพยักหน้า “ผมจำได้!”
เรื่องนี้มันยาว เรื่องบางเรื่องตอนที่คุยโทรศัพท์กับพ่อ เขาบอกว่าตระกูลเฉินของเราเลี้ยงลูกแบบคนจนมาโดยตลอด
พ่อเองก็เช่นกัน
ตอนนั้นที่พ่อถูกเลี้ยงมาเหมือนเด็กจนๆพ่อสอบเข้ามหาลัยไม่ติดก็เลยถูกคุณปู่ไล่ไปเป็นทหาร ตอนนั้นแหละถึงได้คบกับเพื่อนร่วมรบคนนี้
หลังจากที่เป็นทหารมาแล้ว 2 ปีก็มาซื้อที่ที่บ้านเกิด
ตอนนั้นจนมาก เงินสักแดงก็ไม่มี
โชคดีที่ได้เปิดร้านขายหมั่นโถวโดยใช้เงินปลดประจำการทหาร ต่อมาเพราะพ่อยุ่งเรื่องชาวบ้านไปตีขโมยคนหนึ่งจนพิการเลยต้องเอาร้านหมั่นโถวชดใช้
แถมยังต้องกู้หนี้ต่างประเทศ
ตอนนั้นพ่อจนมากจนไม่มีเงินเลยจึงไปหาเพื่อนร่วมรบคนนี้
เพื่อนร่วมรบคนนี้เป็นคนการปกครองเขตอำเภอ บ้านมีฐานะ พ่อแม่ต่างเป็นข้าราชการแน่นอนว่ามันดีมากๆ
ผลคือไปตามหาเพื่อนตามที่อยู่ในการปกครองเขตอำเภออยู่หลายรอบก็ไม่เจอ
ตอนนั้นก็ท้อใจไปแล้ว
เมื่อก่อนตอนนับกันเป็นพี่น้อง ยังดันไปสัญญากันว่าถ้าอนาคตมีลูกชายทั้งคู่จะให้เป็นพี่น้องกัน หากเป็นหญิง 1 ชาย 1 ก็จะให้แต่งงานกัน
เหอะๆ ฟังดูเหมือนเรื่องตลก
สรุปคือตั้งแต่ตอนนั้นมาก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันแล้ว
จนกระทั่งพ่ออายุ 22 คุณปู่กลับบอกพ่อว่าพ่อเป็นทายาทเศรษฐี
จากนั้นพ่อก็เริ่มก่อตั้งธุรกิจแล้วสืบทอดตระกูล
จนกระทั่งหลังจากคลอดพี่สาวกับตัวเขามา พ่อกับแม่ก็ต้องไปทำธุรกิจที่ไกลๆไปด้วยแล้วก็ต้องกลับบ้านแล้วเริ่มรับมือกับการเลี้ยงดูลูกแบบจนๆไปด้วย
แน่นอนว่าตั้งแต่ที่เฉินเกอจำความได้ก็มีอากงหวูกับอาม่าหวูที่คอยดูแลตัวเขา ส่วนพ่อกับแม่ก็ต้องทำงานใช้หนี้ต่างประเทศโดยตลอด
ปีหนึ่งก็กลับมาเยี่ยมลูก 2-3 ครั้งต่อปี
เรื่องราวก็ผ่านไปคร่าวๆเช่นนี้
ส่วนเรื่องที่เขาเจอกับเพื่อนร่วมรบอีกครั้ง
คือตอนที่เขาอยู่มัธยมต้นกำลังขึ้นมัธยมปลายปีนั้นถึงถูกพ่อเรียกตัวไปพบเพื่อนร่วมรบคนนั้นครั้งหนึ่ง เพื่ออยากจะขอให้เขาทำเรื่องเข้าโรงเรียนให้ตัวเขา ยังไงซะผลการเรียนของตัวเขาก็ไม่เลว
ผลคือก็ได้เจอกับพวกเขาที่ลานจอดรถของบ้าน พวกเขากลับบอกว่าวุ่นกับการประชุม ไว้ค่อยมาคุยเรื่องเก่าๆเอาหัวข้อสนทนาตกไป
สุดท้ายเฉินเกอก็ใช้ผลการเรียนของตัวเองสอบเข้ามัธยมปลาย
ความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนร่วมรบคนนั้นจึงจบลงแค่นั้น
คุณลุงคนนั้นเหมือนสมาชิกขององค์กรที่ไม่ธรรมดา จะดูถูกบ้านของเฉินเกอก็ไม่แปลก
“ทำไมหรอครับพี่?” เฉินเกอเก็บความคิดกลับไปแล้วถาม
“คืออย่างงี้ พ่อชอบพร่ำพูดอยู่ตลอดว่าคิดถึงเพื่อนเก่า แต่แกก็รู้ว่าพ่อไม่สนใจเรื่องทรัพย์สินชาติตระกูลอยู่แล้ว ตอนนี้การเลี้ยงลูกแบบจนๆก็จบลงแล้ว ฐานะตอนนี้ของพ่อไม่สามารถไปหาพวกเขาด้วยตัวเองได้ แม้เมื่อก่อนเขาจะดูถูกพ่อ แต่พ่อของเรากลับคิดเสมอว่าเขาดี มันก็ไม่มีใครแล้ว พี่เองก็ไปหาพวกเขาไม่ได้ เฮ้อ ดังนั้นเรื่องนี้คงต้องเป็นนายแล้วล่ะ!”
“ปิดเทอมฤดูร้อนนี้นายก็กลับจินหลิงไปจัดการเรื่องแผงขายของด้วย หาเวลาว่างไปอยู่บ้านสักระยะเพื่อไปเยี่ยมเพื่อนเก่าของพ่อ แล้วยังมีเพื่อนคนพิเศษอีก ถึงตอนนั้นพี่จะส่งพัสดุไปให้ ข้อมูลของเพื่อนคนพิเศษที่นายยังไม่เคยเจออยู่บนนั้นหมดแล้ว ก็ไปเยี่ยมให้หมด ช่วยอะไรได้ก็ช่วยไปเถอะ!”
“ส่วนอากงหวูอาม่าหวูที่คอยดูแลพวกเรามาโดยตลอด นายช่วยสร้างบ้านบนเขาให้พวกเขาแล้วมอบเงินก้อนให้ลูกพวกเขาด้วย!”
พี่สาวพูดเรื่องจนจบถึงจะวางสาย
เฉินเกอรู้สึกคิดไม่ตก
ว่าเพื่อนคนพิเศษของพ่อคือใคร?
เมื่อคิดไม่ออกเลยเลิกคิดไปแล้วกลับหอ
เรื่องหลังกลับหอ ทุกคนต่างรู้แล้ว
ไม่มีอะไรพูดทั้งคืน
พอถึงเช้าวันต่อมา เฉินเกอก็ยังคงหอบหนังสือไปแย่งที่ทบทวนที่ห้องสมุด
คนยังเยอะเหมือนเดิม
เฉินเกอเดินไปที่นั่งติดหน้าต่างเช่นเดิม
พอมองที่ตรงนี้ก็พาลให้นึกถึงฉินหยา เพราะพวกเขาทั้งคู่เจอกันครั้งแรกที่นี่
เขาอยากชดใช้กำไลหยกให้เธอ แต่ตอนนี้เขาหาเธอไม่เจออีกทั้งยังไม่มีช่องทางติดต่อเธออีกด้วย
ดังนั้นที่เฉินเกอมาห้องสมุดก็เพื่ออยากลองใช้ดวงดูว่าจะได้เจอเธอไหม
ดังนั้นหลังจากนั่งลงแล้วสายตาของเฉินเกอก็คอยสอดส่องไปรอบๆ
เวลาเดียวกันนั้นเองที่อีกมุมหนึ่งของห้องสมุดมีกลุ่มผู้หญิง 5-6 ที่ดูมีนิสัยเฉพาะตัวนั่งอยู่
สายตาทุกคู่นั้นต่างจับจ้องมาที่เฉินเกอ
“ฮิๆ เธอเดาดูว่านายจนๆนั่นกำลังมองหาใครอยู่?” หญิงสาวคนหนึ่งจับแก้มพลางยิ้ม