“ฮ่าฮ่าฮ่า ! ”
ปิศาจเงาที่ก่อตัวขึ้นมาที่ด้านหลัง เสี่ยหยู่ได้หัวเราะออกมาอย่าง บ้าคลั่ง
“ในที่สุด ! ในที่สุดผนึกก็ถูกปลดออก ! ฮ่าฮ่า ! ในที่สุดข้าก็ได้มายัง โลกนี้ ! พวกเจ้าสองคน แม้ว่าพวกเจ้าจะต้องตายด้วยน�ามือของข้าใน วันนี้ แต่ข้าก็ต้องขอบคุณพวกเจ้า ไม่งั้นแล้วข้าไม่รู้เลยว่าผนึกจะถูก ปลดออกตอนไหนและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ข้าจะได้มายังโลกนี้ได้ ! ” เงานั้น มองไปที่หวังเย่าและเสี่ยวซวีก่อนจะพูดขึ้นมา
หวังเย่าและเสี่ยวซวีไม่ได้พูดอะไรออกมา ทั้งสองขมวดคิ้วและ มองไปที่เงานั้น
“ถึงข้าจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่อาจจะใช้พลังออกมาได้ ตอนนี้คงต้อง ใช้ร่างนี้ไปก่อน” ระหว่างที่พูดนั้นเงานั่นก็ได้พุ่งเข้าไปในร่างของเสี่ยหยู่
ชุดสีแดงของเสี่ยหยู่ได้กลายเป็นสีดําไปในทันที ใบหน้าของเขามี เส้นเลือดสีดําปรากฏขึ้นมา ตอนนี้เสี่ยหยู่ดูไม่ต่างอะไรจากปีศาจเลย แม้แต่น้อย
ตาทั้งสองข้างของเสี่ยหยู่กลายเป็นสีขาว ผมสั้นๆ เริ่มงอกยาว ออกมา
รูปลักษณ์ของเสี่ยหยู่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
หมอกดําโดยรอบถูกสูบเข้าไปในตัวพร้อมคลื่นพลังของร่างนั้นที่ ปะทุออกมา ตอนนี้มันทะลุไปถึงระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดไปแล้ว ไม่รู้ เลยว่ามันขึ้นไปถึงระดับเทพแล้วรึยัง
แต่หวังเย่ารู้สึกว่าเสี่ยหยู่ในตอนนี้เมื่อเทียบกับเสวียนจู่แล้วก็ยัง ต่างกันอย่างมาก นี่คือสิ่งที่สัญชาตญาณของเขาบอกมา
บางทีความแข็งแกร่งของเสี่ยหยู่ในตอนนี้อาจจะยังไม่ถึงระดับ เทพแต่ก็ถือได้ว่าเป็นกึ่งเทพแล้ว
นี่คือศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่หวังเย่าเคยเจอมา
เขารู้ว่าเสี่ยหยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เสี่ยหยู่คนเดิม เขาได้รวมร่างกับ บางอย่างเข้า ตอนนี้ตัวตนที่แปลกประหลาดคงยึดร่างเสี่ยหยู่เอาไว้แล้ว จนทําให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมา
“อสูรทมิฬ ! ” เสี่ยหยู่เปิดปากพูดพร้อมกับสะบัดมือก่อนที่จะมี อสูรทมิฬรูปร่างน่ากลัวจะปรากฏตัวขึ้น
อสูรทมิฬมีตัวสีดําทมิฬสมชื่อ มันเหมือนกับสัตว์อสูรที่ก่อตัวขึ้น จากพลังอันมืดมิด
คลื่นพลังระดับศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาแสดงให้เห็นว่าอสูรทมิฬนี้ไม่ธร รามดา
“ความแข็งแกร่งของมันลดลงหรือ ? ” เสี่ยหยู่มองไปที่อสูรทมิฬ ข้างกายแล้วพูดขึ้นมา
“ถึงจะโดนจํากัดเพราะโลกแต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร แม้ว่าพลังจะ ลดลงแต่ความแข็งแกร่งระดับนี้ก็เพียงพอจะรับมือได้ หลังจากที่ทําการ วิเคราะห์โลกนี้เสร็จและได้พลังทั้งหมดกลับมา งั้นโลกนี้ก็จะอยู่ภายใต้ การควบคุมของข้า ! ”
สิ่งที่เสี่ยหยู่พูดมานั้นฟังดูอันตรายและน่ากลัวอย่างมาก
จากคําพูดเหล่านี้ก็ทําให้หวังเย่าพอเข้าใจได้บ้าง
สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดที่ยึดร่างเสี่ยหยู่ไปนั้นไม่ได้มีตัวตนอยู่ ในโลกนี้รึมิติลับมากมายที่โผล่มาในโลกนี้ มันน่าจะมาจากที่อื่น มัน อาศัยสื่อตัวกลางเพื่อเข้ามาในโลกนี้ แต่พลังของมันอ่อนแอลงเพราะ ข้อจํากัดของโลก ผลก็คือทําให้ความแข็งแกร่งของมันลดลงไปอย่าง มากแต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นถึงระดับกึ่งเทพ
ไม่รู้เลยว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันจะสูงแค่ไหน
หวังเย่ามองไปที่อสูรทมิฬ รูปลักษณ์ของมันคล้ายกับอสูรทมิฬใน มิติมืดมิด แต่แก่นแท้ของมันกลับดูต่างกันออกไป
หมอกดําในตัวมันเป็นคลื่นพลังปีศาจบริสุทธิ์ อสูรทมิฬทั่วไปไม่ อาจจะมาเทียบได้เลย
“ก่อนที่พวกเจ้าจะตาย ราชาคนนี้อยากจะใช้พวกเจ้าทดสอบ ความแข็งแกร่งของร่างนี้” เสี่ยหยู่มองไปที่หวังเย่าก่อนจะพูดขึ้นมา
หวังเย่าเดาว่าชายคนนี้คงเป็นราชาของที่ไหนสักที่ ไม่งั้นแล้วคงไม่ ทําตัวเย่อหยิ่งแบบนี้
กรร !
อสูรทมิฬที่อยู่ข้างๆ ได้คํารามออกมา
ถึงได้ยินสิ่งที่เสี่ยหยู่พูดมา แต่หวังเย่าก็ยังคงยิ้ม เขาไม่ได้ใส่ใจ อะไรมาก อย่าคิดว่าเขาอยู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป
หวังเย่ามองไปที่เสี่ยวซวี เสี่ยวซวีเข้าใจความคิดของเขาทันที เธอ เองก็อยู่ขั้นสูงสุดของระดับศักดิ์สิทธิ์ คู่ต่อสู้ของเธอคืออสูรทมิฬที่อยู่ขั้น สูงสุดของระดับศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
“งั้นแสดงให้ฉันดูทีว่าแกมีอะไรดีถึงได้กล้าพูดแบบนั้น” หวังเย่า มองไปที่เสี่ยหยู่แล้วพูดขึ้น
“ฮ่าฮ่า ฉันต้องบอกว่าแกนี่มันน่าสนใจจริงๆ ” เสี่ยหยู่มองไปที่ หวังเย่าและแสดงท่าทีสนใจขึ้นมา
หวังเย่าไม่ได้ตอบอะไรกลับ เขาได้ใช้เพลิงมังกรออกมาทันที
เขาไม่คิดจะเรียกตือโป๊ยก่ายรึการ์ฟิลด์ออกมา เสี่ยวซวีน่ะอยู่ขั้น สูงสุดของระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่พวกนั้นยังไม่ขึ้นไปถึงระดับศักดิ์สิทธิ์ เลย ดังนั้นจึงไม่อาจจะช่วยอะไรได้มาก
ด้วยเหตุนี้หวังเย่าจึงไม่คิดจะเรียกพวกนั้นออกมา ด้วยความ แข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสองคนแล้วมันน่าจะเพียงพอสําหรับการต่อสู้ ในตอนนี้
หวังเย่าไม่กังวลเรื่องเสี่ยวซวีเลยแม้แต่น้อย
ต้องบอกว่าในระดับเดียวกันนั้นอสูรมิติน่ะไร้เทียมทาน แม้ว่าอสูร ทมิฬจะอยู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดแต่ก็ไม่อาจจะทําอะไรเสี่ยวซวีได้
บางทีด้วยการที่เสี่ยวซวีได้รับสืบทอดพลังจากอสูรมิติตัวอื่น มาแล้วก็อาจจะทําให้ฆ่าอสูรทมิฬตรงหน้าได้ทันที
ดังนั้นมันจึงไม่จําเป็นต้องกังวลอะไร
ตอนนี้ที่หวังเย่าต้องทําก็คือต้องตั้งสมาธิและจดจ่ออยู่กับศัตรู ตรงหน้าเขา
ตูม !
เพลิงมังกรได้ระเบิดออกมาก่อนจะเข้าไปกลืนกินร่างของเสี่ยหยู่ เอาไว้
“นี่คือไฟของโลกนี้งั้นหรือ ? แม้ว่าจะดูทรงแต่โชคร้ายที่มันทํา อะไรฉันไม่ได้ ! ”
เสียงดังขึ้นมาจากเปลวไฟตามมาด้วยร่างที่ไร้รอยขีดข่วนที่แผ่ หมอกดําออกมาจากตัวไม่หยุด หมอกดํานั้นได้เข้ากดดันเพลิงมังกรจน สุดท้ายไฟก็ดับลง
หวังเย่าแค่แปลกใจเล็กน้อย เมื่อเพลิงมังกรไม่อาจจะทําอะไรได้ งั้นเขาก็ต้องใช้วิธีอื่น
อีกฝ่ายไม่น่าจะต้านทานการโจมตีทุกอย่างได้ มันต้องมีทางที่จะ ฆ่าอีกฝ่ายอยู่สักวิธีหนึ่ง
หวังเย่าทําการดับเพลิงมังกรในมือ แต่เขากลับยังนิ่งอยู่
“ทําไม ? แกยอมแพ้แล้วรึไง ? ” เมื่อเห็นว่าหวังเย่าดับไฟในมือลง เสี่ยหยู่ก็ส่ายหน้าและแสดงท่าทีผิดหวังออกมา เขาเหมือนคิดว่า หวังเย่าน่ะยอมแพ้แล้ว
แต่หวังเย่าจะยอมแพ้ได้ยังไง เขาแค่รวบรวมสมาธิก็เท่านั้น….