บทที่ 817 การตายของวิญญาณทมิฬ (2)
หลงอีขวางอยู่ข้างหน้ากู้เจียว มองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
วิญญาณทมิฬเหน็บแนม “เจ้าจำอะไรไม่ได้จริงๆ หรือนี่ แม้แต่ข้าก็จำไม่ได้รึ” เขามองกู้เจียว ก่อนเอ่ยกับหลงอีต่ออีก “เจ้าอย่าได้โดนคนผู้นี้หลอกเอา เจ้าอยู่ฝั่งเดียวกันกับข้าต่างหาก ข้าเป็นศิษย์พี่เจ้า ตอนนั้นภารกิจเจ้าล้มเหลว หากข้าเป็นเจ้า จะกลับไปรับโทษแต่โดยดี”
“เจ้าหลบไป อย่าได้มาสอด ข้าจะคิดเสียว่าหลายปีมานี้เจ้าไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวกันกับพวกแคว้นเจา กลับไปข้าจะไม่เปิดโปงเจ้า”
หลงอีไม่หลบ
วิญญาณทมิฬแววตาทะมึนขึ้น “เห็นทีไม้อ่อนดีๆ ไม่ชอบเจ้าจะชอบไม้แข็งนะ! เจ้าคิดจริงๆ รึว่าข้าสู้เจ้าไม่ได้ เจ้าดูเบาข้าเกินไปแล้ว!”
เพิ่งจะเอ่ยจบ เขาก็เคลื่อนกำลังภายในทั้งตัวอย่างแรง
กู้เจียวมีประสาทเฉียบคมต่อกลิ่นอายของหน่วยกล้าตายเป็นพิเศษ นางสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของวิญญาณทมิฬแข็งแกร่งกว่าคราก่อนๆ อย่างชัดเจน ก้าวหน้าขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร
แม้ว่าหน่วยกล้าตายจะแข็งแกร่งขึ้นหลังจากทะลวงศัตรูคราแล้วคราเล่า แต่ระดับความแข็งแกร่งของเขาที่เพิ่มพูนมาก็ช่างน่าตกใจเกินไปแล้ว
จะเกี่ยวข้องกับพิษจื่อเฉ่าที่เขาเคยโดนหรือไม่
หากเป็นเช่นนี้จริง หลงอีก็ค่อนข้างเสียเปรียบทีเดียว
หลายปีมานี้วิญญาณทมิฬเพื่อเพิ่มพนูกำลังภายในของตัวเอง เข้าร่วมการต่อสู้เป็นตายกับคนอื่นไม่น้อย หลงอีกลับไม่มีโอกาสเช่นนี้ตอนอยู่ที่แคว้นเจาเลย
เป็นดังที่คาด การปะทะกันครานี้ วิญญาณทมิฬเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด
วิญญาณทมิฬชักกระบี่พกออกจากบั้นเอวเพื่อจบศึกนี้เสียที หลงอีก็ชักกระบี่เข้าต้านเช่นกัน
นี่เป็นครั้งงแรกที่กู้เจียวเห็นหลงอีชักกระบี่ออกมา ทั้งสองสมกับที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน วิถีกระบี่แบบเดียวกันเป๊ะ ล้วนใช้กระบี่เร็วเป็นหลัก กระบวนแรกยังตีไม่ทันเสร็จ อีกกระบวนก็ตามมาแล้ว
ดวงตากู้เจียวกลอกกลิ้งไปมารวดเร็วจนมองไม่ทันแล้ว “วิถีกระบี่รวดเร็วนัก!”
แค่ดูจากการปะทะกันเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะด้านกระบวนท่าหรือด้านกำลังภายใน วิญญาณทมิฬก็เป็นฝ่ายได้เปรียบทั้งสิ้น
วิญญาณทมิฬฟันกระบี่ใส่แขนซ้ายหลงอี หลงอียกกระบี่ขึ้นต้าน วิญญาณทมิฬเอ่ยอย่างเย็นชา “หลายปีมานี้ข้าเพียรฝึกวรยุทธ์ ก็เพราะคิดว่าหากเจ้ายังไม่ตาย ข้าจะได้ชนะเจ้าอย่างผ่าเผย!”
เขาเอ่ยจบก็ถีบท้องหลงอีไปทีหนึ่ง ใครจะคิดว่าถีบไม่โดน กลับยังมาโดนหลงอีใช้กระบี่ฟันแขนเป็นแผลอีก
วิญญาณทมิฬขมวดคิ้ว มองคราบโลหิตที่ไหลซึมออกจากแขนซ้าย กัดฟันเอ่ย “ประมาทไปหน่อยจริงๆ ”
กู้เจียวจงใจยั่วโทสะเขา “ประมาทอะไรกัน เจ้าสู้หลงอีไม่ได้ต่างหาก! เจ้าดูเจ้าลำบากลำบนฝึกฝนมาตั้งหลายปีมันมีประโยชน์อะไร ก็ยังสู้พิชิตเวหาที่สูญเสียความทรงจำไปไม่ได้อยู่ดีมิใช่รึ”
วิญญาณทมิฬโดนแทงใจดำ ก็พลันชะงัก เกือบจะโดนกระบี่หลงอีอีกหน
เขาเอ่ยด้วยความเดือดดาล “เด็กหน้าเหม็น! เจ้าหุบปาก!”
กู้เจียวยักคิ้วเอ่ย “สู้ไม่ได้ก็ให้หุบปากแล้วรึ เช่นนั้นเจ้าก็หยุดสู้ได้แล้ว วิ่งหางจุกตูดหนีไปก็พอ! รอเจ้ากลับไปฝึกอีกแปดปีสิบปี ดูว่าจะพอมีฝีมือสูสีกับหลงอีได้หรือไม่ ข้าว่าก็ยังค่อนข้างยากอยู่ดีนะ!”
วิญญาณทมิฬเป็นหน่วยกล้าตายที่หยิ่งทระนง ชั่วชีวิตนี้เขาอยู่ใต้เงาของพิชิตเวหามาตลอด พิชิตเวหาคืออุปสรรคของเขา เขาไม่อาจปล่อยให้คนอื่นมาบอกว่าเขาสู้พิชิตเวหาไม่ได้เป็นอันขาด!
“นั่นมันเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว! ข้าไม่ใช่ผู้พ่ายให้แก่พิชิตเวหาอีกต่อไป!”
วิญญาณทมิฬแทบจะเค้นประโยคสุดท้ายลอดไรฟันออกมา เขาเคลื่อนกำลังภายในมหาศาลแทงกระบี่ใส่หัวใจของหลงอี
จนใจที่เขาโดนก่อกวนมากเกินไป ปราณไม่มั่นคง หลงอีจึงมองกระบวนท่าเขาออกแต่แรก
หลงอีพลิกมือปัดกระบี่ยาวของเขากระเด็นทั้งอย่างนั้น!
กระบี่นี้เป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายทั้งหมด
วิญญาณทมิฬโดนกระตุ้นโทสะสุดขีดแล้ว แววตาทะมึนมืดของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือด กลิ่นอายของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง
กู้เจียวคุ้นเคยกับกลิ่นอายชนิดนี้ยิ่งนัก
วิญญาณทมิฬเขา… กำลังจะสติหลุดแล้ว!
กั๋วซือเคยบอกไว้ ผู้ที่โดนพิษจื่อเฉ่าล้วนมีอาการสติหลุดไม่มากก็น้อย โดยปกติแล้วจะเกิดขึ้นในช่วงความเป็นความตาย แต่ก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน
ราชาม้าเฮยเฟิงสัมผัสได้จากสัญชาตญาณว่ามีอันตราย มันเกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่างตามสัญชาตญาณ
วิญญาณทมิฬพุ่งเข้าใส่หลงอี ชิงกระบี่ยาวของเขาคืนด้วยมือเปล่า แล้วซัดหลงอีกระเด็นลงพื้น!
เขาเร้นกายรวดเร็วมาข้างกายหลงอี คว้าเสื้อส่วนหน้าของหลงอีขึ้นมา ต่อยหลงอีหมัดแล้วหมัดเล่า!
แต่ละหมัดของเขาเจือกำลังภายในอันน่าสะพรึงเอาไว้ กู้เจียวได้ยินเสียงกระดูกหัก
หลงอีถูกวิญญาณทมิฬที่สติหลุดกดไว้ทั้งตัว!
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่าได้รับการล่อลวงจากกลิ่นอายของวิญญาณทมิฬ หรือมาจากการป้องกันโดยสัญชาตญาณ กู้เจียวก็สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของหลงอีเปลี่ยนแปรไปเช่นกัน
หลงอี… ก็กำลังจะสติหลุดแล้ว!
หลงอีดวงตาแดงฉานมองวิญญาณทมิฬ แต่ละหมัดที่กระแทกร่างเขา ราวกับกำลังงัดตรวนที่พันธนาการไอสังหารของเขาเอาไว้ให้สะบั้น
แววตากู้เจียวเย็นยะเยียบ ล้วงลูกธนูจากด้านหลัง ง้างจนเต็มเหนี่ยว ก่อนยิงใส่ต้นขาของวิญญาณทมิฬทะลุ!
วิญญาณทมิฬอยู่ในสภาวะเช่นนี้ อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงนี้ไม่นับว่าเป็นอะไรได้เลย เขาถึงขั้นไม่รู้สึกเจ็บปวดด้วยซ้ำ
ทว่าเขาก็ไม่อนุญาตให้ตัวเองโดนท้าทายเช่นกัน
เขาโยนหลงอีที่อยู่ในมือทิ้ง ซัดฝ่ามือกลางอากาศมายังกู้เจียว!
ราชาม้าเฮยเฟิงกำลังจะพากู้เจียวหนี เสียดายที่สายไปเสียแล้ว กู้เจียวโดนฝ่ามือเขาซัดเข้าอย่างจัง ตีลังกากระเด็นไปทั้งตัว กระแทกกับกำแพงของร้านสุราอย่างแรง
นางร่วงลงพื้น กำแพงหินขนาดใหญ่พังทลายลงมาทับนางทันที!
ทว่ากู้เจียวกลับไม่ได้โดนกำแพงที่พังทลายกลบมิด
หลงอีใช้ลำตัวสูงใหญ่ปกป้องนางไว้
กู้เจียวมองดวงตาที่เต็มไปด้วยหมอกโลหิตของเขา มองหมอกโลหิตเหล่านั้นสลายไปทีละนิด “หลงอี…”
หลงอีหอบหายใจ
เขาไม่ได้สติหลุด
ไม่ได้กลับไปเป็นสัตว์ร้ายที่รู้จักแต่เข่นฆ่า
หลงอีหนีบกู้เจียวเดินออกมา ใช้วิชาตัวเบาทะยานตัวขึ้น วางกู้เจียวกลับบนหลังม้าราชาเฮยเฟิงคืนอย่างแผ่วเบา
จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าใส่วิญญาณทมิฬราวกับสายฟ้า ซัดหมัดใส่หน้าอกวิญญาณทมิฬอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด!
วิญญาณทมิฬหลบไม่ทัน โดนซัดล้มกับพื้นทันที!
หลงอีซัดหมัดแล้วหมัดเล่าใส่จนซี่โครงของเขาหักกร๊อบ ทิ่มเข้าปอด
ลมหายใจเขากระชั้นขึ้นมา ความเจ็บเสียดมหาศาลและการไหลเวียนของกำลังภายในอย่างรวดเร็วทำให้เขาค่อยๆ กลับมาได้สติ
เขามองหลงอีที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ
กล่าวตามตรงว่าแววตาของหลงอีมีไอสังหาร แต่ไม่ใช่ไอสังหารหลังจากสติหลุด
เพราะเหตุใดกัน
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
เหตุใดเขาจึงยังโจมตีตนที่สติหลุดได้ด้วยสภาวะที่มีสติแจ่มชัดได้
“เจ้าไม่มีทาง…เอาชนะ…ข้า…”
เขายังเอ่ยไม่ทันจบ หลงอีก็พลิกมือบีบลำคอเขาหักดังกร๊อบ!
วิญญาณทมิฬล้มกับพื้นตายตาไม่หลับ ราวกับไม่เข้าใจว่ากระทั่งตายแล้วเหตุใดตนเองจึงพ่ายแพ้
เขาไม่ได้แพ้ให้พิชิตเวหาที่เป็นหน่วยกล้าตาย
แต่พ่ายแพ้ให้กับคนที่มีนามว่าหลงอี