ดินแดนป่ารกชัฏ ณ วิหารที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังป่ารก
จินคุนนั่งขัดสมาธิใบหน้าซีดเผือด เขายังไม่หายดีจากการกินอาหารเผ็ดจัดที่นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว ทุกวันนี้พอเห็นอาหารเผ็ดเมื่อใด หัวใจของเขาก็แทบกระโดดออกจากอกด้วยความหวาดกลัวไปเสียทุกครั้ง
“หืม นี่ข้าลืมบอกเรื่องสำคัญบางอย่างกับสองคนนั้นหรือเปล่านะ”
จินคุนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาโพลงด้วยความตกใจ แต่เขาก็ส่ายหน้าพลางผลักความคิดดังกล่าวกลับเข้าไปในใจตามเดิม ก่อนจะเลิกกังวลใจเรื่องนี้ เขาส่งผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพสองคนไปยังดินแดนแสนภูผาเพื่อชิงหมื่นไฟประลัยกัลป์ ดังนั้นคนทั้งคู่คงไม่ไปยังจักรวรรดิวายุแผ่วเพื่อก่อเรื่องหรอกกระมัง
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้สองคนนั้นไปก่อเรื่องอะไรเข้า ก็ยังมีคางคกขาเดียวขั้นเซียนเทพไปด้วยอยู่ดี แม้จะต้องเผชิญหน้ากับอสูรเวทขั้นเซียนเทพของร้านนั่น พวกเขาก็น่าจะจัดการได้
พอคิดได้ดังนี้จินคุนจึงหลับตาลงแล้วฝึกปราณต่อไป
….
โฮก!
เสียงคำรามดังลั่นของมังกรประกาศชัดว่ามังกรเพลิงได้มาถึงนครหลวงแล้ว
ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารของมันทำให้จีเฉิงเสวี่ยหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
มันคือมังกรเพลิงขั้นเซียนเทพ เป็นอสูรเวทขั้นเซียนเทพที่มีสายพันธุ์มังกร
จีเฉิงเสวี่ยแทบหมดกำลังใจในการต่อสู้ นครหลวงจะไปทานทนอสูรเวทขั้นเซียนเทพถึงสองตัวได้อย่างไร
มังกรเพลิงกระพือปีกหนึ่งทีพลางกวาดตามองจีเฉิงเสวี่ยและคนอื่นด้วยสายตาโหดเหี้ยม ก่อนจะหันไปมองคางคกขาเดียวที่เพิ่งตกกระแทกพื้น
ม่านตาของมังกรหดแคบเมื่อเห็นชายถือมีดทำครัวสีทองในมือกำลังกระโจนเข้าใส่คางคกขาเดียว
นั่นมันไอ้มนุษย์คนนั้นนี่!
ไอ้มนุษย์ใจหยาบที่ขโมยเปลวเพลิงแห่งสวรรค์และปฐพีที่ข้าเพียรเฝ้ามานานแสนนานไป
โฮก!
เสียงมังกรคำรามด้วยโทสะดังขึ้นอีกครั้งจนทำให้สวรรค์สั่นสะเทือน จู่ๆ ปากของมันก็เต็มไปด้วยเพลิงร้อนแรงที่เกือบทำให้อากาศรอบๆ บิดเบี้ยว
ดวงตาของมังกรทอแสงโหดร้าย จากนั้นมันก็พ่นเปลวไฟในปากไปยังผู้คนที่อยู่บนกำแพงเมือง
‘เดี๋ยวนี้แค่เห็นพวกมนุษย์ข้าก็หงุดหงิดใจแล้ว ไปตายเสียให้หมดไป!’
มังกรเพลิงคิดพลางคำรามอยู่ในใจ
จีเฉิงเสวี่ยและคนอื่นๆ ที่อยู่บนกำแพงเมืองตัวแข็งทื่อ ขณะมองเปลวเพลิงซึ่งอัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่บดบังท้องฟ้าเสียจนมิด
“ข้าจะต้องมาตายเช่นนี้หรือ” จีเฉิงเสวี่ยพึมพำด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า
ลมหายใจร้อนระอุของมังกรเพลิงขั้นเซียนเทพไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับเขาจะทานทนได้ กำแพงเมืองคงค่อยๆ หลอมละลายหายไปเมื่อเปลวเพลิงพุ่งเข้าปะทะ
เมื่อเวลานั้นมาถึงแม้แต่ศพของผู้เป็นจักรพรรดิก็คงจะไม่เหลือซาก
“ข้ายอมรับชะตากรรมนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
พอเปลวเพลิงสีแดงของมังกรเพลิงพุ่งเข้ามาใกล้ จีเฉิงเสวี่ยก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหมดหวัง
ปัง!
เปลวเพลิงร้อนระอุเข้าล้อมกำแพงเมืองเอาไว้ ส่งไอร้อนให้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะกระจายไปในอากาศ
ตอนนั้นเองมังกรเพลิงก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างขึ้นมาฉับพลัน มันจึงเลิกพ่นไฟ เปลวเพลิงสลายหายไปเหลือเพียงไอระอุที่ก่อตัวเป็นเมฆร้อนเท่านั้น
จีเฉิงเสวี่ยค่อยๆ ลืมตาที่ปิดแน่นขึ้น เขาไม่ใช่คนเดียวที่รอดชีวิต แต่บรรดาทหารคนอื่นๆ ที่อยู่บนกำแพงเมืองต่างก็ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจเช่นกัน
เหตุใดพวกเขาจึงยังรอดอยู่ได้ พวกเขายังไม่ตายจริงๆ เสียด้วย!
จีเฉิงเสวี่ยลุกขึ้นยืนพลางมองขึ้นข้างบน แล้วก็เห็นยันต์มากมายลอยอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา
ยันต์นั้นเปี่ยมไปด้วยพลังกล้าแกร่งลึกลับ เมื่อพลังของยันต์แต่ละแผ่นเชื่อมต่อกัน มันก็ก่อเกิดเป็นปะรำประหลาดหน้าตาเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ปะรำนั้นทำหน้าที่ปกป้องพวกเขาจากลมหายใจของมังกรเพลิง ไม่ให้พวกเขาถูกเผาเป็นจุณ
ที่ด้านล่างกำแพงเมืองมีผู้ฝึกตนสามคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นชายชราผมขาวคิ้วขาว ร่างกายของเขาปล่อยพลังแข็งแกร่งออกมา จากนั้นชายชราคนดังกล่าวก็ก้าวเดินไปบนอากาศ แล้วมาเผชิญหน้ากับมังกรเพลิง
“กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา เจ้าไม่มีเหตุอะไรให้ต้องระบายโทสะใส่มนุษย์ปุถุชนคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องราว ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงอสูรเวทขั้นเซียนเทพ” ผู้อาวุโสสูงสุดพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
มังกรเพลิงมองอีกฝ่ายแล้วตอบสนองด้วยการพ่นไฟร้ายกาจออกมาอีกครั้ง ทำให้อากาศรอบๆ ร้อนระอุเหมือนทะเลเดือด
ผู้อาวุโสสูงสุดกดผนึกในมือตน จากนั้นยันต์มากมายก็ปรากฏขึ้นมาบังพวกเขาจากเปลวเพลิงเอาไว้อีกครั้ง
เพลิงนั้นสลายหายไป เหลือเพียงมังกรเพลิงที่กำลังประสานสายตากับผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้น
ส่วนผู้อาวุโสสูงสุดก็ทำเพียงยิ้มกลับไปอย่างอบอุ่น
มังกรเพลิงอ้าปากคำราม มันสยายปีกเพื่อบินไปยังสมรภูมิการต่อสู้ในนครหลวง ไม่คิดแยแสชายชราอีกต่อไป
หนี่หยันและเยี่ยจึหลิงปีนไปยืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาคอยเฝ้าดูการต่อสู้ที่ดำเนินอยู่ไกลๆ สมรภูมินั้นเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพที่กำลังห้ำหั่นกัน ทำให้พวกนางไม่กล้าเข้าไปใกล้
ผู้อาวุโสสูงสุดเหาะมายืนอยู่บนกำแพงเมือง และกำลังมองดูการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไปเช่นกัน เขาไม่คิดเข้าร่วมสมรภูมิด้วยแต่อย่างใด
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านควรรีบเข้าไปช่วยนะเจ้าคะ เถ้าแก่ปู้จะไปต้านทานผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน ตายๆ!” หนี่หยันมองหน้าผู้อาวุโสสูงสุดข้างกายนางด้วยสายตากระวนกระวาย
“เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก เขากล้าขโมยหมื่นไฟประลัยกัลป์ไป แปลว่าย่อมต้องต่อกรกับพวกนี้ได้แน่ ข้ายังเข้าไปยุ่มย่ามตอนนี้ไม่ได้ ศัตรูที่แท้จริง…ยังมาไม่ถึงเลย” ผู้อาวุโสสูงสุดตอบเสียงสงบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน พลางปัดข้อเสนอของอีกฝ่ายทิ้งไป
แม้หนี่หยันจะไม่มั่นใจแม้แต่น้อยว่าปู้ฟางจะรับมือได้ แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หญิงสาวทำเพียงหันไปจับตาดูการต่อสู้ด้วยความกังวลจับจิต
…
คางคกขาเดียวตัวใหญ่เท่าภูเขากระแทกลงพื้น มันต้านทานการโจมตีของเจ้าขาวไม่ได้แม้แต่น้อย จึงไม่อาจหาโอกาสโต้กลับได้
คางคกยักษ์ร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว เผยให้เห็นน้ำเต็มปากที่มันตั้งใจจะพ่นใส่อีกฝ่าย แต่ก่อนที่จะทำสำเร็จ เจ้าขาวก็ส่งหมัดเข้าใส่ท้องของมันเสียงดังลั่น ดวงตาของคางคกยักษ์ปูดโปน จำใจต้องกลืนน้ำกลับลงท้องไป
แถมตัวมันเองยังแทบสำลักน้ำตาย
เหตุใดจึงต้องมารังแกคางคกเดียวดายเช่นข้าด้วย
ปู้ฟางจับมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมือเอาไว้มั่นจากนั้นก็พุ่งเข้าใส่คางคกขาเดียว พอเข้าไปในระยะแล้วชายหนุ่มก็กระโจนขึ้นฟ้า แล้วไปหยุดอยู่บนพุงของคางคกยักษ์พอดิบพอดี
เขาปักมีดทำครัวกระดูกมังกรทองลงบนท้องของมัน เมื่อคางคกที่กำลังดิ้นพล่านรับรู้ถึงปลายมีดที่แทงเข้ามาในท้อง มันก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่กระจายออกจากปลายมีดซึ่งสัมผัสเนื้อ ทำให้พลันเกรงกลัวขึ้นมา
อำนาจในการสยบอสูรเวทของมีดทำครัวกระดูกมังกรทองจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามขั้นปราณของปู้ฟาง แม้คางคกขาเดียวจะเป็นอสูรเวทขั้นเซียนเทพ แต่มันก็ยังรู้สึกเกรงกลัวแรงกดดันและความยิ่งใหญ่ของมีดทำครัวเล่มนี้
สมแล้วที่เป็นอสูรเวทขั้นเซียนเทพ เนื้อของมันเต็มไปด้วยพลังปราณเข้มข้น ถือเป็นวัตถุดิบชั้นยอดอย่างแท้จริง
ปู้ฟางเดินไปบนพุงของคางคกยักษ์สองสามก้าว ก่อนจะมองไปที่ขาของมัน
ขาของคางคกเต็มไปด้วยมัดกล้ามจนพลังสารัตถะทั้งหมดรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเนื้อ แม้ขาส่วนหนึ่งจะถูกเจ้าขาวตัดทิ้งไป แต่แผลนั้นก็ยังถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับร่างกายอันใหญ่โตของมัน
หากได้ขานี้มาทำอาหาร มันจะเยี่ยมยอดเพียงใดกันนะ
เมื่อคางคกยักษ์เห็นว่าปู้ฟางกำลังมองไปที่ขาของมันด้วยสายตาไม่ประสงค์ดี มันก็เริ่มดีดดิ้นอย่างบ้าคลั่ง พยายามจะกวาดขาเตะแต่ก็ถูกเจ้าขาวตรึงเอาไว้จนขยับไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ปู้ฟางจับมีดทำครัวกระดูกมังกรทองไว้แน่นแล้วกระโจนขึ้นไปในอากาศ เผชิญหน้ากับต้นขาของคางคก
เขาไม่ได้เหลียวกลับไปมองดวงตาที่รื้นน้ำตาของเจ้าคางคกแม้แต่น้อย ชายหนุ่มกระโจนขึ้นไปสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีดทำครัวในมือส่องประกายระยับ จากนั้นเขาก็ฟันมีดลงบนขาใหญ่ยักษ์ของคางคก เขาโบกสะบัดมีดทำครัวกระดูกมังกรทองใส่ขาที่มีเพียงข้างเดียวของคางคกยักษ์
อ๊บบบ!!
คางคกขาเดียวอย่างมันกลับกลายมามีชะตากรรมเช่นนี้ได้อย่างไร มันพยายามฝืนดิ้นอีกครั้ง พลางร้องอ๊บออกมาเสียงดังจนแก้วหูแทบแตก
เงาหนึ่งพุ่งออกจากปากของมัน ตัดผ่านอากาศตรงไปหาชายหนุ่ม
นี่คือการโจมตีครั้งสุดท้ายที่มันหวังว่าจะหยุดปู้ฟางไว้ได้
ทว่าทันใดนั้นแขนเหล็กก็โผล่มาจากที่ใดก็ไม่ทราบได้ แล้วหยุดลิ้นที่เพิ่งพุ่งออกจากปากของคางคกเอาไว้ คางคกยักษ์จะเก็บลิ้นกลับไปก็ทำไม่ได้เช่นกัน
วืด!
มีดทำครัวกระดูกมังกรทองตัดผ่านเนื้อบนขาอันใหญ่โตของคางคกอย่างง่ายดาย
เลือดสีแดงเข้มกระจายออกจากบาดแผล ส่วนปู้ฟางก็รีบเก็บขาคางคกที่ตัดออกมาเข้ากระเป๋าทันที
เจ้าคางคกหมดอาลัยตายอยาก มันสูญเสียขาที่มีอยู่ข้างเดียวไปเสียแล้ว พลังสารัตถะในกายแทบจะเหือดหายไปจนหมด ทันใดนั้นร่างใหญ่ยักษ์ของมันก็ค่อยๆ หดลงเรื่อยๆ
ภายในไม่กี่อึดใจ คางคกยักษ์ก็หดลงเหลือขนาดเท่าบ้านหนึ่งหลังเท่านั้น
แถมพลังของมันยังอ่อนแอลงอย่างมากอีกด้วย
เจ้าขาวสยายปีกบนหลังอีกครั้ง แสงสีเทากะพริบวาบในดวงตา
ปัง! ปัง!
เมื่อได้ยินเสียงการปะทะดังขึ้นติดกันสองครั้ง เจ้าขาวและปู้ฟางก็หันไปมองตามทิศที่เสียงส่งออกมา
ทั้งสองเห็นผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพสองคนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏปลิวกระเด็นไปในอากาศ พร้อมกระอักเลือดออกมาชุดใหญ่ จากนั้นก็กระแทกลงบนพื้นอย่างรุนแรง จนเกิดเป็นหลุมใหญ่สองหลุม พร้อมฝุ่นที่ลอยฟุ้งไปทั่ว
เจ้าดำค่อยๆ เยื้องย่างไปข้างหน้าเหมือนแมวพร้อมเลียอุ้งเท้าไปด้วย มันหันมามองเจ้าขาวและปู้ฟางพลางกลอกตาใส่
โฮก!
เสียงมังกรคำรามดังลอยข้ามฟ้ามา
ปู้ฟางมุ่นคิ้วเมื่อสัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุที่กระจายออกจากร่างของมังกรเพลิงซึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
มังกรเพลิงกระพือปีกพลางอ้าปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวคมกริบ จากนั้นก็พ่นไฟร้อนเหมือนนรกใส่ปู้ฟาง ความร้อนจากปากของมันมากพอที่จะทำลายทุกอย่างให้กลายเป็นจุณได้เลยทีเดียว
ปู้ฟางโบกมือเรียกกระทะกลุ่มดาวเต่าดำออกมา มันค่อยๆ ขยายขนาดใหญ่ขึ้นแล้วมาลอยอยู่เหนือศีรษะ ปัดป้องเปลวเพลิงจากปากมังกรออกจากตัวชายหนุ่ม
“ไอ้มังกรเพลิงขั้นเซียนเทพนี่ออกจากหลุมเพลิงมาทำไม” ปู้ฟางพึมพำกับตนเอง ดูประหลาดใจเล็กน้อย
เจ้าขาวสยายปีก ตั้งใจจะพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า แต่กลับถูกปู้ฟางหยุดเอาไว้ก่อน ดวงตาจักรกลของเจ้าขาวหันมามองชายหนุ่มด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าปู้ฟางจะหยุดมันไว้ทำไม
มุมปากของปู้ฟางยกขึ้น ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าดำ
“เจ้าดำ อยากกินซี่โครงมังกรขั้นเซียนเทพเปรี้ยวหวานหรือไม่”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ปู้ฟางพูด เจ้าดำที่กำลังเดินย่องไปข้างหน้าเหมือนแมวก็ตัวสั่นเทิ้มทันที มันหันไปมองมังกรขั้นเซียนเทพบนท้องฟ้า ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า
“ห้ามใครหน้าไหนบังอาจมาแย่งสิ่งนี้ไปเด็ดขาด ไอ้กิ้งก่านี่เป็นของท่านสุนัขผู้นี้… โฮ่ง!”