ราชันสายฟ้าเฉียวถิงผ่านวันเวลาช่วงนี้ได้ไม่ดีนัก ถึงแม้เขารู้ว่าหลังจากที่เขาพ่ายแพ้หลิงเทียนแล้วจะต้องได้รับผลกระทบบ้างแน่นอน แต่นึกไม่ถึงเลยว่า ผลกระทบจากการพ่ายแพ้จะใหญ่โตขนาดนี้ ใหญ่จนเขาแทบจะทนรับไม่ไหว
รองหัวหน้ากลุ่มเหลยถิงหลายคนที่แต่เดิมนอบน้อมต่อเขา เริ่มแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องขึ้นมา หวังให้เขาสละตำแหน่งเองทั้งในที่ลับและที่แจ้ง หัวหน้าหน่วยรบหลักหลายหน่วยที่เขาฝึกฝนมากับมือก็เริ่มแสร้งทำเป็นต่อหน้าเชื่อฟัง ลับหลังกลับต่อต้าน ในสายตาของสมาชิกทั่วไป เฉียวถิงถึงขนาดมองเห็นความไม่พอใจและความไม่เชื่อถือนิดหน่อยแล้ว
แพ้แล้วก็ฟื้นกลับมาไม่ได้เลยเหรอ? เฉียวถิงเป็นคนเย่อหยิ่ง ในเมื่อเหลยถิงไม่อาจยอมรับเขาได้แล้ว เขาก็แค่ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มเหลยถิงเท่านั้น ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขายังอยากมีโอกาสเป็นตัวแทนเหลยถิงต่อสู้กับหลิงเทียนในปีหน้า อยากล้างความอัปยศนี้ด้วยตัวเองละก็ เขาย่อมถอนตัว ออกจากเหลยถิงไปทันที…
อย่างไรก็ตาม เฉียวถิงไม่คาดคิดว่า การลาออกจากตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มเหลยถิงไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรื่องราว ไม่นานในโรงเรียนทหารเริ่มแพร่ข่าวลือของเขา บอกว่าตอนที่เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มเหลยถิง ไม่เพียงกดขี่รุ่นน้องที่มีพรสวรรค์โดดเด่นล้ำเลิศ ทำให้คนไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้แล้ว เขายังใช้อำนาจส่วนตัวในทางที่ผิด สนับสนุนคนของตัวเอง นอกจากนี้ก็ใช้นโยบายที่วางอำนาจบาตรใหญ่ กดความคิดเห็นทุกอย่างที่ตรงข้ามกับเขาลงไป ทำให้ความคับแค้นใจระบือไปทั่วกลุ่มหุ่นรบเหลยถิง ก่อกรรมทำชั่วจนทั้งสวรรค์และผู้คนพากันเคียดแค้น
ชื่อเสียงของเฉียวถิงจึงตกฮวบลงแล้วลงอีกภายใต้การปลุกปั่นของคนบางคน ตอนนี้ขอเพียงเฉียวถิงเดินออกไปก็รับรู้ได้ถึงสายตาดูหมิ่นจากผู้คนรอบข้าง ถึงขนาดที่ยังมีคนไม่น้อยดีใจในความโชคร้ายของเขาด้วย
เฉียวถิงไม่ใช่คนโง่ เขาตรวจสอบดูก็รู้ว่านี่เป็นแผนการของหัวหน้ากลุ่มเหลยถิงคนปัจจุบัน เฉียวถิงไม่ได้รู้สึกโกรธเกรี้ยวมากนัก เขาแค่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการชั้นต่ำแบบนี้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งของเขาโดยสมบูรณ์ คนแบบนี้จะนำพาเหลยถิงขึ้นไปอีกขั้นได้อย่างไร นึกถึงหัวหน้ากลุ่มของหลิงเทียนที่เคร่งขรึมเย็นชาสุดขีดและมีความสามารถโดดเด่นเหนือใครแล้ว เฉียวถิงเริ่มกังวลต่ออนาคตของเหลยถิงขึ้นมา
พอคิดถึงหลิงหลาน ในใจเฉียวถิงก็รู้สึกซับซ้อนอย่างยิ่งยวด ไม่เพียงเพราะเขาพ่ายแพ้หลิงหลาน แต่เพราะความสามารถในการปกครองของหลิงหลาน อันที่จริงรูปแบบการกระทำของหลิงหลานเหมือนกับเขา เผด็จการอย่างมาก แต่ลูกน้องของเขาภายนอกดูเลื่อมใสศรัทธามาก ทว่าลับๆ แล้วกลับวางแผนการต่างๆ นานา ตรงกันข้ามกับพวกหัวหน้ากลุ่มหลายคนของหลิงเทียนที่เชื่อมั่นศรัทธาหลิงหลานด้วยความจริงใจ ต่อให้หลิงหลานตัดสินใจผิดพลาดอะไรออกมา นำความสูญเสียมาให้หลิงเทียนอย่างมหาศาล แต่เฉียวถิงเชื่อว่า พวกหัวหน้ากลุ่มหลายคนนั้นก็จะโทษว่าตัวเองความสามารถไม่พอเท่านั้น ไม่มีทางไม่พอใจอะไรหลิงหลาน
นี่ก็คือความแตกต่างของราชาผู้สร้าง ไม่ใช่ราชาที่คอยปกป้องความสำเร็จของคนรุ่นก่อนสินะ? พูดตามตรง เฉียวถิงอิจฉาหลิงหลานมาก อิจฉาที่อีกฝ่ายสามารถตัดสินใจอะไรก็ได้ ไม่เคยมีคนมาตรวจสอบคานอำนาจเลย ส่วนเขา ต่อให้เป็นตอนที่รุ่งโรจน์ภาคภูมิใจมากที่สุด เขาก็ต้องยอมรับการประณีประนอมเพื่อภาพรวม ถ้าหากเป็นไปได้ เฉียวถิงก็อยากเป็นเหมือนหลิงหลาน เป็นราชาผู้สร้าง ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในมือ
เฉียวถิงไม่รู้เลยว่า ถึงแม้หลิงหลานเป็นหัวหน้ากลุ่มอันดับหนึ่งของหลิงเทียน แต่หลิงหลานเป็นแม่ทัพที่ปล่อยปละละเลยมาโดยตลอด มอบหมายเรื่องราวทุกอย่างให้หัวหน้ากลุ่มอีกสามคน ท่าทีเชื่อใจที่ใช้คนอย่าระแวง ถ้าระแวงก็ไม่ใช้เช่นนี้คือสาเหตุใหญ่สุดที่พวกอู่จย่งและหลี่อิงเจี๋ยสนับสนุนหลิงหลานอย่างเต็มหัวใจ…. ในเมื่อนายเชื่อฉันเต็มสิบ ฉันก็ตอบแทนนายร้อยเท่า
ถึงแม้ข่าวลือทยอยแพร่ไปในโรงเรียนทหาร แต่เฉียวถิงกลับทำตัวเหมือนปกติ หลังจากที่ฝึกฝนทีมหุ่นรบเสร็จแล้ว ก็พาหน่วยรบของเขาไปทานข้าวในโรงอาหาร เมื่อเขาเข้ามาในโรงอาหารก็เป็นดั่งเช่นเคย โรงอาหารที่เอะอะเจี๊ยวจ๊าวเงียบงันไปทันที หลังจากนั้นก็ส่งเสียงกระซิบกระซาบออกมา มีคนไม่น้อยเริ่มเงี่ยหู ความร้อนแรงเรื่องข่าวลือของเฉียวถิงไม่ได้หายไปเลย
เฉียวถิงที่มีหูเฉียบไวย่อมได้ยินคำนินทาเกี่ยวกับเขาได้บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาที่ฟังมาเยอะแล้วก็เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งมาก เขาเดินเข้าไปในโรงอาหารด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก หาโต๊ะว่างๆ สักตัวจากในนั้นแล้วนั่งลงไป
“ลูกพี่เฉียว ฉันแม่งจะไปสั่งสอนพวกมันเอง” ลูกทีมของหน่วยรบเฉียวถิงไม่ได้ใจเย็นอย่างเฉียวถิงขนาดนั้น ดวงหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ กำหมัดอยากจะสั่งสอนพวกรุ่นน้องตรงหน้าที่ไม่เคารพรุ่นพี่ พวกเขาที่รู้จักเฉียวถิงดีต่างรู้ว่า ส่วนใหญ่แล้วข่าวลือพวกนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้นเลย
“มีอะไรให้สั่งสอน? โลกนี้ผู้ชนะเป็นจ้าวเสมอ ในเมื่อแพ้แล้ว ถูกคนหัวเราะเยาะก็เป็นเรื่องปกติ” เฉียวถิงตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง เมื่อก่อนเขาโอหังวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่เพราะยืนอยู่จุดสูงสุด ดังนั้นต่อให้มีคนไม่พอใจก็ได้แต่เก็บซ่อนไว้ในใจ ไม่กล้าเผยออกมา ทว่าตอนนี้เขาคือพยัคฆ์ที่ออกจากป่า[1] คนที่ไม่พอใจเขาเหล่านั้นฉวยโอกาสเหยียบซ้ำหลายครั้งก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ถ้าหากเขาโมโหคนพวกนี้ เขาก็คงดำรงชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว เฉียวถิงเผยรอยยิ้มเยาะหยันตัวเองออกมา สามเดือนนี้ได้ลับความสามารถบางอย่างของเขา ทำให้ตัวเขารู้จักปล่อยวาง
“แล้วยังไง ลูกพี่เฉียวยังเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบที่แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียนอยู่ดี!” ลูกทีมที่ถูกห้ามปรามได้แต่นั่งลงอย่างแค้นเคือง ปากก็พึมพำด้วยความไม่พอใจ
เฉียวถิงไม่ได้กล่าววาจา ต่อให้เขาเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบที่แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียนแล้วเป็นอย่างไร ตอนนี้ทุกคนมองเห็นเพียงความตกอับของเขาเท่านั้น เคยคิดเรื่องความสามารถที่เขามีเหรอ? คิดดูแล้วก็น่าขำ เขาเป็นผู้ควบคุมไพ่ราชาแต่โดนพวกคนอ่อนแอที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งผู้ควบคุมระดับพิเศษเยาะหยัน ทว่ามันไม่สำคัญแล้ว ขอเพียงอดทนผ่านพ้นศึกประลองหุ่นรบไปได้ การสมัครสอบเข้ากองทัพก็จะเริ่มต้นขึ้น พอผ่านการประเมิน พวกเขาก็สามารถออกจากโรงเรียนทหารได้ เช่นนั้นปัญหาก่อกวนที่นี่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาแล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะสายตาของคนรอบข้างเสียดแทงมากเกินไป หน่วยรบของเฉียวถิงเลยไม่คิดที่จะรั้งอยู่ที่นี่ต่อเช่นกัน พวกเขารีบทานอาหารเที่ยง จากนั้นก็เตรียมตัวออกจากโรงอาหาร ทั้งกลุ่มเพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตู ตรงหน้าประตูก็มีคนกลุ่มใหญ่กรูเข้ามาอีก คนที่นำหน้าในหมู่พวกเขาคือเด็กหนุ่มเคร่งขรึมเย็นชาที่สวมชุดเครื่องแบบโรงเรียนสีขาว ซึ่งก็คือหลิงหลานที่มีไอเย็นทั่วร่างนี่เอง
การที่หลิงหลานสามารถเป็นนักเรียนดีเด่นของปีสองได้ อันที่จริงแล้วก็น่าขำนิดหน่อย ความจริงหลิงหลานไม่มีคุณสมบัติเป็นนักเรียนดีเด่น เนื่องจากขาดเรียนหลักสูตรการฝึกฝนร่างกายของปีหนึ่ง สุดท้ายฉีหลงที่มีผลคะแนนดีที่สุดจึงได้รับเลือก แต่น่าเสียดายที่ฉีหลงไปหาอาจารย์ ยื่นเรื่องปฏิเสธทันที เนื่องจากเขาคิดว่าเขาเทียบลูกพี่ตัวเองไม่ได้ หลังจากที่ฉีหลงซึ่งอยู่อันดับหนึ่งปฏิเสธที่จะเป็นนักเรียนดีเด่น พวกอาจารย์ก็ได้แต่เลือกพวกอู่จย่ง ลั่วล่าง หลี่อิงเจี๋ยที่อยู่ตามหลัง แต่โชคร้ายที่พวกอู่จย่งปฏิเสธรับตำแหน่งนักเรียนดีเด่นเช่นกัน…
ท้ายที่สุด นักเรียนที่อยู่อันดับต้นๆ ต่างปฏิเสธกันหมด เนื่องจากนักเรียนเหล่านี้เป็นสมาชิกของกลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนทั้งนั้น ในเมื่อลูกพี่ไม่ได้เป็นนักเรียนดีเด่น พวกเขาจะกล้าเป็นเหรอ?
นี่ทำให้อาจารย์ภาควิชาควบคุมหุ่นรบชั้นปีสองโดนอาจารย์ภาควิชาอื่นหยอกล้อ บอกว่าไม่มีใครสมัครใจเป็นนักเรียนดีเด่นของภาควิชาควบคุมหุ่นรบปีสองเลย นี่เลยยั่วโทสะของพวกอาจารย์ภาควิชาควบคุมหุ่นรบ ดังนั้น พวกเขาเลยทำเรื่องที่น่าตกใจขึ้นมา นั่นก็คือโยนบัลลังก์นักเรียนดีเด่นให้หลิงหลานที่ไม่มีผลคะแนนใดๆ เลย ในเมื่อนักเรียนพวกนั้นคิดว่าหลิงหลานสามารถเป็นนักเรียนดีเด่นได้ อาจารย์อย่างพวกเขายังจะปฏิเสธได้อีกเหรอ?
หลิงหลานเลยกลายเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวในโรงเรียนทหารที่ไม่มีผลคะแนนแต่กลับนั่งตำแหน่งนักเรียนดีเด่นได้เช่นนี้เอง สร้างประวัติศาสตร์ใหม่อีกครั้ง แม้ว่าหลิงหลานไม่เคยคิดที่จะสร้างประวัติศาสตร์นี้เลยก็ตาม
เฉียวถิงเห็นหลิงหลาน ฝีเท้าก็ผ่อนลงฉับพลัน ทั้งสองคนเข้ามาใกล้กันช้าๆ สุดท้ายตอนที่กำลังจะเฉียดผ่านตัวนั้น หลิงหลานพลันหยุดฝีเท้า เฉียวถิงก็หยุดก้าวเท้าตาม
ทั้งคู่เผชิญหน้ากัน ฉากที่หายากนี้ทำให้โรงอาหารเงียบกริบทันที ทุกคนต่างจ้องมองมาที่หน้าประตู ไม่รู้ว่าหลิงหลานกับเฉียวถิงเจอหน้ากันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น…
“รุ่นพี่เฉียว ช่วงนี้เป็นไงบ้าง?” หลิงหลานเอ่ยปากก่อน
เฉียวถิงแค่นยิ้ม “ทำไม นายก็อยากหัวเราะฉันด้วยหรือไง?” รุ่นพี่เฉียว? ดูท่าอีกฝ่ายรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่หัวหน้ากลุ่มเหลยถิงอีกต่อไปแล้ว
“รุ่นพี่เฉียวมีอะไรให้น่าขำ?” หลิงหลานเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ราวกับไม่เข้าใจความหมายที่เฉียวถิงกล่าว
เฉียวถิงไม่ตอบ ทว่าดวงหน้าเย็นชามากยิ่งขึ้น ตอนนี้ทั่วทั้งโรงเรียนเอาแต่พูดเรื่องของเขา เขาไม่เชื่อว่า หลิงหลานจะไม่รู้เลยสักนิดเดียวจริงๆ
“โรงเรียนเรายากจะผลิตผู้ควบคุมไพ่ราชาออกมาได้สักคน ฉันไม่รู้ว่ารุ่นพี่เฉียวยังมีอะไรให้คนอื่นเห็นว่าน่าตลกด้วย” หลิงหลานเมินความเย็นชาของเฉียวถิง เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
คำพูดของหลิงหลานทำให้แววตาของเฉียวถิงหรี่ลงฉับพลัน เขาจ้องมองดวงตาทั้งสองข้างของหลิงหลานอย่างจริงจัง อยากดูความหมายที่แท้จริงของคำพูดหลิงหลานให้แน่ชัด แต่น่าเสียดายที่ดวงต ของหลิงหลานสงบนิ่ง เยือกเย็นอย่างเหลือคณา มองเส้นสนกลในไม่ออกเลยสักนิดเดียว
ในเมื่อดูไม่ออกว่าหลิงหลานมีเจตนาอะไร เฉียวถิงก็ไม่อยากหยั่งเชิงกับหลิงหลานอีก เขาเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “นายเจาะจงหยุดแบบนี้ คงไม่ได้มาคุยกับฉันแค่ไม่กี่ประโยคหรอกใช่ไหม ว่ามา นายคิดจะทำอะไร?”
หลิงหลานเองก็ไม่คิดจะพูดสุภาพอะไรแล้วเหมือนกัน ดังนั้นเธอเลยพูดเป้าหมายของเธอออกมาตรงๆ “รุ่นพี่เฉียว ฉันอยากร่วมมือกับนาย”
“ร่วมมือ?” เฉียวถิงทั้งตะลึงงันทั้งรู้สึกว่าน่าขันมาก “นายคิดว่า พวกเรายังร่วมมือกันได้อีกเหรอ?” ดึงเขาลงมาจากเมฆ เตะเข้าไปดินเลน ทำให้เขาไม่มีหน้าเหลืออยู่แล้ว หมอนี่ยังเสนอว่าอยากร่วมมือกันอีกเหรอ? เขา เฉียวถิงดูเหมือนไอ้โง่หรือไง?
“ทำไมจะไม่ได้?” หลิงหลานเอ่ยอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
“นายว่า ฉันจะช่วยคนที่ทำให้ฉันสูญเสียทุกอย่างไหมล่ะ? ฉันโง่มากเลยหรือไง?” เฉียวถิงถามกลับด้วยความเดือดดาลสุดขีด
“ช่วยฉัน? รุ่นพี่เฉียว นายก็เห็นตัวเองสูงส่งเกินไปแล้ว?” สีหน้าของหลิงหลานพลันอึมครึม อุณหภูมิทั่วทั้งโรงอาหารพลันลดฮวบลงหลายองศา ทำให้ทุกคนอดตัวสั่นเทิ้มไม่ได้
“ถ้าไม่ช่วยนาย แล้วเป็นช่วยฉันหรือไง?” เฉียวถิงยิ้มหยันขึ้นมา เทียบกับคนอื่นแล้ว ไอเย็นบนร่างหลิงหลานไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเฉียวถิงเลยสักนิด
“ถูกต้อง!” หลิงหลานเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า
ดวงตาทั้งสองข้างของเฉียวถิงหรี่ลง กลิ่นอายอันตรายสายหนึ่งพุ่งมาตรงหน้า คำกล่าวล้อเล่นเช่นนี้ของหลิงหลานทำให้เฉียวถิงฉุนขาดแล้วจริงๆ
“ถ้าเกิดได้เป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันหุ่นรบของศึกประลองหุ่นรบละก็ มันต้องเป็นประโยชน์ต่อการก้าวหน้าในกองทัพของนายไม่น้อยอยู่แล้ว รุ่นพี่เฉียว จะลองพิจารณาเรื่องร่วมมือกันสักครั้งไหม?” หลิงหลานไม่เกรงกลัวโทสะของเฉียวถิงเลย เธอเอ่ยคำพูดท่อนนี้ออกมาอย่างสงบนิ่ง
เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมา คนที่ฟังบทสนทนาของพวกเขาก็อดสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งไม่ได้ พวกเขามองไปทางเฉียวถิง รอคอยคำตอบของเขา ถ้าหากเป็นพวกเขาละก็ ย่อมไม่อาจปฏิเสธการดึงดูดใจนี้ได้เลย….
เฉียวถิงนิ่งอึ้ง เงียบไปหลายวินาที ราวกับกำลังใคร่ครวญความหมายลึกซึ้งจากการกระทำของหลิงหลานในครั้งนี้ ไม่นานเขาถึงค่อยเอ่ยถามว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน?”
หลิงหลานตอบอย่างเฉยชาว่า “ฉันไม่อยากเป็นรองแชมป์ไปพันปีหรอกนะ ในเมื่อเป็นเรื่องของทุกคนในโรงเรียน ทำไมหลิงเทียนของเราต้องยุ่งยากลำบากแบกรับภาระฝ่ายเดียวล่ะ?”
คำพูดของหลิงหลานทำให้เฉียวถิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ หลิงหลานเองก็ไม่อยากได้คำตอบของเฉียวถิงทันที เลยกล่าวว่า “ยังมีเวลาอีกห้าวัน หวังว่าสุดท้ายนายจะให้คำตอบดีๆ กับฉันนะ” กล่าวจบ หลิงหลานก็คิดจะเดินผ่านเฉียวถิงไป
เวลานี้เอง เฉียวถิงพลันถามขึ้นว่า “ถ้าเกิดฉันไม่ยอมล่ะ?”
หลิงหลานหันหน้ากลับมาฉับพลัน สายตาคมกริบทอดมองตรงไปที่เฉียวถิง ทำให้หัวใจของเฉียวถิงกระตุก
“รุ่นพี่เฉียวแพ้แค่ครั้งเดียวก็ไม่มีปณิธาน ความมุ่งมั่นยิ่งใหญ่แล้วหรือไง? หรือนายกลัวว่าจะแพ้ในศึกประลองหุ่นรบ ขายหน้าต่อคนภายนอกอีก?” มุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มหยัน กล่าวเสียดสี
เฉียวถิงได้ยินคำกล่าว ดวงตาก็หรี่ขึ้นมา แววตาแฝงไปด้วยไฟโทสะ ดูเหมือนคำพูดของหลิงหลานจะยั่วยุเขาแล้ว
“ฉันกลัวแพ้เนี่ยนะ? หลิงหลาน นายดูถูกฉันเกินไปหรือเปล่า?” เฉียวถิงเค้นคำพูดออกมาจากไรฟันทีละคำ สองมือกำหมัดแน่น ดูออกว่าเขาโมโหแล้วจริงๆ
“งั้นก็แสดงว่าตกลงรับปาก!” หลิงหลานเลิกคิ้วทั้งสองข้าง ตอบด้วยคำพูดประโยคนี้พลางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จากนั้นก็พาคนของหลิงเทียนเดินเข้าไปในโรงอาหาร
ลูกทีมที่อยู่ข้างๆ รอให้กลุ่มหลิงหลานออกห่างไปแล้วถึงค่อยกล่าวด้วยความดีใจเป็นบ้าเป็นหลังว่า “ลูกพี่เฉียว ดีเหลือเกิน นี่เป็นโอกาสดีนะ ถ้าเกิดคว้าแชมป์ของศึกประลองหุ่นรบได้ละก็ พอกลับมาแล้วจะต้องไม่มีคนพูดจาหาเรื่องพวกเราอีกแน่นอน หรือต่อให้เข้ากองทัพ ก็จะได้รับความสนใจจากระดับสูงของกองทัพเพราะผลงานนี้ด้วยเหมือนกัน”
เฉียวถิงได้ยินคำกล่าวก็เผยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน เขาส่ายหน้า ไม่ได้ตอบคำพูดของลูกทีม
ลูกทีมคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป “ลูกพี่เฉียว หรือว่านายจะปฏิเสธเหรอ?” นี่เป็นโอกาสดีที่ล้ำค่ายากจะเจอสักครั้งนะ
เฉียวถิงถอนหายใจกล่าวว่า “ไม่ใช่ ฉันแค่หงุดหงิดน่ะ ที่โดนหลิงหลานยั่วยุโดยไม่ระวัง หมอนี่…” อีกฝ่ายคว้าอำนาจเป็นฝ่ายรุกโดยที่เขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว และเขาก็ดันกระโดดเข้าไปโดยที่ไม่ระวังอีก
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวถิง พวกลูกทีมก็หวนนึกถึงบทสนทนาเมื่อสักครู่นี้ถึงค่อยรู้แจ้งกระจ่างใจ
เฉียวถิงหันหน้ามองไปยังเด็กหนุ่มเคร่งขรึมเย็นชาที่สะดุดตาคนนั้น หากเขาอยู่ในโรงเรียนทหาร เชื่อว่าสักวันหนึ่ง กลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งไม่มีทางตกอยู่ในมือคนอื่นแน่นอน เหลยถิงในวันข้างหน้าเกรงว่าจะลำบากแล้ว
……
หลังจากที่พวกหลิงหลานจากเฉียวถิงไป ก็เดินตรงขึ้นไปชั้นบน เข้าไปในห้องส่วนตัว หลี่หลานเฟิง จ้าวจวิ้นและคนอื่นๆ กำลังรอคอยอยู่ด้านใน หลี่หลานเฟิงรอให้หลิงหลานนั่งลงแล้วก็ค่อยเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ยินดีด้วย ที่นายคว้าราชันสายฟ้าเฉียวถิงมาได้แล้ว”
หลิงหลานชายตามองหลี่หลานเฟิงแวบหนึ่ง สายตาที่คมกริบนั้นทำให้รอยยิ้มของหลี่หลานเฟิงแทบจะรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว หลี่หลานเฟิงได้แต่เก็บรอยยิ้ม พูดว่า “ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ?”
“อืม นายไม่อยากยิ้มก็อย่ายิ้มสิ” หลิงหลานขมวดคิ้ว “เสแสร้งมากเกินไปแล้ว” ทำไมหลี่หลานเฟิงถึงทำแบบนี้นะ? พอนึกได้ว่าหลี่หลานเฟิงเคยพูดว่า เขาเกลียดราชันสายฟ้า หลิงหลานก็เอ่ยปลอบใจว่า “ชีตาห์ เฉียวถิงเป็นแค่การร่วมมือกันเท่านั้น หลังจากร่วมมือเสร็จแล้ว พวกเรายังคงเป็นคู่ต่อสู้กัน ไม่มีทางกลายเป็นเพื่อนได้หรอก”
หลี่หลานเฟิงได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ้มขึ้นมาโดยพลัน หลิงหลานพรูลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง หลี่หลานเฟิงที่เป็นแบบนี้ถึงค่อยเป็นหลี่หลานเฟิงในยามปกติ ดูท่า หลี่หลานเฟิงจะเกลียดราชันสายฟ้ามากจริงๆ ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนพวกเขาเคยมีเรื่องอะไรกัน… หลิงหลานตัดสินใจให้เสี่ยวซื่อไปตรวจสอบดู
“ทำไมนายต้องเลือกวิธียั่วยุด้วย?” หลี่หลานเฟิงที่กลับมาเป็นปกติเอ่ยปากถาม เมื่อสักครู่ เนื่องจากการยั่วยุในครั้งนี้ ท่าทีหม่นหมองอึมครึมบนตัวเฉียวถิงเลยลดลงไปไม่น้อย เมื่อเฉียวถิงฮึกเหิม เขาย่อมเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน สำหรับพวกเขาที่ได้แต่กลายเป็นคู่ต่อสู้แล้ว การที่เฉียวถิงเติบโตเร็วมากเกินไปย่อมไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาอย่างมาก
“มีคู่แข่งแบบนี้อยู่ ไม่ใช่ว่าน่าสนใจมากเลยหรือไง?” แววตาของหลิงหลานเปล่งประกาย “อีกอย่าง ฉันคิดว่าผู้ควบคุมไพ่ราชาที่โดดเด่นอย่างราชันสายฟ้าสามารถเติบโตขึ้นมาได้รวดเร็ว คนที่รู้สึกลำบากไม่ควรเป็นพวกเรา แต่ว่าเป็นประเทศศัตรูของเราต่างหาก!”
หลี่หลานเฟิงตัวสั่นเทิ้ม หน้าผากของเขาหลั่งเหงื่อเย็นๆ ลงมา แววตาอึมครึมยากจะเข้าใจ ท้ายที่สุดก็พรูลมหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “กระต่าย ฉันผิดไปแล้ว”
ต่อให้ราชันสายฟ้าอาจเป็นราชาในดวงชะตาคนนั้น แต่เขาจะพยายามวางแผนทุกวิถีทางเพื่อทำลายอีกฝ่ายเพราะเรื่องนี้ได้อย่างไร?
“กระต่าย ฝึกฝนฉันให้หนักๆ ฉันอยากแข็งแกร่งขึ้น!” แววตาของหลี่หลานเฟิงผุดจิตวิญญาณต่อสู้อันแรงกล้าออกมา มุมปากของหลิงหลานยกขึ้นน้อยๆ ชีตาห์ที่เป็นแบบนี้สิ ถึงจะเป็นชีตาห์ในสมัยนั้น…
——————-
[1] มาจากสำนวน พยัคฆ์ที่ออกจากป่า ถูกสุนัขรังแก