“เอ๊ะ? รู้สึกเหมือนเคยมาที่นี่มาก่อนเลยแฮะ”
โทริโกะพูดขึ้นมาแบบนั้นในตอนที่เธอมองไปรอบๆ ตรงหน้าสถานีเซบุ-ชิชิบุ พอฉันได้ยินแบบนั้นก็ฉุนสวนกลับไปเลย
“นี่เพิ่งรู้สึกตัวเหรอเนี่ย!? พวกเราเคยมาเมื่อตอนนั้นที่เจอกับท่านฮัชชาคุไง จำได้มั้ย? ตอนที่กลับมาจากโลกเบื้องหลัง พวกเราก็ไปอยู่ที่ศาลเจ้าในชิชิบุไง”
“อ้อ! ที่นั่นคือที่นี่เองเหรอเนี่ย! จำได้แล้วๆ พวกเราโบกแท็กซี่บนถนนบนเขาสินะ แล้วก็กลับมาที่นี่… หาคัตสึด้งอะไรซักอย่างกินกันที่สถานีด้วย แล้วก็ค่อยกลับบ้านกันสินะ? เห็นว่าชื่อมันบาดตาดีเลยด้วยนี่นา มันชื่อว่าอะไรนะ?”
“วาราจิคัตสึทองคำไง”
“ใช่ๆ นั่นแหละๆ นั่นมันหลังจากที่เพิ่งเจอเธอได้ไม่นานเองนี่เนอะ อ่า ความทรงจำนี่น้า”
TN: わらじかつ (Waraji Katsu) คือข้าวหน้าหมูทอดของขึ้นชื่อของชิชิบุ จุดเด่นคือการนำหมูที่ทอดเสร็จแล้วไปต้มในน้ำซอสที่มีโชวยุเป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อให้น้ำซอสซึมเข้าไปในเนื้อโดยที่ยังคงความกรอบของหมูทอดไว้อยู่ โดยสาเหตุของชื่อ “วาราจิ” ก็เป็นเพราะขนาดของหมูทอดที่ใหญ่กว่าปกติ อีกทั้งยังมีลักษณะเรียวยาว รูปทรงคล้ายกับรองเท้าสานวาราจิแบบโบราณของญี่ปุ่นนั่นเอง
ส่วนตัวรองเท้าจะหน้าตาแบบนี้ ขอให้โชคดีกับมื้อดึกครับ วะฮะฮะฮ่า!
โทริโกะพูดขึ้นมาอย่างดีใจ
ฉันไม่คิดว่ามันจะนานพอขนาดจะรู้สึกหวนคิดถึงความหลังนะ แต่ก็รู้สึกว่ามันผ่านมานานเหมือนกัน ตอนนั้น ฉันยังไม่เชื่อใจโทริโกะเลย แล้วโทริโกะก็ยังไม่รู้ว่าฉันเป็นคนยังไงด้วย ฉันว่าตั้งแต่ตอนนั้น ผ่านมา 6 เดือนนี่ ความสัมพันธ์ของพวกเราเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ แต่เรื่องที่ว่ามันเปลี่ยนไปเป็นแบบไหนนี่มันก็… ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้จริงๆ นะ แต่ว่ามันก็ดีกว่าเดิมเยอะเลย ฉันว่าฉันมั่นใจประมาณนั้นแหละ
ที่นี่มีอาคารสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะแยะเลย นอกจากบ่อน้ำร้อนสำหรับคนที่มาเที่ยวที่นี่แบบเช้าไปเย็นกลับแล้ว ก็ยังมีศูนย์อาหารที่อยู่ติดกับอาคารสถานีด้วย มีคนปีนเขาที่เตรียมกำลังจะปีนขึ้นไป หรือไม่ก็กลับลงมาหลังจากที่มาปีนตั้งแต่เช้าตรู่แออัดอยู่กันเต็มไปหมดเลย นี่เพิ่งใกล้จะเที่ยงเองนะ แต่จากที่ฉันดูๆ แล้วเนี่ย ทุกร้านมันดูจะมีคนแน่นไปหมดเลย
“เอายังไงดีล่ะคะ? หิวกันหรือเปล่า?”
ฉันหันไปถามทั้ง 2 คน แล้วคุณโคซากุระที่ดูจะเอียนกับคนเยอะแบบนี้จะแย่แล้วก็ส่ายหน้าตอบมา
“อาหารน่ะรอได้ ไปที่โรงแรมก่อนเถอะ”
“โอเคค่ะ เธอเอาด้วยมั้ย โทริโกะ?”
“เอาสิ ไปกันโล้ด”
โรงแรมที่เราพักมีระบบรถรับส่งด้วยนะ แต่ถ้าเราเรียกตอนนี้ ก็คงต้องใช้เวลาซักพักเลยกว่าเขาจะมาถึง พวกเราก็เลยเลือกจะเรียกแท็กซี่กันแทน ถ้าฉันกับโทริโกะแบ่งกันจ่าย 2 คน ราคามันก็ไม่ได้แพงขนาดนั้นหรอก… มั้งนะ
ฉันรู้สึกว่าการใช้จ่ายของตัวเองนี่ ตั้งแต่เจอกับโทริโกะมา มันก็ผิดเพี้ยนไปหมดเลยนะ ฉันคนก่อนนี่ไม่มีทางจะมาเรียกใช้แท็กซี่ที่นี่แน่ ถ้าตอนที่ฉันมาสภาพคล่องทางการเงินดีเกินไปแล้วเกิดเรื่องแบบนี้ล่ะก็ ฉันคงจะหักห้ามตัวเองได้แย่กว่าฉันคิดเยอะเลยนะเนี่ย
พวกเราเรียกแท็กซี่ที่หน้าสถานี แล้วก็ยกกระเป๋าเดินทางของคุณโคซากุระเอาไว้ที่กระโปรงหลังรถ พอคนขับเขาเห็นว่าฉันกับโทริโกะไม่เอากระเป๋าไปไว้หลังรถด้วย เขาก็ดูงงๆ
คือ ในนี้มันมีปืนของพวกเราอยู่ล่ะนะ เราก็เลยไม่อยากให้มันอยู่ไกลมือเราเท่าไหร่น่ะ
แล้วแท็กซี่ก็ออกจากสถานี และขับตรงเข้าไปในภูเขา พวกเรานั่งรถไปตามถนนขึ้นเขาอันคดเคี้ยวอยู่ครึ่งชั่วโมงได้ ยิ่งขึ้นไปสูง ต้นไม้เขียวขจีรอบๆ เราก็กลายเป็นสีเหลืองมากขึ้นๆ น่าจะช่วงที่พวกใบไม้สีเหลืองรอบๆ เราเปลี่ยนเป็นสีแดงได้ซัก 1 ใน 3 มั้ง พวกเราถึงได้เห็นอาคารหลังใหญ่โผล่ออกมาจากพวกต้นไม้ มันเป็นอาคารไม้เก่าๆ ที่มีต้นไม้ต้นใหญ่ยื่นกิ่งก้านขึ้นไปเหนือหลังคามุงกระเบื้องหลังนึง นี่แหละ โรงแรมออนเซ็นที่พวกเรามาพักกันล่ะ
พอพวกเราลงมาจากรถตรงหน้าทางเขา โทริโกะก็เริ่มทำจมูกฟุดฟิดกับอากาศรอบๆ เลย
“นี่กลิ่นอะไรน่ะ?”
“น่าจะเป็นกลิ่นน้ำพุร้อนนะ”
“อ้อ! …ก็จริงนะ”
โทริโกะงึมงำกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจะเขินๆ หน่อย ดูเหมือนเธอเกือบจะลืมแล้วนะว่าเราจะมาแช่ออนเซ็นกันน่ะ
ประตูทางเข้าทำมาจากไม้เนื้อเนียนสีเข้ม กระจกที่ติดอยู่ก็ดูจะเบี้ยวนิดๆ แสดงให้เห็นถึงยุคอดีตที่โรงแรมถูกสร้างขึ้นได้เลย ประตูเลื่อนเปิดออกพร้อมกับเสียงแหลมเสียดหู เผยให้เห็นโถงล็อบบี้ที่ปูพื้นด้วยพรมแดง แล้วฉันก็ต้องตกใจเลยล่ะที่เห็นว่าจุดถอดรองเท้ามีรองเท้าหนังสีดำอยู่เต็มไปหมดเลย
“ดูเขาจะยุ่งน่าดูเลยเนอะ?”
โทริโกะพูดขึ้นในขณะที่มองตามสายตาของฉันไป ฉันเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
“กลุ่มนักธุรกิจล่ะมั้ง? หวังว่าพวกเขาจะไม่เสียงดังกันนะ”
พวกเราถอดรองเท้าเอาไว้ที่ประตูทางเข้า และเอาไปเก็บในชั้นวางรองเท้า ระหว่างที่พวกเราเดินลากรองเท้าแตะผ่านล็อบบี้ไป มีหมีสตัฟฟ์ นกภูเขาสตัฟฟ์ แล้วก็มีตุ๊กตาญี่ปุ่นในชุดกิโมโนสะดุดตาจ้องพวกเราอยู่ด้วย
“ทำไมเธอถึงเลือกมาที่นี่เนี่ย?”
คุณโคซากุระถามขึ้นมา ดูเหมือนเธอจะแหยงสายตาลูกแก้วจากพวกสัตว์สตัฟฟ์อยู่หน่อยๆ นะ
“เพราะที่นี่เปิดมานานแล้วค่ะ รีวิวก็ดี อาหารเองก็ดูจะอร่อยด้วย แล้วก็…”
“แล้วก็?”
“มีแค่ที่นี่ค่ะที่อนุญาตให้เราเปลี่ยนจากจากแผนเที่ยวตั๋วคู่รวมเป็น 3 คนได้น่ะค่ะ”
พวกเราเข้าไปเช็คอินที่แผนกต้อนรับส่วนหน้า ก่อนจะเดินตัดผ่านพื้นไม้ที่ลั่นเอี๊ยดอ๊าดไปถึงห้องของพวกเรา โทริโกะก็หันกลับไปมองที่ล็อบบี้อีกที
“ครั้งแรกเลยนะที่ฉันไม่ได้กุญแจมาจากแผนกต้อนรับน่ะ”
“ที่นี่เป็นประตูเลื่อนฟุซุมะน่ะ ก็เลยไม่มีกุญแจล็อกประตู”
TN: 襖 (Fusuma) เป็นสิ่งที่ใช้กั้นพื้นที่ในบ้านของชาวญี่ปุ่น บางครั้งใช้กั้นเป็นผนัง หรืออาจจะใช้กั้นทำเป็นประตูเลื่อน มีโครงเป็นไม้มาวางขัดกัน หลังจากนั้นเอากระดาษสามาขึง ขั้นตอนสุดท้ายก็นำกระดาษฟุซุมะมาประกบทั้ง 2 ฝั่ง กระดาษฟุซุมะจะมีทั้งแบบกระดาษ ผ้าทอ แถมยังมีแบบที่มีลาย แบบสีเรียบ ๆ ไม่มีลาย หรือแบบที่เล่นสีมากมายหลายชนิด
บานทางขวานะครับ บานทางซ้ายนี้คือ “โชจิ” เดี๋ยวอธิบายให้ตอนหน้านะ ^^
ฉันมองออกไปดูที่หน้าต่างตรงโถงทางเดิน ก็ตกใจเลยทที่เห็นว่าพื้นดินมันดูไกลกว่าที่ฉันคิดเยอะเลย ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้เดินขึ้นบันไดมาเลยนะ แต่เราก็ขึ้นมาอยู่ชั้น 2 แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฉันดูแผนผังบอกชั้นก็เห็นว่าพวกเขาขยายกับแต่งเติมอาคารมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนมันก็มีทั้งพวกหัวมุมที่มีองศาแปลกๆ ทั้งระดับความสูงที่ต่างกันตั้งแต่ 10 ถึง 20 เซนติเมตร ทั้งสายเคเบิลที่เชื่อมต่อกับเราเตอร์ไวไฟใหม่เอี่ยม วางพาดอยู่บนเพดานเป็นรอยเปื้อนที่ดูเหมือนจะอยู่มานานเป็นร้อยปีนี่ ดูผิดยุคผิดสมัยกันสุดๆ เลย
พวกเราถูกนำมาที่ห้องเปิดไฟสว่างห้องนึง ที่ใหญ่กว่าอพาร์ทเมนท์ของฉันประมาณ 3 เท่าได้ ข้างนอกหน้าต่างก็เห็นฉากใบไม้ร่วงโรยกว้างออกไปด้วย
โทริโกะตื่นเต้นดีใจกับภาพที่เธอเห็น ก่อนจะเข้าไปเกาะที่หน้าต่างเพื่อดูมันให้ชัดขึ้น
“ว้าว! ยอดเลย มีแม่น้ำไหลผ่านตรงนี้ด้วยล่ะ”
คุณโคซากุระเงยหน้าขึ้นมามองที่ฉัน
“เป็นห้องที่ดูดีเลยนี่นา? นี่จะดีเหรอ?”
“ค่ะ ขอบคุณตั๋วใบนั้นที่คุณให้พวกเราด้วยนะคะ”
“เอาเถอะ โอเค แล้ว… ห้องฉันล่ะ? ห้องข้างๆ นี่เหรอ?”
“ที่นี่ค่ะ”
“หา?”
“พวกเราพักห้องเดียวกันหมดนะคะ”
พอฉันตอบเธอไปแบบนั้น คุณโคซากุระก็ทั้งตกใจทั้งงงจนไม่รู้เลยว่าจะตอบกลับมายังไง
“ฮะ? นี่ให้ฉันพักอยู่ห้องเดียวกับพวกเธอน่ะนะ!? ไม่เอาได้มั้ยเนี่ย”
“ทำไมล่ะคะ!?”
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าไม่อยากจะนอนอยู่ห้องเดียวกับคู่รักจู๋จี๋อย่างพวกเธอน่ะ!? พวกเธอ 2 คนไปสนุกกันเองได้เลย จะให้ฉันอยู่ที่นี่ด้วยก็รังแต่จะทำให้ฉันรู้สึกแย่เปล่าๆ อีก”
“ไม่ใช่แบบนั้นเลยนะคะ”
“ใช่ๆ ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อยนะ โคซากุระ”
พอโทริโกะเดินจากหน้าต่างมาช่วยฉันพูดด้วยอีกแรง คุณโคซากุระก็ถอนหายใจออกมาอย่างรำคาญ
“โอ้ย ให้ตายเถอะ ยังงั้นก็ได้ บ้าจริงๆ”
“ดีจังที่เธอว่างั้นนะ มาสนุกด้วยกันเถอะ”
“ฉันไม่สนุกด้วยเนี่ยสิ”
คุณโคซากุระพูดสวนมาแบบห้วนๆ เลย
TN: …คุณโคซากุระครับ ใจเย็นๆ ก่อนนะ ช่วยสาวๆ ใจว้าวุ่น 2 คนนี้ก่อนเถอะ 555
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r