หลังจากที่พวกเราไปเอาสัมภาระของเรามาจากตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญ เราก็ขึ้นรถไฟอีกรอบนึง ต่อด้วยเปลี่ยนรถไปขึ้นรถไฟสายด่วนที่สถานีโทโคโรซาว่า จำนวนผู้โดยสารนี่ก็แน่นสุดๆ เพราะเป็นช่วงวันหยุดด้วยนั่นแหละ แต่ตรงที่นั่งของพวกเราที่หันหน้าชนกันก็มีที่อยู่เยอะเลย เราก็เลยไม่ได้รู้สึกอึดอัดเท่าไหร่
คุณโคซากุระดิ้นไปดิ้นมาอยู่ซักพัก พยายามหาวิธีที่ดีที่สุดในการนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่นี่ ในท้ายที่สุด เธอก็จบลงที่การนั่งขัดสมาธิหันหน้าเฉียงๆ เอา ก่อนจะบ่นออกมาอย่างไม่พอใจ
“เพราะแบบนี้ไงฉันถึงเกลียดการออกมาเที่ยวข้างนอกน่ะ เก้าอี้ส่วนใหญ่มันไม่เข้ากับร่างกายของฉันเลย”
“ก็ มันมีเบาะสำหรับเด็กย-…”
“ฉันจะเชือดเธอแน่”
คำขู่ฆ่าจากคุณโคซากุระทำให้ปากของโทริโกะปิดสนิทก่อนที่เธอจะทันพูดความเห็นที่ไม่แยแสนั่นออกมาได้จบประโยค
ไม่ถึงชั่วโมงดี พวกเราก็มาถึงสถานีปลายทางอย่างเซบุ-ชิชิบุ ฉันก็ยังถกกันอยู่เลยว่าจะซื้อข้าวกล่องที่สถานีรถไฟดีมั้ย จนรถไฟออกนั่นแหละ รถที่พวกเรานั่งกันเป็นรถใหม่ที่ชื่อว่าลาวิวหรืออะไรนี่แหละ มันวิ่งได้เงียบสุดๆ ไปเลยล่ะ ฉันกับโทริโกะนั่งอยู่ข้างๆ กัน ส่วนคุณโคซากุระก็นั่งอยู่ติดหน้าต่างอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเรา ระหว่างที่ฉันนั่งมองวิวที่เลื่อนผ่านไปจากหน้าต่างบานใหญ่ไปเรื่อยๆ ฉันก็ชักจะเริ่มง่วงแล้วสิ
หลังจากที่หาวใหญ่ๆ ไปทีนึง ฉันก็เพิ่งเห็นว่าคุณโคซากุระผลอยหลับไปก่อนหน้าฉันแล้ว แท็บเล็ตที่วางอยู่ตรงหน้าตักเธอก็ดับไปแล้วด้วย พอฉันหันไปมองข้างๆ ก็เห็นโทริโกะนั่งเอาแขนเท้ากับที่พักแขนหลับไปแล้วอีกคน นี่ชิงหลับกันไปก่อนฉันแล้วเหรอเนี่ย! นี่ถ้าหลับกันไปทั้งคู่แล้ว ก็แปลว่าฉันต้องเป็นคนคอยตื่นเอาไว้น่ะสิ
TN: Laview เป็นรถไฟขบวนใหม่ในเครือเซบุ โดยชื่อมีความหมายแต่ละคำอย่าง
– [L] : Luxurious Living หรูหรา สะดวกสบาย เหมือนอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้าน
– [a] : arrow ความเร็วดุจลูกศร
– [view] : views กระจกที่ใหญ่ ชมวิวได้เต็มอิ่ม เพิ่มความเพลิดเพลินระหว่างการเดินทาง ได้เริ่มให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2019
องค์ประกอบที่โดดเด่นที่สุดของ Laview คือ หัวรถไฟที่โค้งมน ส่วนกระจกบังลมทำจากกระจกโค้งสามมิติรัศมีโค้ง 1,500 มิลลิเมตร ตู้โดยสารตกแต่งด้วยหน้าต่างบานใหญ่ โดยแต่ละบานสูง 1,350 มิลลิเมตร กว้าง 1,580 มิลลิเมตร และมีระยะห่างเท่าๆ กัน ทำให้ผู้โดยสารสามารถชมวิวทิวทัศน์ข้างทางได้อย่างเต็มตา ภายในมีการใช้โทนสีเหลืองอบอุ่นเพื่อสร้างบรรยากาศสบายๆ เหมือนอยู่ในห้องนั่งเล่น มีเต้าเสียบไฟฟ้าในแต่ละที่นั่ง และทุกตู้โดยสารมีบริการ “SEIBU FREE Wi-Fi” และยังมีจอวิดีโอขนาดใหญ่ 23 นิ้วที่แสดงข้อมูลใน 4 ภาษา ได้แก่ ญี่ปุ่น อังกฤษ เกาหลี และจีนกลาง ซึ่งทั้งหมดนี้จะมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้โดยสารทุกคน
เหตุผลที่ฉันชวนคุณโคซากุระมาด้วยน่ะก็เป็นอย่างที่เธอคิดเลย ฉันไม่ไหวจริงๆ นั่นแหละ เกลียดจังที่ต้องยอมรับแบบนี้
สารภาพตามตรงคือ ฉันกลัว กลัวเรื่องที่ว่าจะไปแช่น้ำกับโทริโกะกัน 2 คนน่ะ
ไม่สิ—พูดให้ตรงกว่านั้นคือ ฉันกลัวเรื่องที่โทริโกะกลัวมากกว่า ฉันไม่ได้ชินกับการแช่น้ำกับคนอื่นอะไรขนาดนั้นหรอก แต่ตอนประถมฉันก็เคยไปลงแช่ตอนทัศนศึกษาด้วย ในชีวิตก็เคยไปแช่ในโรงอาบน้ำใหญ่ๆ เหมือนกัน เพราะแบบนั้นแหละ ตอนที่ฉันได้ยินว่าเป็นการเที่ยวทริปแช่ออนเซ็นกัน 2 คน ฉันก็เลยรู้สึกตระหนกขึ้นมานิดๆ เลย ความคิดเดียวที่มันเข้ามาในหัวฉันตอนที่ได้ยินเรื่องที่จะไปแช่น้ำกับโทริโกะเลยคือ อ่า เรื่องแบบนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ล่ะเนอะ?
แต่โทริโกะดูจะตระหนกยิ่งกว่าฉันซะอีก เพราะเธอมาจากแคนาดา ฉันก็เข้าใจอยู่นะที่เธอจะรู้สึกไม่สบายใจกับธรรมเนียมของญี่ปุ่นที่ต้องแก้ผ้าลงแช่น้ำร้อนในบ่อรวมกัน แต่นั่นน่ะมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เธอทำท่าทางน่าสงสัยหรอก สายตาของเธอเลื่อนจากหน้าฉัน ไล่ไปทุกส่วนตั้งแต่คอลงไป แล้วก็กลับมาที่หน้าอีกรอบนึง ตอนที่เธอเห็นว่าฉันรู้ตัวแล้ว สายตาของเธอก็จับอยู่ที่ฉัน ไม่ขยับไปไหนเลย
“ไปแช่ออนเซ็นด้วยกันเถอะ โซราโอะ…!”
ฉันไม่มีทางลืมสีหน้าของโทริโกะตอนที่เธอพูดแบบนั้นกับฉันได้แน่ หน้าเธอแดงแจ๋ลามไปถึงหู ทำท่าทางดูจะทั้งเขินทั้งอายยิ่งกว่าที่ฉันเคยเห็นอีก
แถม ยังกับว่าความเขินอายมันแพร่ติดกันได้เลยนะ พอฉันเห็นว่าโทริโกะรู้สึกเขิน ฉันเองก็เขินตามไปด้วยเนี่ยสิ พอรู้สึกตัว มันก็สายเกินไปแล้ว เรื่องจะเปลือยต่อหน้าโทริโกะมันยิ่งกว่าน่าอายไปไม่รู้กี่ขั้น แล้วฉันก็ยังอดนึกถึงภาพตอนที่ฉันเหลือบเห็นเธอนอนแก้ผ้าตอนเช้าในบ้านพักตากอากาศ ‘สไตล์แบบนิวยอร์ค’ ที่นาฮะไม่ได้เลยเนี่ยสิ
ฉันอายมากเกินจนมองหน้าของโทริโกะที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้เลย แล้วมันก็ทำให้ฉันกลัวด้วย เรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นกับฉันมาก่อนเลยนะ
นี่มันแย่สุดๆ เลย ความสัมพันธ์ของฉันกับโทริโกะกำลังตรงไปที่หัวเลี้ยวอันตรายสุดๆ แถมฉันไม่มีทางเลี้ยวผ่านไปได้เลยด้วย ต้องมีอุบัติเหตุใหญ่เกิดขึ้นแหงๆ สัมผัสถึงภัยอันตรายมันพุ่งสูงเป็นพลุอยู่ในสมองของฉันไปพร้อมๆ กับที่สมองของฉันวิ่งวุ่นมองหาวิธีการแก้ไขปัญหาตรงหน้านี่ด้วย
แล้วสิ่งที่ฉันได้ก็คือ การชวนคุณโคซากุระไปด้วยกัน
“ถ้าคุณเอาด้วย ทำไมไม่มาเที่ยวกับพวกเราล่ะคะ? ไปออนเซ็น…”
เพราะอะไรไม่รู้เหมือนกัน ฉันถึงได้มั่นใจนักมั่นใจหนาว่าถ้าเกิดฉันกับโทริโกะไปด้วยกันแค่ 2 คนล่ะก็ มันต้องมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นแน่เลย อะไรที่ไม่มีทางถอยกลับได้อีก… ฉันว่าโทริโกะเองก็คงจะรู้สึกเหมือนกันล่ะมั้ง ที่ฉันคิดแบบนั้นก็เพราะเธอมาสนับสนุนความคิดของฉันด้วยนี่แหละ ถึงเราจะไม่ได้คุยกันเรื่องนี้เลยก็เถอะ คุณโคซากุระเองก็ชั่งใจสุดๆ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม พวกเราต้องให้เธอมาด้วยให้ได้เลย หรือก็คือ ฉันกับโทริโกะส่ง SOS ไปให้คุณโคซากุระนั่นแหละนะ
เพราะพวกเราบอกคุณโคซากุระว่าเราจะจ่ายค่าตั๋วรถไฟ ค่าที่พัก แล้วก็ค่าอาหารให้เธอเลย เสนอจะยกกระเป๋าให้เธอด้วย ของฝากอะไรที่เธอจะซื้อก็เหมือนกัน ในที่สุด คุณโคซากุระก็ยอมให้กับความพยายามในการร่วมกันโน้มน้าวเธอแบบเต็มที่ ถึงเธอจะดูเหนื่อยใจสุดๆ เลยก็เถอะ เหมือนกับว่านี่มันเป็นภาระยุ่งยากสำหรับเธอจริงๆ แต่ฉันกับโทริโกะนี่โล่งใจเหมือนกันเลย ฉันรู้สึกจริงๆ นะว่ามันเหมือนกับพวกเราผ่านวิกฤติอะไรซักอย่างมาได้แล้ว แล้วตั้งแต่ตอนนั้น โทริโกะกับฉันก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กันเลยซักคำเดียว
พอรถไฟมาถึงสถานีฮันโน รถไฟก็วิ่งไปในทางตรงข้ามแล้ว นี่คงเรียกว่าการกลับทิศรถไฟล่ะมั้ง? ผู้โดยสารคนอื่นๆ รอบๆ เราก็หันเก้าอี้เปลี่ยนไปนั่งในทิศตามที่รถไฟวิ่งไปแทน แต่พวกเรานั่งหันหน้าเข้าหากันมาตลอดทางอยู่แล้ว เพราะงั้นเราก็อยู่กับที่ได้เลย
ฉันเหลือบไปข้างๆ ไปมองที่โทริโกะอีกที ก่อนหน้านี้ ฉันก็เห็นหน้าเธอมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วนะ แต่ก็ยังไม่ชินซักที ฉันจะคิดอยู่ตลอดเลยว่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่สวยขนาดนี้จะมานั่งอยู่ข้างๆ ฉันน่ะ การที่ขนาดนั่งเท้าคางหลับอยู่ที่เบาะที่นั่งของตัวเองก็ยังสวยอยู่เลยนี่มันแย่กว่าอีก ถ้าฉันปล่อยเนื้อปล่อยตัวหลับไปทั้งๆ แบบนี้ล่ะก็ ฉันคงอ้าปาก ปล่อยน้ำลายเริ่มไหล จนกลายเป็นภาพไม่น่ามองแหงๆ เลย
ไม่นาน โทริโกะก็ลืมตาของเธอขึ้นมาช้าๆ เหมือนกับว่ารู้สึกได้ถึงสายตาของฉันที่มองเธออยู่เลย
“หืม…? โทษที ฉันหลับไปสินะ”
เธอบอกพลางขยี้ตา หาวต่ออีกที ก่อนจะเหลือบมามองที่ฉัน ต่อด้วยมองไปที่วิวนอกหน้าต่าง
“เราอยู่ไหนแล้วเนี่ยตอนนี้?”
“เพิ่งผ่านสถานีฮันโนมาเอง หลับต่อได้เลยนะ พวกเราออกมาแต่เช้าด้วย เธอต้องเหนื่อยแน่ๆ คุณโคซากุระเองก็หลับไปแล้วเหมือนกัน”
“เหรอ… ขอบใจนะ กว่าจะเก็บของทุกอย่างที่จำเป็นเสร็จ ฉันก็แทบจะไม่ได้นอนเลยล่ะ”
ฉันก็ไม่รู้นะว่ามันเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่ที่นี่มันก็ใกล้ๆ แถมเราก็ค้างกันแค่ 2 คืนเอง ฉันเอามาแค่เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน แปรงสีฟัน ยาสีฟัน เครื่องสำอางแบบขั้นต่ำสุด คอมของฉัน แล้วก็สายเคเบิลอีกนิดหน่อยที่เอาไว้ใช้ด้วยกัน
ของพวกนั้น แล้วก็มาคารอฟที่พึ่งพาได้ของฉัน เราไม่มีทางรู้นี่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันถึงได้เอามันใส่กระเป๋าไว้ตลอดทุกครั้งที่ฉันออกจากบ้านเลย แล้วก็มีอุปกรณ์สำรวจพื้นฐาน อย่างพวกยา ไฟฉาย แล้วก็อาหารเสบียงฉุกเฉิน ของพวกนี้กับมาคารอฟจะใส่รวมเอาไว้ในกระเป๋ากีฬากันน้ำที่ฉันซื้อมาจากร้านขายของเฉพาะสำหรับทำกิจกรรมกลางแจ้งล่ะนะ
TN: Musette bag คือกระเป๋าสะพายข้างขนาดเล็ก ส่วนมากมักกันน้ำได้ แต่ก็ยังสามารถถ่ายเทอากาศได้อยู่ ใช้ได้ทั้งในชีวิตประจำวันและการเดินทาง
ที่นอกหน้าต่างเป็นแถบเทือกเขาในฮันโนที่ถูกย้อมด้วยสีสันของฤดูใบไม้ร่วง [ฟาร์ม] ของพวกเราก็ตั้งอยู่ที่นี่ซักที่นั่นแหละ มีเกทอยู่ในอาคารพิสดารที่ถูกพวกลัทธินั่นหลายอันเลย ยังไม่มีใครเข้าไปแตะ และทุกอันก็นำไปสู่ที่ไหนก็ไม่รู้ด้วยอีกต่างหาก
พวกเราไปวันนี้ไม่ได้หรอก แต่ว่า… เราจะไปเริ่มสำรวจจากที่ไหนก่อนดีนะ? แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วล่ะ
คุณโคซากุระต้องฝันเห็นอะไรอยู่แน่เลย เพราะเธอหลับอยู่ดีๆ จู่ๆ เธอก็สะดุ้งขึ้นมา ฉันนึกว่าเธออาจจะตื่นแล้วก็ได้ แต่เธอก็แค่งึมงำอะไรซักอย่าง ก่อนจะกลับไปเงียบเหมือนเดิมอีกรอบนึง
ฉันจินตนาการฝันถึงการสำรวจครั้งต่อไปของพวกเราอยู่คนเดียว แต่ความคิดเรื่องที่ว่าตัวเองกำลังจะไปแช่ออนเซ็นกับโทริโกะมันก็คอยเข้ามาแทรกอยู่เป็นระยะๆ อยู่ดี ตั้งสมาธิกับเรื่องที่คิดอยู่ไม่ได้เลยเนี่ย
โธ่ มันก็แค่บ่อน้ำร้อนเท่านั้นแหละน่า มันจะอะไรนักหนาเล่า? คุณโคซากุระก็อยู่ด้วยไม่ใช่หรือไง พวกเราไม่ได้อยู่กันตามลำพักซักหน่อย ไม่มีต้องกังวลหรอก
ทุกอย่างไม่เป็นไรแน่
ไม่เป็นไร?
อะไรคือไม่เป็นไร? แล้วมันยังไงล่ะเนี่ย?
ฉันนั่งอยู่ตรงนั้น ค่อยๆ สูญเสียความใจเย็นของตัวเองไปอย่างเงียบๆ ในขณะที่รถไฟลาวิวก็วิ่งเข้าไปใกล้กับสถานีปลายทางของมัน สถานีเซบุ-ชิชิบุมากขึ้นเรื่อยๆ
TN: วัยรุ่น วัยว้าวุ่นสุดๆ ไปเลยจ้า~ ^^
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r