ควรรู้เอาไว้ว่า ช่างพัฒนาหุ่นรบที่เก่งกาจเหนือชั้นคนหนึ่งสามารถเพิ่มการคุ้มครองของหุ่นรบที่ผู้ควบคุมขับได้หลายชั้น พูดตรงๆ คือ พวกเขาเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ควบคุมหุ่นรบได้มากขึ้น นี่ก็คือสาเหตุที่ช่างพัฒนาหุ่นรบที่โดดเด่นถึงโดนหน่วยหุ่นรบไล่ตามอย่างกระตือรือร้น เป็นเป้าหมายที่ทุกหน่วยรบต้องแย่งชิง
แต่แล้วทุกคนก็ผิดหวัง ฉางซินหยวนที่รำคาญการตื๊อได้ประกาศข่าวออกไปตรงๆ ว่า เขาคือสมาชิกถาวรของหลิงเทียน นั่นหมายความว่า ฉางซินหยวนไม่อาจเปลี่ยนหน่วยรบใหม่ได้ นอกเสียจากหน่วยรบที่เขาอยู่ถูกทำลายจนสิ้นซาก
ความพ่ายแพ้ของเทียนจีทำให้ระดับสูงของโรงเรียนทหารพูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง และก็ทำให้กลุ่มอำนาจอื่นที่เดิมทีหวั่นเกรงหลิงเทียนนิดหน่อยยิ่งหวาดกลัวมากกว่าเดิม การเอาชนะโดฮายังพูดได้ว่าหลิงเทียนมีจังหวะ ชัยภูมิ และมานะคน แต่เทียนจีกลับเป็นผลการต่อสู้อย่างตรงไปตรงมา ยอดฝีมือหุ่นรบในนั้นแข็งแกร่งน้อยกว่าเหลยถิงนิดเดียวเท่านั้น ต่อให้เป็นอู๋จี๋ กลุ่มอำนาจอันดับสามอยากต่อกรเทียนจี ก็จำเป็นต้องให้หลี่หลานเฟิงกับจ้าวจวิ้นร่วมมือกับพวกเขาถึงจะมีความมั่นใจในการรบ เห็นได้ว่าพลังของเทียนจีล้ำลึกมาก
แต่กลุ่มหุ่นรบที่ทำให้อู๋จี๋รู้สึกว่าจัดการยากมากแบบนี้กลับพ่ายแพ้หลิงเทียนอย่างหมดรูป นี่พิสูจน์ว่าหลิงเทียนไม่ได้เป็นกลุ่มหุ่นรบที่รอดมาด้วยโชคเลย มันตั้งตระหง่านขึ้นมาอย่างแท้จริงแล้ว
……
ดาวหนานอวี่
หน่วยวางแผนกลยุทธ์ของศูนย์บัญชาการกองทัพที่ยี่สิบสาม เหอซวี่หยางที่นั่งตำแหน่งเสนาธิการอันดับหนึ่งของพลเอกหลิงเซียวอย่างมั่นคงได้รับจดหมายเชิญฉบับหนึ่งที่ลูกน้องส่งมาอย่างเหนือความคาดหมาย เขาเปิดอ่านดู ก่อนจะผุดรอยยิ้มน้อยๆ ไม่ได้กักจดหมายไว้เหมือนก่อนหน้านี้ หากแต่หยิบใส่ในกองเอกสารที่ต้องส่งให้พลเอกหลิงเซียวอ่าน
การกระทำนี้ทำให้บรรดาผู้ช่วยของเขาประหลาดใจเล็กน้อย ควรรู้เอาไว้ว่าทุกเดือนแทบจะมีจดหมายเชิญที่คล้ายคลึงแบบนี้อยู่หลายสิบฉบับ แต่นายพลหลิงเซียวออกคำสั่งไว้นานแล้วว่าให้ปฏิเสธคำเชิญพวกนี้ทั้งหมด ปริมาณงานในการเตรียมพร้อมสร้างกองทัพที่ยี่สิบสามมหาศาลมาก พลเอกหลิงเซียวไม่มีเวลาและอารมณ์เอ้อระเหยรับมือกับกิจกรรมหรือการรวมกลุ่มที่น่าเบื่อหน่ายเช่นนี้
“แบบนี้ ไม่เป็นไรเหรอ?” เมื่อถงจื้ออิง เสนาธิการอันดับสองเห็นเหอซวี่หยางอุ้มกองเอกสารที่แนบจดหมายเชิญนั้น เตรียมตัวไปที่ห้องทำงานของพลเอกหลิงเซียว เขาก็อดเอ่ยปากเตือนไม่ได้ ถึงแม้พลเอกหลิงเซียวสุภาพอ่อนโยนมากมาโดยตลอด แต่ในฐานะที่เป็นคู่หู เขายังไม่อยากให้เหอซวี่หยางทำผิดพลาดจนถูกนายพลหลิงเซียวตำหนิ
เหอซวี่หยางยิ้มให้ถงจื้ออิง ปากก็อธิบายว่า “จดหมายฉบับนี้ไม่เหมือนกัน…”
ถงจื้ออิงได้ยินคำกล่าวหัวใจก็สะดุ้ง เขาพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว และไม่ได้สอบถามต่ออีก หากแต่ทอดสายตาไปที่เอกสารในมือ คนที่ดำรงตำแหน่งนี้ได้ต่างเป็นคนที่ระมัดระวังและรู้จักบันยะบันยัง ไม่อาจสอบถามความลับที่ไม่ควรรู้อย่างเรื่อยเปื่อยได้
รอยยิ้มของเหอซวี่หยางกดลึกมากขึ้น นี่ก็คือจุดที่เขาชื่นชมถงจื้ออิงมาก กอปรกับความสามารถของอีกฝ่ายล้ำเลิศ เหอซวี่หยางรู้สึกดีใจมากที่ได้ร่วมงานกับเขา แต่เรื่องของคุณชายหลาน เขายังต้องเก็บงำความลับนี้ไว้จนกว่านายพลหลิงเซียวอยากจะประกาศต่อคนภายนอก
ถูกต้อง จดหมายเชิญที่แตกต่างจากที่แล้วมามากๆ ฉบับนี้เกี่ยวข้องกับคุณชายหลาน อีกครึ่งเดือนให้หลัง ศึกประลองหุ่นรบครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างโรงเรียนทหารซึ่งเป็นที่จับตามองก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทุกครั้งผู้บัญชาการของกองทัพทั้งหมดต่างได้รับบัตรเชิญดังกล่าวไปเป็นแขกรับเชิญพิเศษเพื่อชมการแข่งขัน และปีนี้กองทัพที่ยี่สิบสามซึ่งเป็นกองทัพเตรียมพร้อมก่อตั้งใหม่ก็ได้รับเช่นกัน
และสาเหตุที่ทำให้เหอซวี่หยางให้ความสำคัญกับจดหมายเชิญฉบับนี้เป็นเพราะหลายวันก่อนเขาได้ยินพลเอกหลิงเซียวเอ่ยเรื่องหนึ่งขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นก็คือคุณชายหลานที่เพิ่งขึ้นปีสองได้สร้างประวัติศาสตร์ในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง เขานำพากลุ่มของเขาโค่นล้มกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งแต่เดิมของโรงเรียนทหาร และรักษาตำแหน่งของตัวเองได้สำเร็จ คว้าสิทธิ์เข้าประลองศึกประลองหุ่นรบครั้งใหญ่ในรอบนี้มาได้
ในฐานะที่เขาเป็นเสนาธิการที่เก่งกาจ ย่อมต้องเข้าใจความคิดของผู้บังคับบัญชา เขาเชื่อว่านายพลหลิงเซียวย่อมอยากเห็นลูกชายตัวเองแสดงความสามารถอันโดดเด่นด้วยตาตัวเอง จดหมายเชิญฉบับนี้คือสิ่งที่พลเอกหลิงเซียวปรารถนาที่จะเห็นมาก
‘ติ๊งต่องๆๆ!’ หลิงเซียวที่กำลังจดจ่ออยู่กับเอกสารในมือ ได้ยินเสียงแจ้งเตือนที่หน้าประตูก็ร้องเบาๆ ว่า “เข้ามา!”
ประตูที่รับคำสั่งด้วยเสียงเปิดออกเองอัตโนมัติหลังจากเสียงของหลิงเซียว เหอซวี่หยางอุ้มเอกสารกองใหญ่ เดินเข้ามาอย่างมั่นคง
หลิงเซียวเห็นเอกสารในมือเหอซวี่หยางกองนั้น ก็นวดหน้าผากตัวเองด้วยความกลัดกลุ้ม เอ่ยอย่างหดหู่ใจว่า “ทำไมเอกสารเยอะทุกวันเลย พวกนายขี้เกียจกันหรือเปล่า ถึงได้โยนเอกสารมั่วซั่วทุกอย่างมาให้ฉัน?”
เขาสั่งการไปแล้วชัดๆ ว่า นอกจากส่งเอกสารที่จำเป็นมากและสำคัญสุดขีดมาให้เขาอ่านแล้ว เอกสารทั่วไปอื่นๆ ก็ให้หัวหน้าเสนาธิการสามคนปรึกษาหารือตัดสินใจกันได้เลย
เหอซวี่หยางวางเอกสารกองนั้นไว้บนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่โตของนายพลหลิงเซียวโดยไม่พูดไม่จา เขานึกถึงกองเอกสารที่สูงเหมือนภูเขาหน้าโต๊ะทำงานตัวเองแล้วก็เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ท่านนายพล เอกสารของหน่วยวางแผนกลยุทธ์ของเราเยอะมากจนถึงขั้นคนไม่มีที่ยืนแล้ว ถ้าเกิดคุณบ่นอีก ก็อย่าโทษหน่วยวางแผนกลยุทธ์เรารวมกลุ่มกันประท้วงหยุดงานนะครับ!”
คำพูดของเหอซวี่หยางทำให้หลิงเซียวนึกขึ้นได้ถึงสภาพแวดล้อมที่ยุ่งวุ่นวายของหน่วยวางแผนกลยุทธ์ ทุกคนทำงานกันเหมือนกับทำสงครามก็ไม่ปาน ฉากที่ยุ่งกันจนทำงานหามรุ่งหามค่ำทำให้หลิงเซียวตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ เอาเถอะ การข่มขู่ของเหอซวี่หยางทรงพลังมาก ถ้าเกิดหน่วยวางแผนกลยุทธ์ประท้วงหยุดงานจริงๆ ละก็ กองทัพที่ยี่สิบสามของเขาคงหยุดนิ่งเป็นอัมพาตอย่างแน่นอน
ดังนั้นหลิงเซียวเลยได้แต่ชี้ไปยังเอกสารพวกนั้นและกล่าวว่า “พวกนี้คือเอกสารอะไรอีก?”
“นี่เป็นจดหมายแต่งตั้งทหารกองล่าสุดที่เรากำหนดไว้ครับ รบกวนท่านนายพลอ่านดูด้วย นี่คือจดหมายแนะนำก่อตั้งหน่วยรบพิเศษ หน่วยวางแผนกลยุทธ์เราหารือร่วมกันแล้ว คิดว่ามีความจำเป็นมากครับ แล้วก็นี่คือ…” เหอซวี่หยางยื่นเอกสารเข้าไปทีละอัน และอธิบายเนื้อหาของเอกสาร จนสุดท้ายเหอซวี่หยางก็หยิบจดหมายเชิญฉบับหนึ่งออกมา กล่าวว่า “นี่เป็นจดหมายเชิญเป็นแขกรับเชิญพิเศษชมศึกประลองหุ่นรบครั้งใหญ่ครับ อยากสอบถามว่าท่านนายพลจะเข้าร่วมหรือเปล่า?”
หลิงเซียววิงเวียนศีรษะต่อเอกสารกองนั้นนิดหน่อยแล้ว เขาไม่ได้ฟังคำพูดของเหอซวี่หยางให้ชัดๆ ได้ยินเพียงจดหมายเชิญอะไรสักอย่าง ก็เอ่ยปากปฏิเสธว่า “ทำเหมื่อนก่อนหน้านี้ ปฏิเสธให้หมด”
เหอซวี่หยางไม่ได้เก็บจดหมายเชิญกลับไปเหมือนอย่างที่หลิงเซียวคาดการณ์ไว้ ตรงกันข้ามเขาเปิดจดหมายเชิญออก และกางบนเอกสารที่เขาอ่าน การกระทำนี้ทำให้หลิงเซียวอึ้งไป ไม่รู้ว่าทำไมเหอซวี่หยางถึงใจกล้าแบบนี้…
แต่หลิงเซียวรู้ดีว่าเหอซวี่หยางไม่มีทางทำเรื่องที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ ในเมื่อเขาทำแบบนี้ย่อมต้องมีเหตุผลของเขา ดังนั้น หลิงเซียวจึงเพ่งความสนใจไปบนจดหมายเชิญฉบับนั้น
“เรียนเชิญ พลเอกหลิงเซียว ผู้บัญชาการกองทัพที่ยี่สิบสามเข้าร่วมศึกประลองหุ่นรบครั้งยิ่งใหญ่รอบที่สองร้อยเจ็ดสิบเก้า เวลา…”
“ศึกประลองหุ่นรบครั้งใหญ่ของโรงเรียนทหารจะเริ่มในอีกครึ่งเดือนแล้ว?” หลิงเซียวหยิบจดหมายเชิญขึ้นมา เอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจระคนยินดี
“เพราะงั้นผมถึงอยากถามท่านนายพลไงครับว่า คุณจะเข้าร่วมหรือเปล่า” เหอซวี่หยางเอ่ยถามด้วยความเอือมระอา เขาจำได้ว่าปีที่แล้ว นายพลหลิงเซียวปกปิดตัวตนแสร้งทำเป็นทหารทดสอบประเมินผลแอบไปโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเพื่อไปเยี่ยมคุณชายหลานโดยเฉพาะ เขาไม่เชื่อว่าพลเอกหลิงเซียวจะยอมทิ้งโอกาสที่ได้เจอคุณชายหลานอย่างเปิดเผยในตอนนี้ไปได้
เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ นายพลหลิงเซียวตอบกลับอย่างเด็ดขาดว่า “เข้าร่วม ฉันต้องเข้าร่วมให้ได้ แล้วก็จะพาภรรยาไปด้วย”
ก็บอกแล้วว่าจดหมายเชิญฉบับนี้ไม่เหมือนกัน! เหอซวี่หยางผงกศีรษะอย่างเรียบนิ่ง บ่งบอกว่ากลับไปแล้วจะตอบจดหมายยืนยันให้กับกองบัญชาการ ถึงค่อยบอกลาหลิงเซียวอย่างราบเรียบและออกไป
อืม บางทีเขาก็ควรลาหยุดเหมือนกัน และไปเข้าร่วมศึกประลองหุ่นรบครั้งใหญ่กับนายพลหลิงเซียว จะว่าไป เขาเองก็ไม่ได้เจอคุณชายหลานเกือบครึ่งปีแล้ว เด็กหนุ่มเคร่งขรึมเย็นชาที่มีกลิ่นอายทรงพลังแตกต่างจากนายพลหลิงเซียวโดยสิ้นเชิง ทว่าดึงดูดผู้คนเหมือนกัน หัวหน้าเสนาธิการ เหอซวี่หยางที่เดินออกจากห้องทำงานของพลเอกหลิงเซียวครุ่นคิดเช่นนี้เอง
……
เวลานี้ หลิงหลานที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนหุ่นรบไพ่ราชาต่อสู้ระยะประชิดอย่างหนักไม่รู้เลยว่า พ่อของเธอตัดสินใจเข้าร่วมศึกประลองหุ่นรบครั้งใหญ่ แถมยังพาแม่ของเธอมาเจอเธออีกด้วย หลังจากที่ศึกษาและควบคุมหุ่นรบของจริงมาเกือบครึ่งเดือน หลิงหลานค่อยเข้าใจแล้วว่า การควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาในโลกความเป็นจริงไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น การควบคุมของมันยังคงแตกต่างจากในโลกหุ่นรบนิดหน่อย การเคลื่อนไหวของหุ่นรบที่มีระดับความยากสูงล้ำซึ่งทำสำเร็จได้อย่างราบรื่นมากในโลกหุ่นรบ กลับไม่สามารถทำได้อย่างง่ายดายในโลกความเป็นจริงเพราะขีดจำกัดของร่างกายเธอ
แน่นอนว่าไม่ได้พูดว่า หลิงหลานไม่สามารถทำได้ หากแต่หลังจากที่ทำสำเร็จแล้ว ร่างกายของหลิงหลานก็ได้รับบาดเจ็บภายในไม่มากก็น้อย นี่ทำให้หลิงหลานจนปัญญามาก ความแตกต่างเรื่องคุณสมบัติร่างกายของชายหญิงที่เดิมทีไม่เคยใส่ใจมาตลอดกลับเผยปัญหาออกมาในการควบคุมหุ่นรบไพ่ราชา หลิงหลานที่ใช้ยายีนนับไม่ถ้วนรวมถึงเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายบ่มเพาะคุณสมบัติร่างกายที่แข็งแกร่งออกมาจนแทบไม่ด้อยไปกว่าฉีหลงเท่าไหร่นัก กลับปรากฏปมด้อยออกมาในตอนที่รับมือกับการควบคุมหุ่นรบไพ่ราชา
“ดูท่า ความแตกต่างด้านคุณสมบัติร่างกายที่มาจากเพศไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขง่ายขนาดนั้น” มิน่าล่ะ โลกนี้ถึงไม่มีผู้ควบคุมหุ่นรบผู้หญิงที่สามารถเลื่อนขั้นไปถึงจุดสูงสุดได้ เพศแตกต่างกัน ความทนทานของร่างกายก็เลยไม่เหมือนกัน แถมยังด้อยกว่านิดหน่อยด้วย หลิงหลานรู้ว่าอยากก้าวหน้าไปอีกขั้น อยากเข้าสู่ระดับราชัน หรือแม้กระทั่งระดับเทวะสูงสุดนั้น เธอจำเป็นต้องหาทางทะลวงขีดจำกัดร่างกาย ไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็เป็นคำพูดเลื่อนลอย
“บางที นี่ก็คือสิ่งที่อาจารย์หมายเลขหนึ่งพูดไว้ เพราะร่างกายของเรากับวิถีที่เราเดินไม่เข้ากัน บางทีพอร่างกายของเราอยู่ร่วมกับวิถีได้แล้ว สภาพร่างกายที่จำกัดการเติบโตต่อไปของเราก็คงไม่อยู่แล้วเหมือนกัน” หลิงหลานเกิดความรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย ถึงแม้ในใจกังวลอยู่บ้าง แต่หลิงหลานรู้แจ่มแจ้งว่า รีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์ อยากแก้ไขเรื่องพวกนี้จำเป็นต้องมีจังหวะ น่าเสียดายที่ จังหวะนี้ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่ายๆ ขนาดนั้น
‘ติ๊ดๆๆ!’ หลิงหลานที่จมอยู่ในห้วงความคิดพลันได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นจากอุปกรณ์สื่อสาร เธอเปิดดู ก่อนจะพบว่าเป็นอู่จย่ง เธอกดปุ่มรับสายอย่างงุนงง จากนั้นก็ได้ยินอู่จย่งที่อยู่ปลายสายตะโกนเสียงดังว่า “ลูกพี่หลาน นายว่างหรือเปล่า?”
ดูเวลาที่แจ้งบนหน้าจอหุ่นรบ สามโมงกว่าแล้ว คิดๆ ดูแล้วเหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ก็เลิกคาบแล้ว เธอเลยเอ่ยว่า “มีเรื่องอะไร?”
อู่จย่งได้ยินก็รู้ว่ามีแนวโน้มที่ดี เลยกล่าวว่า “ถ้าเกิดลูกพี่ว่าง ฉันจะเรียกหัวหน้าทีมทั้งหมดในกลุ่มกับสมาชิกนักเรียนที่โดดเด่นจากภาควิชาต่างๆ ของกลุ่มมาประชุมกันที่ศูนย์บัญชาการ...”
หลิงหลานขมวดคิ้วถามว่า “ประชุม?”
อู่จย่งคล้ายกับได้ยินความไม่พอใจจากในเสียงของหลิงหลาน เลยรีบอธิบายว่า “ลูกพี่ นายลืมไปแล้วหรือไงว่า เมื่อวานระดับสูงของโรงเรียนมอบสิทธิ์การออกไปประลองในศึกประลองหุ่นรบครั้งใหญ่ให้กลุ่มพวกเราอย่างเป็นทางการแล้วนะ? เมื่อวานฉันกับฉีหลง หลี่อิงเจี๋ยปรึกษากันครึ่งค่อนวัน คิดว่ารายชื่อที่ออกไปประลองนี้ตัดสินใจยากมากจริงๆ เพราะงั้นก็เลยอยากเปิดการประชุม ระดมความคิดกัน”
——————————