ในเช้าวันเสาร์ ฉันก็ไปรอที่นัดเจอประจำของพวกเราที่อิเคบุคุโระ—ตรงจุดตรวจตั๋วที่ชั้นเหนือพื้นที่รถไฟสายเซบุ-อิเคบุคุโระ—ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยภาพโฆษณาอนิเมะเน้นขายสาวๆ ตอนนั้นแหละที่โทริโกะวิ่งขึ้นบันไดมาพอดี ปอยผมสีทองสว่างกับหน้าที่สวยสุดๆ นั่น ขนาดในฝูงชนแบบนั้นก็ยังมองเห็นเธอได้ทันทีเลย ยังกับว่ามีสปอตไลท์ฉายอยู่ที่เธอยังงั้นแหละ การที่แสงนั่นมันวิ่งตรงมาใส่ฉันมันรุนแรงพอจะทำให้ฉันหายใจลำบากได้เลย นี่ไม่ว่าเราจะเจอกันกี่ครั้ง ฉันก็อึ้งจนตัวแข็งทื่อเหมือนกบโดนงูจ้องเลยล่ะ
มันไม่แปลกอะไรหรอกที่ฉันจะมองหาโทริโกะเจอ แต่ที่แปลกคือ เธอเองก็หาฉันเจอจากในกลุ่มฝูงชนได้เร็วเหมือนกันนี่แหละ ฉันเป็นคนหน้าตาจืดๆ ธรรมดาๆ ไม่เหมือนเธอซักหน่อย อาจจะเพราะเธอตัวสูง กับมีสายตาดีหรือเปล่านะ?
…ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ? เพราะสีตาขวาฉันแน่เลยเนี่ย อือ แบบนี้ห่างไปซักกิโลเธอก็มองเห็นฉันอยู่ดีนั่นแหละ
“ขอโทษที่ให้รอน้า!”
พอโทริโกะวิ่งมาถึงฉัน เธอก็หายใจหอบพูดตะกุกตะกักเลย
เธอสวมเสื้อพาร์กาสีเทา สวมเสื้อนอกสไตล์ทหารแบบของผู้ชายทับข้างบนอีกที ส่วนท่อนล่างก็สวมกางเกงสีดำแนบเนื้อกับรองเท้าคอนเวิร์ส เธอวางกระเป๋าบอสตัน—ลายสวนสัตว์ที่มีพื้นหลังสีน้ำเงิน—ลงกับพื้น ก่อนจะปาดเหงื่อที่คิ้วของเธอออก
TN: Boston bag เป็นกระเป๋าที่คล้ายกับกระเป๋าเดินทาง มีลักษณะที่กว้างและมีพื้นที่ในการจัดเก็บของให้ครบถ้วน มักมีหูถือในมือและสายสะพายที่ยาว มักถูกนำไปใช้ในการเดินทางสั้นๆ หรือในกิจกรรมที่ไม่ต้องการกระเป๋าขนาดใหญ่มาก เช่น การเดินเท้าหรือการท่องเที่ยวในวันหยุด
“กระเป๋าน่ารักดีนะ”
“เอ๊ะ? อือ ขอบใจนะ”
“ดูหนักสุดๆ เลยนะนั่นน่ะ… ใส่อะไรไว้เนี่ย?”
“แค่เสื้อผ้าไว้เปลี่ยนกับของสำหรับพักเที่ยวอื่นๆ เท่านั้นเอง นี่ฉันอาจจะพลาดเอามาเยอะไปหน่อยล่ะมั้งเนี่ย”
กระเป๋าเป้สะพายหลังสีเหลืองมัสตาร์ดของฉันดูเล็กกว่ากระเป๋าของโทริโกะเยอะเลย โทริโกะยกสัมภาระของเธอขึ้นบ่า แล้วเราก็เดินเข้าจุดตรวจตั๋วไปด้วยกัน
“พวกเราไม่ต้องนั่งสายด่วนก็ได้เนอะ?”
“ใช่ นั่งรถไฟเร็วก็พอแล้วล่ะ นี่รถไฟก็มาแล้วด้วย ขึ้นกันเถอะ”
พวกเราเดินผ่านรถไฟสายด่วนที่มาถึง ข้ามไปที่ชานชะลาที่รถไฟสายเร็วที่มาหยุดแล้วเรียบร้อย พวกเราเอากระเป๋าขึ้นไปวางที่รางวางสัมภาระ ก่อนจะนั่งกันแบบสบายๆ
แล้วรถไฟที่หันหัวออกจากใจกลางเมืองที่ในเวลาแบบนี้ก็ไม่ได้วุ่นวายอะไรขนาดนั้น ไม่นาน ประตูรถก็ปิด และรถไฟก็ออกวิ่ง
“เริ่มกังวลแล้วสิว่าฉันจะเอาของมาไม่พอ แต่… เราไม่จำเป็นต้องเอาของมาขนาดนั้นก็ได้เนอะ? แถวนั้นก็น่าจะมีร้านสะดวกซื้ออยู่แล้วล่ะ…”
พวกเราตัดสินใจเลือกที่โรงแรมออนเซ็นในชิชิบุ ที่ถึงมันจะอยู่ในภูเขาก็ไม่ได้ห่างจากตัวเมืองขนาดนั้น ระหว่างที่นั่งกันอยู่ โทริโกะก็สารภาพ
“มันเป็นครั้งแรกเลยน่ะที่ฉันออกมาเที่ยวกับเธอแบบนี้ ฉันก็เลยไม่รู้ว่าควรจะเอาอะไรมาบ้างดี”
“นี่เป็น… ครั้งแรกของพวกเราเหรอ?”
ฉันเอียงคอไปข้างๆ อย่างงงๆ จะบอกว่าการออกไปโลกเบื้องหลังหลายครั้งหลายหนของพวกเราไม่ใช่การ ‘ออกไปเที่ยว’ มันก็อาจจะไม่ผิดหรอก แต่ว่า…
“พวกเราเคยไปเที่ยวกันที่เกาะอิชิงาคิกัน 3 วันด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“ตอนนั้นพวกเราเกือบจะเป็นบ้ากันอยู่แล้วนะ แถมมันก็ไม่ใช่การเที่ยวที่เราวางแผนกันไว้ซักหน่อย พวกเราแค่ไปโผล่ที่นั่นพอดีก่อนที่จะทันเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรด้วยซ้ำ”
“คือ ก็… เธอก็พูดถูกนั่นแหละ”
พวกเราใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการดื่มเครื่องดื่มประจำอิชิงาคิ เพราะงั้น สารภาพตามตรงคือ ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับเรื่องนั้นมันก็ขาดเป็นท่อนเป็นตอนล่ะนะ เพราะความเสียหายทางจิตใจที่ไปเจอเรื่องน่ากลัวที่ชายหาดในโลกเบื้องหลังก่อนที่จะไปโผล่ที่นั่นพอดีด้วยนั่นแหละ พวกเราก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปแบบที่ไม่ไปคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย สภาพจิตใจของพวกเราตอนนั้นมันก็แปลกๆ นิดนึงด้วย หนักขนาดที่ไปซื้อ AP-1 มาในสภาพที่ยังเมาๆ ได้เลยนั่นแหละนะ แถมลืมสนิทเลยว่าไปซื้อมันมาด้วย…
“นี่จะเป็นการเที่ยวกันดีๆ ซักทีนะ แถมยังเป็นครั้งแรกที่ฉันไปกับคนอื่นนอกเหนือจากครอบครัวด้วย ฉันก็เลยกังวลมากๆ เลยน่ะ”
“เอ๊ะ? งั้นเหรอ?”
“อือ ฉันเคยไปตั้งแคมป์กับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนสมัยเด็กๆ นะ แต่มันก็แค่นั้นแหละ”
“จริงเหรอนั่นน่ะ? หืมมม”
“เอ๊ะ? อะไรเหรอ?”
“อ้อ ฉันแค่นึกว่าเธอน่าจะชินกับการไปเที่ยวที่นู่นที่นี่อยู่แล้วน่ะ ก็แปลกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“หม่าม๊าก็คอยลากฉันไปที่นู่นที่นี่ตลอดนั่นแหละ แต่ฉันไม่เคยไปเที่ยวไหนเองเลยน่ะ”
แสดงว่า กับอุรุมะ ซัทสึกิเอง เธอก็ไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันสินะ ฉันคิดแบบนั้น แล้วก็รู้สึกดีเหมือนกัน ถึงมันจะมาพร้อมกับผลข้างเคียงที่โชคร้ายหน่อยอย่างการเผลอมองหาผู้หญิงในชุดสีดำในฝูงชนก็เถอะ แต่พอผ่านจากจุดนั้นมาได้แล้วนี่ ก็อดรู้สึกดีใจนิดๆ ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
…บางที ฉันนี่ก็น่าสมเพชเหมือนกันนะ
รถไฟเร็วก็มาถึงสถานีสวนสาธารณะชาคุจิอิในเวลา 10 นาที พวกเราลงจากรถไฟ ฝากกระเป๋าหนักๆ ของพวกเราเอาไว้ในตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญก่อนชั่วคราว แล้วก็ไปกดกริ่งหน้าบ้านของคุณโคซากุระที่เห็นจนชินไปแล้วตอนนี้
ไม่นานหลังจากนั้น คุณโคซากุระก็งัวเงียยื่นหัวออกมาจากประตูบ้าน
“นี่มาจริงๆ เหรอเนี่ย…?”
เสียงของคุณโคซากุระฟังดูแหบๆ แถมตาหยีจากแสงแดดด้วย ยังกับว่านี่เธอเพิ่งจะตื่นยังไงยังงั้นแหละ
“พร้อมจะไปแล้วหรือเปล่าคะ?”
“ก็นะ”
คุณโคซากุระตอบพร้อมกับเข็นกระเป๋าเดินทางสีเงินออกมาจากประตูหน้าบ้าน
“ใหญ่จัง…”
คุณโคซากุระจ้องใส่โทริโกะเพราะการเสนอความเห็นที่เธอไม่ได้อยากได้ ก่อนจะล็อกประตูบ้านตามหลังเธอออกมา
“ทั้งๆ ที่ฉันบอกว่าไม่อยากไปแล้ว พวกเธอก็ยังดันทุรังจะลากฉันไปให้ได้กันอีก เพราะงั้น ไม่ว่ายังไงพวกเธอก็ต้องดูแลฉันให้ดีซะด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวพวกเราจัดการเองค่ะ ไม่ต้องห่วง”
“ใช่ๆ เดี๋ยวพวกเราจัดการเอง”
ได้ยินแบบนั้น คุณโคซากุระก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเริ่มออกเดิน
“พวกเธอ 2 คนนี่เหลือเกินนะ รู้งี้ฉันไม่เอาตั๋วใบนั้นให้พวกเธอซะก็ดี”
“แต่ พวกเราดีใจนะคะที่คุณตกลงตามมาด้วยกัน เนอะ โทริโกะ?”
“อื้อ”
“ระวังๆ มันด้วยล่ะ ในนั้นมีคอมอยู่ด้วยนะ”
พอโทริโกะลากกระเป๋าเดินทางไปด้วย เสียงล้อที่หมุนไปก็ดังก้องไล่หลังพวกเรา—ยังกับเป็นเสียงขู่ของสัตว์ร้ายที่กำลังอารมณ์เสียยังไงไม่รู้สิ
TN: ฮั่นแน่~ ต้านทานสายตาเศร้าสร้อยของ(ลูก)สาว 2 คนไม่ไหวล่ะซี่~ โคซากุระซัง~ ^^
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r