ท้องฟ้าด้านนอกสว่างจ้า ตำบลซื่อฟางกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เสียงกุบกับของรถม้าดังอยู่เนืองๆ
ทว่าสถานที่น่ารังเกียจทางด้านหลังอย่างหุยชุนฟางกลับเข้าสู่ห้วงนิทรา
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังคงวนเวียนอยู่ในสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งตอนนี้หลินเมิ้งหยายังมิอาจดึงตัวเองกลับมาได้
โดยเฉพาะคำพูดของนายท่านแห่งหุยชุนฟางที่กล่าวว่าเขาปล่อยนางเพื่อทดแทนบุญคุณของใครบางคน
สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกว่าชีวิตบนโลกใบนี้มิได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่คิด
เจ้าของหุยชุนฟางในตำบลเล็กๆ แถบชายแดนแห่งนี้ล่วงรู้ตัวตนของนาง คราวนี้นางมิกล้าทำเรื่องบุ่มบ่ามอีกต่อไป มิเช่นนั้นคนที่ต้องลำบากคงเป็นคนรอบตัวนาง
ถึงอย่างไรหงอวี้เองก็เคยช่วยเหลือนาง ฉะนั้นนางจึงไม่อยากถือสาหาความ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องการติดต่อกับนางอีก
“อืม…ขอบใจเจ้ามาก ซู่เหมย พวกเราไปกันเถิด”
หงอวี้และซู่เหมยเปลี่ยนเป็นชุดเหมือนหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาแล้ว ชีวิตนางโลมตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้นางมีเงินเก็บมากมาย
ดวงตากลมโตเปล่งประกายราวหยดน้ำของซู่เหมยหันไปมองหงอวี้ ก่อนจะเลื่อนมองคนที่เหลืออีกสามคน
“ไม่ ข้าไม่ไปกับเจ้า! คุณชาย คุณหนู ซู่เหมยเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ ข้าขอร้อง ได้โปรดพาข้าไปกับพวกท่านด้วยได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาและหงอวี้ต่างคิดไม่ถึงว่าซู่เหมยจะคุกเข่าต่อหน้าพวกนางพร้อมทั้งส่งเสียงสะอื้นไห้เช่นนี้
ใบหน้าของหงอวี้ซีดเผือด แม้นางจะรู้ว่าตนเองไม่มีหน้าไปพบบิดามารดาหรือญาติพี่น้องแล้ว แต่คำว่าหญิงสาวบริสุทธิ์จากปากซู่เหมยทำให้นางเจ็บปวดใจยิ่งนัก
“ซู่เหมย นางคือพี่สาวของเจ้า”
หลินเมิ้งหยาอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ตอนนี้นางอยากกลับไปหาสถานที่สงบๆ เพื่อครุ่นคิดเรื่องราวว้าวุ่นในหัว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าซู่เหมยจะปักใจอยู่กับพวกนางแล้ว ซ้ำยังร้องไห้คร่ำครวญประหนึ่งจะขาดใจ
“ข้า…ชิงเกอ...”
หงอวี้รู้สึกลำบากใจยิ่งนัก ปมด้อยในหัวใจทำให้นางไม่กล้าแตะต้องตัวซู่เหมย
อารมณ์ของหลินเมิ้งหยาดิ่งลงถึงขีดสุด สายตาเย็นชาชำเลืองมองซู่เหมย ก่อนจะสาวเท้าออกไป
“หากพึงใจจะติดตาม เช่นนั้นก็มาเถิด”
หลินเมิ้งหยากล่าวทิ้งไว้แต่เพียงเท่านี้ โดยมิหันหน้ากลับไปมองอีก
ช่างเถิด ในเมื่อช่วยมาแล้ว เช่นนั้นก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด
ภายในโรงเตี๊ยม พวกท่านกัวกำลังนั่งกินข้าว ทันทีที่จ้าวเฟยเห็นพวกหลงเทียนอวี้ มุมปากพลันหยักยกขึ้น ก่อนที่ตัวคนจะรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับ
“คือว่า…ต้าหยวน ข้าขออภัยจริงๆ เมื่อคืนข้าดื่มหนักไปหน่อย หลังจากกลับมาแล้วข้าเพิ่งจำได้ว่าเจ้ายังอยู่ที่หุยชุนฟาง”
จ้าวเฟยยกมือลูบหน้า สีหน้ากระดากอายระคนรู้สึกผิด
สถานที่เช่นหุยชุนฟางล้วนกินเนื้อไม่คายกระดูก หากมิใช่เพราะดื่มหนักจนเกินไป เช่นนั้นเขาไม่มีทางพาใครไปที่นั่นเป็นอันขาด
ฉะนั้นหลังจากกลับมาแล้วเขาจึงถูกท่านกัวดุด่าถึงหนึ่งชั่วยาม
โชคดีเหลือเกินที่หยวนเหมยกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อเหลือบไปเห็นหยวนหลินและเด็กสาวหน้าตาน่ารัก จ้าวเฟยจึงยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ
เพราะเหตุนี้หยวนเหมยจึงหายเข้าไปในหุยชุนฟาง ดูเหมือนความสัมพันธ์ของสองพี่น้องคู่นี้จะไม่เลวเลย
“ไม่เป็นไร ต่อจากนี้ไปพวกเจ้าอย่าได้ไปที่นั่นอีก ท่านกัว ขออภัยที่ทำให้ทุกคนต้องเสียเวลา ข้าจะไปเก็บของเดี๋ยวนี้ อีกเดี๋ยวพวกเราออกเดินทางกันได้เลย”
หลินเมิ้งหยาไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป หลังจากคารวะท่านกัวแล้ว นางรีบพาอาซิ่วขึ้นไปยังชั้นสอง
“ไม่รีบ ญาติผู้พี่ของเจ้ายังไม่กลับมา”
ท่านกัวสูบยาสูบ ทว่าดวงตาคมกริบกลับทอดลงบนร่างของอาซิ่ว
แม้อาซิ่วจะไม่ค่อยปรากฏตัวให้ใครพบ แต่ถึงกระนั้นท่านกัวก็เคยเห็นนางอยู่สองสามหน ฉะนั้นเพียงมองปราดเดียวก็จำได้ทันทีว่านางคือหลานสาวของตงฟางสวี
เฮ้อ สุดท้ายเผือกร้อนก็ถูกโยนเข้ามาในขบวนการค้าของเขาจนได้
“พี่ชาย ท่านไปเก็บของก่อนเถิด ข้าขอคุยธุระกับท่านกัวก่อน”
เด็กฉลาดเช่นอาซิ่วหันไปส่งยิ้มให้ท่านกัว แม้ทั้งสองจะไม่เคยทำความรู้จักกันมาก่อน แต่นางหาได้หวาดหวั่นไม่ ฉะนั้นผู้ใหญ่และเด็กสาวต่างนั่งถลึงตาจ้องมองกันอยู่ที่โต๊ะ
“อืม ห้ามเสียมารยาทเด็ดขาด”
หลินเมิ้งหยารู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย แม้จะกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังรับรู้ได้ว่าตำบลซื่อฟางมีภยันอันตรายอยู่ทั่วทุกสารทิศ
อ้างอิงจากคำพูดของมั่วฉิน นางรู้ได้ทันทีว่าเพียงตนเองเหยียบเข้ามายังตำบลซื่อฟาง นางก็ถูกหุยชุนฟางจับตามองแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นหุยชุนฟางยังเกี่ยวข้องกับป๋ายหลงและเฮยฮู่
จากคำพูดของนายท่านและหงอวี้ นางพอจะเดาได้ว่ามีคนไม่น้อยต้องการจับตัวนาง บางทีการเดินทางในคราวนี้อาจถูกศัตรูจับจ้องอยู่นานแล้ว หากเป็นอย่างที่คิด เกรงว่าหนทางข้างหน้าจะต้องยิ่งอันตรายเป็นแน่
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางมักรู้สึกเสมอว่าตนเองเสมือนแมลงที่ติดอยู่บนใยแมงมุม
ความกลัวอย่างไม่มีสาเหตุพุ่งผ่านเข้ามาทั่วทุกสารทิศ นางไม่อาจรู้ที่มาที่ไปของความกลัวเหล่านั้น แต่หัวใจมักรู้สึกกังวลอยู่เสมอ
ทว่าหากสามารถนำยากลับไปและทำให้พระอาการของฮ่องเต้ดีขึ้นได้ เช่นนั้นนางและหลงเทียนอวี้จะมีคนคอยปกป้อง
“นายหญิงของข้า ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ป๋ายซ่าวรีบดึงตัวหลินเมิ้งหยาเข้าไปข้างใน
ก้มๆ เงยๆ มองสำรวจว่าหลินเมิ้งหยามีเนื้อหนังมังสาหลุดหายไปบ้างหรือไม่
เพียงได้เห็นรอยดำคล้ำรอบดวงตาของนาง หลินเมิ้งหยารู้ได้ทันทีว่าเมื่อคืนป๋ายซ่าวอดหลับอดนอนทั้งคืน
เมื่อเทียบกับหงอวี้และมั่วฉินแล้ว สาวใช้ของนางมักนำพาความรู้สึกอบอุ่นหัวใจมาให้เสมอ
“ข้าไม่เป็นไร ขอโทษเจ้าด้วย”
ยื่นมือเข้าไปกอดป๋ายซ่าวอย่างไม่บอกไม่กล่าว หลินเมิ้งหยากระซิบคำขอโทษเสียงแผ่ว
หากมิใช่เพราะเพิ่งหนีจากอันตรายมาได้อย่างฉิวเฉียดเมื่อคืน เช่นนั้นนางคงไม่รู้สึกตัวหรอกว่าตนเองเห็นแก่ตัวมากเพียงไหน
“เหตุใดจึงพูดเช่นนี้เล่าเจ้าคะ นายหญิง ข้ามิอาจรับไว้หรอก อีกอย่างท่านหาได้ทำสิ่งใดผิด ท่านเองก็มีเรื่องที่ท่านต้องจัดการ ข้าเป็นเพียงสาวใช้ ฉะนั้นจึงมิอาจช่วยเหลือท่านได้และทำได้เพียงรอท่านอยู่ที่นี่เท่านั้น”
ป๋ายซ่าวลูบหลังหลินเมิ้งหยาเบาๆ พลางตอบเสียงอ่อนโยน
นางเกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถ มิเช่นนั้นนางคงไม่ปล่อยให้นายหญิงต้องไปเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงผู้เดียว
หลินเมิ้งหยาหลับตาลง นางรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน
หวนกลับไปนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา หากมิใช่เพราะหลงเทียนอวี้ ชิงหูและคนที่อยู่รอบตัวนาง เช่นนั้นนางจะผ่านเรื่องเหล่านั้นมาได้อย่างไร
“เอาล่ะ นายหญิงรีบไปอาบน้ำล้างหน้าเถิดเจ้าค่ะ ใบหน้าท่านเปรอะเปื้อนหมดแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปไหนมาทั้งคืน”
แม้จะถูกหลินเมิ้งหยาทิ้งไว้ที่โรงเตี๊ยมเพียงคนเดียว แต่ป๋ายซ่าวรู้ดีว่านายหญิงทำไปเพราะต้องการปกป้องตนเอง
แม้จะเป็นห่วง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกขุ่นเคือง
ทว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกว่าวันนี้นายหญิงแปลกไปกันนะ?
อาบน้ำล้างหน้าและเปลี่ยนเป็นชุดสะอาดสะอ้าน แต่หัวใจของหลินเมิ้งหยากลับขุ่นมัว
ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ที่มักแย้มยิ้มอยู่เสมอกลับกลายเป็นเคร่งขรึม แม้แต่ป๋ายซ่าวเองก็รู้สึกไม่คุ้นชิน
“น้องชาย น้องชาย เจ้ากลับมาแล้วหรือไม่?”
เพิ่งจะเก็บของเสร็จและนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด ชิวอวี้พลันพุ่งตัวเข้ามาจากทางด้านนอก
หลินเมิ้งหยาเลิกเปลือกตาขึ้น ปรายตามองเขาเล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไร ซ้ำยังยกชาขึ้นจิบ
ชิวอวี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าปฏิกิริยาของนางจะเย็นชาเช่นนี้
“นายหญิงของเจ้าเป็นอะไรไป?”
ชิวอวี้ติดตามหลินเมิ้งหยาไปตลอดทั้งคืน เมื่อเห็นว่านางเข้าไปในหุยชุนฟางและไม่ได้กลับออกมา เขาจึงรู้สึกกังวลอย่างยิ่ง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะฟุบหลับอยู่บนหลังคา โชคดีเหลือเกินที่ไม่ตกลงมาตายเสียก่อน
จนกระทั่งเช้าวันถัดมา เขาสบโอกาสแอบเข้าไปในหุยชุนฟาง แต่เขากลับไม่พบแม้แต่เงาของหลินเมิ้งหยา ดังนั้นเขาจึงรีบร้อนกลับมาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าหลินเมิ้งหยากลับมาแล้วหรือไม่
โชคดีที่มิเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“ชู่ อย่าเพิ่งถามเลยเจ้าค่ะ ใต้เท้าชิวรีบไปเก็บของก่อนเถิด ท่านกัวส่งคนมาบอกว่ากำลังจะออกเดินทางแล้ว”
ป๋ายซ่าวย่อมเข้าใจความคิดของหลินเมิ้งหยาดีที่สุด นางดันร่างชิวอวี้ออกจากห้องและปล่อยให้เจ้านายของตนเองนั่งเงียบๆ คนเดียว
ครุ่นคิดอยู่นาน แม้หลินเมิ้งหยาจะมีสมองอันชาญฉลาดและระบบเทพอย่างเซินหนงคอยช่วย แต่นางก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าใครกำลังจับตามองนางอยู่
ฮองเฮาและไท่จื่อหรือ? ไม่หรอก ตอนนี้พระอาการของฮ่องเต้กำลังดีขึ้น แม้พระราชวังจะใหญ่โต แต่ถึงกระนั้นความลับก็ยังผ่านไปทางสายลมได้อยู่ดี
ช่วงก่อนคนของไท่จื่อถูกกำจัดไปจำนวนมาก เขาแทบไม่มีกำลังมากพอจะรับมือกับขุนนางในเมืองหลวง เช่นนั้นเขาจะมือยื่นมือยาวมาถึงตำบลเล็กๆ แห่งนี้ได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับหุยชุนฟาง ป๋ายหลงและเฮยฮู่ นอกจากไท่จื่อจะสิ้นพระชนม์ แต่เชื่อว่าเขาไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่ ยิ่งไปกว่านั้นหากเขามีความโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้จริง เช่นนั้นหลงเทียนอวี้จะยอมปล่อยเขาไปกระนั้นหรือ?
แต่ถ้าหากมิใช่ฮองเฮาและไท่จื่อ เช่นนั้นนางไปขัดแข้งขัดขาใครกันเล่า?
เท่าที่ดูจากรูปการณ์แล้ว หุยชุนฟางเพียงแค่ต้องการจับกุมนางเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นนายท่านยังเห็นแก่หน้าใครบางคนจึงปล่อยนางออกมา
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายตรงกันข้ามมิได้ต้องการให้นางตาย
คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันแน่น เป็นครั้งแรกที่สมองที่เคยลื่นไหลกลับสับสนมึนงงราวกับว่านางกำลังแหวกว่ายอยู่วังวนที่ไร้ทางออก
อยากจะบ้าตาย! ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!
หลงเทียนอวี้ยืนอยู่หน้าประตู เขามองหลินเมิ้งหยาซึ่งมีท่าทางหงุดหงิดด้วยความสงสัย
จากคำพูดของจ้าวเฟย เขาจึงได้รู้ว่าเมื่อคืนตนเองบุกเข้าไปหานางรำคนหนึ่งบนเวที
สวรรค์ล้วนทราบ ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยสนใจพวกนางโลมเลยแม้แต่น้อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสุราไม่กี่ไหจะทำให้เขาสูญเสียความรู้สึกนึกคิด
แม้เขาจะเคยชินกับสามพระตำหนักหกหมู่เรือนของเสด็จพ่อมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเมิ้งหยาเขากลับรู้สึกผิดขึ้นมาเสียดื้อๆ
อยากเข้าไปอธิบายให้นางฟังเหลือเกิน แต่เขากลัวว่านางจะไม่เชื่อเขาเหมือนอย่างเมื่อวาน