Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 210 : Joint Effort

ตอนที่ 210 : Joint Effort

“หรือก็คือว่าในครั้งนี้คุณหนูไดเอน่ามาในฐานะตัวแทนของโรงเรียนรีมินัส ไม่ได้มาในฐานะตัวแทนของวังหลวงรีมินัสหรือว่าจากตระกูลเซมฟีร่าสินะครับ?”

 

“ต้องบอกว่าในฐานะหัวหน้ากลุ่มดอว์นที่อยู่ภายใต้สังกัดโรงเรียนรีมินัสอีกทีหนึ่งมากกว่าค่ะ”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังเข้าหารืออยู่กับพระราชาของเมืองแพนเทร่าอยู่นั้นเอง ทางด้านไดเอน่าที่ขอเข้าพบผู้ปกครองของเคนซากิ หรือก็คือท่านเคานต์เวอร์มอนด์ เองก็ได้เอ่ยปากพูดตอบคำถามของเวอร์มอนด์กลับไปจนทำให้เวอร์มอนด์ต้องก้มหน้าลงเพื่อใช้ความคิดเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามคำถามใหม่ขึ้นมา

 

“ถ้าอย่างนั้นผมขอสอบถามความคิดเห็นของคุณอัศวินคนนี้บ้างจะได้หรือเปล่าน่ะครับว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการโจมตีนั้นน่ะ?”

 

คำถามของเวอร์มอนด์ที่พูดถามคอนแนลขึ้นมาบ้างนั้นได้ทำให้เด็กนักเรียนทั้งสองคนของเมืองรีมินัสต้องหันไปมองหน้ากันเองเล็กน้อย และเมื่อคอนแนลเห็นว่าไดเอน่าพยักหน้ากลับมาให้เขาเป็นเชิงอนุญาตแล้วเขาก็ไม่รอช้าที่จะพูดตอบกลับไปตามแบบที่เขาคิดในทันที

 

“ถึงแม้ว่าการโจมตีที่เมืองรีมินัสจะรุนแรงไม่แพ้ที่นี่ก็ตาม แต่ผมก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของเมืองรีมินัสครับ เพราะว่าตอนนั้นทางวังหลวงก็ไม่ยอมออกคำสั่งให้หน่วยอัศวินออกไปช่วยเหลือใครเลย… แต่ที่ผมยืนยันได้แน่ๆ ก็คือว่าทางเมืองรีมินัสไม่มีอุปกรณ์ยิงระเบิดระยะไกลแบบที่ถูกใช้ในการโจมตีอย่างแน่นอนครับ”

 

ถึงแม้ว่าคอนแนลจะอยากเชื่อมั่นในตัววังหลวงของเมืองรีมินัสเต็มที่อย่างเช่นที่เขาเคยเป็นเพื่อที่จะได้พูดตอบปฏิเสธกลับไปอย่างหนักแน่นก็ตาม แต่ว่าหลังจากที่เขาได้รู้เรื่องการทดลองที่ทางวังหลวงสั่งให้เวก้าทำ ความพยายามที่จะลงโทษนากาที่ออกไปช่วยเหลือบ้านเกิดของตัวเอง และการที่วังหลวงส่งอัศวินขั้นสูงอย่างพี่ชายของเขามาจับตาดูอลิซที่บาดเจ็บหนักเอาไว้ราวกับว่าเป็นนักโทษร้ายแรงมันก็ทำให้เขาไม่สามารถที่จะเชื่อมั่นในความยุติธรรมของทางวังหลวงดั่งเช่นเดิมได้อีก

 

แต่ถึงอย่างนั้นคำตอบที่ฟังดูจริงใจกว่าการยืนกรานที่จะเชื่อมั่นในวังหลวงของเมืองรีมินัสก็ได้ทำให้เวอร์มอนด์พยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดตอบกลับไป

 

“เข้าใจล่ะ ขอบคุณที่ตอบคำถามของผมตามตรงนะครับ ถ้าอย่างนั้นเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย ผมอยากจะขอให้เคนซากิได้ทำหน้าที่ ‘นักเรียนแลกเปลี่ยน’ ตามเดิมแล้วก็อาจจะควบตำแหน่งสมาชิกของกลุ่มดอว์นเข้าไปด้วยจะได้หรือเปล่าล่ะครับ?”

 

“สำหรับเรื่องนั้นไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แต่ฉันอาจจะต้องขอให้เคนซากิรับฟังคำสั่งจากทางฉันหรือว่าจากทางท่านผู้อำนวยการของโรงเรียนรีมินัสด้วยน่ะค่ะ เพราะถ้าเกิดว่าเขาได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกของกลุ่มดอว์นแล้วแต่ว่าไม่ยอมรับคำสั่งจากฉันหรือว่าจากท่านผู้อำนวยการล่ะก็คนอื่นอาจจะเกิดความสงสัยเอาได้”

 

“ถ้าคำสั่งของคุณหนูไดเอน่าไม่ได้ขัดอะไรกับหน้าที่ของเคนซากิเขาก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกครับ… ใช่มั้ยเคนซากิ?”

 

“…อื้ม”

 

เคนซากิที่ยืนกอดอกอยู่ตรงมุมห้องด้วยสีหน้าเย็นชาได้พูดตอบเวอร์มอนด์กลับไปห้วนๆ และนั่นก็ทำให้เวอร์มอนด์ที่เห็นแบบนั้นขมวดคิ้วจ้องมองเขาอยู่ชั่วขณะด้วยแววตาตักเตือนจนทำให้เคนซากิต้องถอนหายใจออกมาก่อนที่เขาจะทำหน้ายิ้มแย้มและพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงที่ฟังดูเป็นกันเองเหมือนกับเวลาที่เขาแสดงออกในห้องเรียน

 

“ถ้าท่านพ่อบอกว่าแบบนั้นผมก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ เอาเป็นว่าถ้าหลังจากนี้ถ้าไดเอน่าจังมีอะไรให้ผมช่วยก็บอกมาได้เลยนะครับ”

 

“นี่ตกลงว่าท่าทางเจ้าชู้ของเคนซากินั่นเป็นแค่การแสดงมาตลอดจริงๆ งั้นหรอครับเนี่ย…?”

 

ท่าทางที่ดูเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของเคนซากิได้ทำให้คอนแนลที่เพิ่งจะรู้เรื่องนี้อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา และนั่นก็ทำให้เวอร์มอนด์ที่ได้ยินแบบนี้เผยรอยยิ้มและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

 

“กว่าเขาจะทำแบบนั้นได้ก็ต้องผ่านการฝึกมาไม่ใช่น้อยเลยนะครับ จะบอกว่าเขาเป็นความภาคภูมิใจของผมเลยก็ว่าได้”

 

“หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างนึงก็คือว่าถูกจับมาฝึกตั้งแต่เด็กเลยสินะคะ…”

 

ไดเอน่าที่ได้ยินเวอร์มอนด์พูดขึ้นมาเหมือนกับอวดผลงานประดิษฐ์ของตนนั้นได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเวอร์มอนด์ก็กลับดูเหมือนว่าจะไม่ถือสาอะไรเด็กสาวมากนักอีกทั้งยังพูดตอบกลับมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าอีกด้วย

 

“เห็นแก่ว่ามีแต่ขุนนางระดับสูงด้วยกันเองนะครับคุณหนูเซมฟีร่า แต่ว่าเรื่องพวกนี้มันก็นับว่าเป็นปกติไม่ใช่หรอครับ อย่างของเมืองรีมินัสเองก็เห็นว่ายังมีการส่งเด็กกำพร้าที่ชื่อว่าแมรี่ไปฝึกฝนกับตระกูลบารอนของเวก้า รีวิซเลยไม่ใช่หรอครับ ถึงจะน่าเสียดายที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเสียก่อนก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าเด็กคนนั้นได้มาแลกเปลี่ยนทักษะกับเคนซากิก็คงจะดีไม่ใช่น้อยเลยนะครับ”

 

“……….”

 

คำพูดของเวอร์มอนด์ได้ทำให้ไดเอน่าต้องนิ่งเงียบไป เนื่องจากสิ่งที่เวอร์มอนด์พูดขึ้นมานั้นมันก็ไม่ได้ต่างจากการที่เขายกเรื่องความสามารถของหน่วยข่าวกรองของเมืองแพนเทร่าขึ้นมาข่มเธอที่เป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางระดับสูงของเมืองรีมินัสสักเท่าไหร่นัก

 

แต่ถึงอย่างนั้นไดเอน่าก็ยังพอจะโล่งใจได้อยู่บ้าง เพราะถึงแม้ว่าหน่วยข่าวกรองของเมืองแพนเทร่าจะรู้เรื่องของเวก้ากับเด็กกำพร้าที่ชื่อว่าแมรี่ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจผิดว่าเป็นการฝึกฝนสายลับไม่ใช่การทดลองผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะเพื่อสร้างมนุษย์ที่สามารถใช้วิซธาตุไฟฟ้าขึ้นมาได้ อีกทั้งพวกเขาก็ยังดูเหมือนว่าจะยังไม่มีข้อมูลเรื่องที่ว่าที่จริงแล้วเด็กสาวที่ชื่อว่าแมรี่คนนั้นรวมถึงตัวเวก้าเองยังรอดชีวิตอยู่อีกด้วย

 

ซึ่งในขณะที่ไดเอน่ายังพอที่จะรู้สึกโล่งใจได้อยู่นั้นเอง ทางด้านเวอร์มอนด์ก็ได้แสดงท่าทางเสียดายออกมาอย่างปิดไม่มิดก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาต่อ

 

“แต่พูดไปก็น่าเสียดายจริงๆ นะครับ ถ้าเป็นไปได้ผมเองก็อยากจะแลกเปลี่ยนความเห็นกับขุนนางยศบารอนคนนั้นเหมือนกันว่าเขาใช้วิธีไหนถึงสามารถสร้างสายลับมากความสามารถขนาดฆ่าล้างคฤหาสน์ได้ด้วยตัวคนเดียว—”

 

“นี่คุณ—”

 

ก๊อก ก๊อก

 

“ขออนุญาตครับท่านเคานต์เวอร์มอนด์!!”

 

ในขณะที่คอนแนลที่สนิทกับคาร์เทียร์ หรือก็คือเด็กน้อยที่เคยใช้ชื่อว่าแมรี่ดีกำลังจะอดทนฟังต่อไปไม่ไหวและกำลังจะพูดขัดขึ้นมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงเคาะประตูและเสียงพูดขออนุญาตดังขึ้นมาขัดคำพูดของคอนแนลเอาไว้ก่อน

 

อีกทั้งประตูห้องทำงานของเวอร์มอนด์เองก็ได้ถูกผลักให้เปิดออกในทันทีโดยไม่รอให้เวอร์มอนด์ที่เป็นเจ้าของห้องพูดอนุญาตก่อนจนทำให้เวอร์มอนด์ต้องขมวดคิ้วพูดถามอัศวินในชุดเกราะสีน้ำเงินอ่อนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

 

“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ!? ผมกำลังต้อนรับแขกจากเมืองรีมินัสอยู่นะครับ ถึงคุณจะเป็นหนึ่งในหน่วยอัศวินราชองครักษ์ก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ช่วยรักษามารยาทต่อหน้าแขกบ้านแขกเมืองหน่อยสิครับ!”

 

“ขออภัยครับท่านเคานต์เวอร์มอนด์! มีหมายด่วนจากองค์ราชาที่ต้องการคำตอบรับจากท่านเวอร์มอนด์เป็นการเร่งด่วนครับ!”

 

“หมายด่วนจากองค์ราชา…?”

 

เวอร์มอนด์ที่ได้ยินคำพูดอธิบายจากอัศวินราชองครักษ์ได้ยื่นมือออกไปรับจดหมายในมือของอีกฝ่ายมาตรวจสอบดู ซึ่งเขาก็ได้พบว่ามันคือจดหมายด่วนที่มีความสำคัญระดับสูงที่สุดและถูกประทับตราสัญลักษณ์ประจำตัวของไนน์ฮาร์ตผู้เป็นพระราชาของเมืองแพนเทร่าอย่างถูกต้องเรียบร้อยเสียด้วย

 

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่าที่เห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วตัดสินใจที่จะเอ่ยปากพูดขอตัวขึ้นมาในทันที

 

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกฉันขอตัวก่อนเลยก็แล้วกันนะคะคุณเวอร์มอนด์ เพราะยังไงเราก็คุยกันเข้าใจแล้วนะคะว่าเมืองรีมินัสไม่ได้อยู่เบื้องหลังการโจมตีเมืองแพนเทร่าของคุณน่ะ”

 

“ก็คงจะต้องให้คุณหนูไดเอน่าทำอย่างนั้นก่อนล่ะครับ… เคนซากิ ทำตามคำสั่งเดิมไปก่อน ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันจะเรียกตัวนายมาเอง”

 

“คร๊าบๆ ถ้างั้นคงจะไม่ว่าอะไรสินะถ้าผมจะไปพร้อมกับไดเอน่าจังเขาเลยน่ะ”

 

เคนซากิที่ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีกว่าปกติเมื่อเขาได้เห็นว่าเวอร์มอนด์เหมือนจะเจอกับเรื่องยุ่งยากเข้าให้นั้นได้พูดตอบผู้ปกครองของเขากลับไปด้วยน้ำเสียงรื่นเริงที่ดูเหมือนว่าจะออกมาจากใจจริงอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่เขาจะเดินนำไดเอน่าและคอนแนลออกไปจากห้องทำงานของเวอร์มอนด์ในทันที

 

และเมื่อพวกเด็กๆ ทั้งสามคนเดินออกมาจากห้องแล้ว สีหน้าอารมณ์ดีของเคนซากิก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชาเช่นเดิมจนทำให้คอนแนลที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขาด้วยความแปลกใจจนทำให้เคนซากิต้องพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

 

“…มีอะไร?”

 

“เปล่าครับ ผมก็แค่แปลกใจที่คุณเคนซากิที่พวกผู้หญิงในห้องบอกว่าเป็นคนร่าเริงคุยสนุกคนนั้นที่จริงแล้วเป็นคนเย็นชาแบบนี้น่ะครับ”

 

“ถ้าไม่ได้เพราะถูกสั่งมาใครมันจะไปอยากทำตัวแบบนั้นกัน…”

 

เคนซากิที่ได้ยินคำพูดของคอนแนลได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปหาคอนแนลและพูดถามอัศวินหนุ่มขึ้นมาบ้าง

 

“ว่าแต่นายเองเถอะ เป็นถึงอัศวินของเมืองรีมินัสแท้ๆ ไม่คิดจะพูดปกป้องเมืองของตัวเองสักหน่อยหรือไง?”

 

“แหม่ ก็ผมเพิ่งจะได้รับเลือกให้เข้าไปเป็นอัศวินได้ไม่นานก็โดนคุณเวก้าเขาดึงตัวไปอยู่ในหน่วยส่วนตัวแล้วนี่ครับ แล้วพอถูกส่งต่อไปอยู่กับคุณเอริกะทางวังหลวงเขาก็ไม่กล้าเรียกผมไปรายงานตัวอีกเลยจนผมแทบจะไม่ได้กลับเข้าไปข้างในวังแล้วน่ะครับ”

 

“หือ… ถ้าเกิดว่านายแทบจะไม่ได้เข้าวังหลวงเลยจากที่ถูกย้ายไปทำงานกับคุณเอริกะ งั้นก็แปลว่าที่จริงแล้วนายได้ยินมาจากพี่ชายของนายที่ตามอาจารย์อลิซอยู่อีกทีนึงสินะว่าวังหลวงของรีมินัสไม่ได้เคลื่อนกำลังพลในวันนั้นน่ะ?”

 

“มันก็ใช่แหล่ะครับ… เดี๋ยวสิครับ นี่คุณเคนซากิรู้ว่าเอเว่นเขาเป็นพี่ชายของผมด้วยหรอครับ? เมื่อตอนที่ผมแนะนำตัวพี่เขาคุณเคนซากิไม่ได้อยู่ในห้องเรียนด้วยไม่ใช่หรอครับ?”

 

คอนแนลที่ได้ยินว่าเคนซากิรู้ว่าเอเว่นเป็นพี่ชายของเขาได้พูดถามเคนซากิขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เพราะว่ามันก็มีอยู่เพียงแค่ครั้งเดียวที่เขาเคยแนะนำตัวเอเว่นให้คนอื่นๆ รู้จัก หรือก็คือในวันแรกที่นากาและโมโกะกลับมาเข้าเรียนหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นที่หมู่บ้านโมริโกะ ที่ในตอนนั้นมีแค่พวกเพื่อนๆ หรือคนสนิทของเขาอย่าง อลิซ นากา โมโกะ อัลเบิร์ต เซซิล และรีซาน่าเพียงเท่านั้น

 

ซึ่งด้วยท่าทางแปลกใจของคอนแนลนั้นเองก็ได้ทำให้ไดเอน่าหลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดอธิบายขึ้นมาให้อัศวินหนุ่มได้ฟัง

 

“คิกคิก ดูเหมือนว่านายเองก็จะอยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังของเคนซากิเขาเหมือนกันนะคอนแนลคุง~ แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เพราะว่านายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอัศวินตั้งแต่ยังไม่ทันขึ้นระดับการศึกษาตอนปลายเลยนี่เนอะ”

 

“งั้นหรอครับ… แต่จะว่าไปตอนที่คุณเอริกะบอกว่าให้ผมมาช่วยทางด้านคุณไดเอน่าแทนผมก็นึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นซะอีกนะครับ แต่ว่าก็เป็นแค่การคุยธุระธรรมดาๆ เองไม่ใช่หรอครับนั่น”

 

“อ๋อ ที่เห็นว่าเรื่องมันง่ายแบบนั้นมันเป็นเพราะว่ามีนายที่เป็นอัศวินของเมืองรีมินัสไปยืนคุ้มกันฉันอยู่ด้วยนี่แหล่ะ สภาพมันก็เลยเปลี่ยนจากลูกขุนนางที่โดนเคนซากิคุงจับเป็นตัวประกันไปเป็นลูกสาวขุนนางที่มาคุยธุระพร้อมกับอัศวินของเมืองรีมินัสก็เลยคุยด้วยง่ายกว่าเยอะเลยน่ะ”

 

“เอ๋? มันเป็นอย่างงั้นหรอครับ? แต่ผมดูแล้วคุณเวอร์มอนด์เขาก็ไม่ได้ดูแย่อะไรขนาดนั้นเลยนะครับ”

 

คอนแนลที่ได้ยินคำพูดเปรียบเปรยของไดเอน่าได้แสดงท่าทางประหลาดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด และนั่นก็ทำให้เคนซากิที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นออกมาเบาๆ

 

“แล้วนายคิดว่าใครมันเป็นคนสอนวิธีตีหน้าซื่อให้ฉันกันล่ะ…”

 

“เอาน่าๆ ยังไงคุณพ่อเขาก็ฝากฝังเคนซากิคุงเอาไว้กับฉันเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพราะงั้นพวกเราก็กลับไปหาคุณเอริกะเขากันก่อนเถอะเนอะ~”

 

“ฝากฝังบ้าอะไรของเธอกันหะ…”

 

คำพูดหยอกเย้าของไดเอน่าได้ทำให้เคนซากิต้องพูดบ่นออกมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะเดินนำทั้งสองคนลงบันไดลงไปยังชั้นล่างเพื่อนำทางไปยังห้องพักของเอริกะที่ทางวังหลวงแพนเทร่าจัดเตรียมเอาไว้ให้นักประดิษฐ์สาว

 

ซึ่งในทันทีที่พวกเขาเดินมาถึงโถงทางเดินด้านหน้าห้องพักของเอริกะนั้นเองก็ได้มีเสียงร้องเรียกของนากาที่ยืนรออยู่ที่ด้านหน้าห้องพักของเอริกะอยู่ก่อนแล้วดังขึ้นมาให้พวกเขาได้ยิน

 

“ขอแป๊บนึงนะครับคุณอัลเปีย… เฮ้ ไดเอน่า! ทางนี้! ฝากดูอีฟหน่อยนะโมโกะ”

 

“นากาคุง โมโกะจังแล้วก็อีฟด้วย? ทำไมถึงมาที่นี่กันหมดเลยล่ะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาหรือเปล่า?”

 

เสียงร้องเรียกและร่างของนากาที่กำลังวิ่งเหยาะๆ ตรงมาทางพวกเธอนั้นได้ทำให้ไดเอน่าที่เห็นแบบนั้นต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ และนั่นก็ทำให้นากาตัดสินใจที่จะพูดอธิบายสถานการณ์ขึ้นมาให้ประธานนักเรียนสาวได้ฟัง

 

“บ้านพักของเธอถูกโจมตีเข้าน่ะ แต่ว่าได้คุณอัลเปียเขามาช่วยเอาไว้พอดี แล้วคุณอัลเปียเขาก็บอกว่าเอริกะเรียกให้พวกฉันมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน”

 

“เดี๋ยวสิ— แล้วคุณไซร่ากับคุณรัซเซลเขาล่ะ?”

 

“ยังอยู่ที่บ้านของเธอนั่นแหล่ะ แต่ว่าคุณอัลเปียเขาสั่งให้ทหารในหน่วยช่วยคุ้มกันที่นั่นให้แล้วล่ะ… ว่าแต่เธอรู้หรือเปล่าว่าเอริกะหายไปไหนน่ะ? เห็นว่าก่อนหน้านี้มีคนเห็นเอริกะเดินไปไหนก็ไม่รู้กับขุนนางอีกคนนึงแล้วก็หายตัวไปเลยน่ะ—”

 

“อ่ะ— มากันแล้วหรอ ได้จังหวะพอดีเลยนะ~”

 

ในขณะที่นากาและไดเอน่ากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงของหญิงสาวนักประดิษฐ์ตัวแสบดังขึ้นมาให้ทุกคนได้ยิน และเมื่อทุกคนหันไปมองดูก็ได้พบเข้ากับเอริกะที่กำลังเดินลงมาจากบันไดโดยมีม้วนเอกสารจำนวนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขน

 

และในทันทีที่เอริกะหันไปเห็นอัลเปียนั้นเอง เธอก็เดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวหูจิ้งจอกผมสีเหลืองผู้มีขอบตาดำคล้ำและเอ่ยปากพูดขึ้นมาพร้อมกับส่งม้วนกระดาษม้วนหนึ่งให้อีกฝ่ายไป

 

“อ่ะนี่ องค์ราชาเพิ่งจะมีคำสั่งมาว่าให้เธอมาเป็นผู้ช่วยของฉันชั่วคราวแทนอาริสะที่ถูกสั่งให้ไปทำอย่างอื่นน่ะ”

 

 “อ—เอ๋!? ป–เป็นผู้ช่วยของท่านเอริกะงั้นหรอคะ!?”

 

“อื้ม เห็นเขาบอกมาว่าถ้าไม่ใช่อาริสะก็มีเธอนี่แหล่ะที่น่าจะเหมาะที่สุดน่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นเธอมีจะปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

 

“ม—ไม่มีหรอกค่ะ!! ด–ด-ได้เป็นถึงผู้ช่วยของท่านเอริกะแบบนี้ใครจะมีปัญหาได้กันล่ะคะ! แหะ–แหะ–แหะๆ ….”

 

อัลเปียที่เป็นหนึ่งในแฟนคลับของเอริกะยอดนักประดิษฐ์ได้ส่งเสียงหัวเราะที่ฟังดูปลาบปลื้มถึงขั้นอาจจะเรียกได้ว่าฟังดูน่ากลัวนิดๆ ออกมา ในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้หันไปหาไดเอน่าก่อนที่เธอจะพูดสั่งงานเด็กสาวขึ้นมาบ้าง

 

“ส่วนไดเอน่า เดี๋ยวหลังจากนี้อีกสักสองสามวันฉันฝากเธอกับเคนซากิไปรอรับกลุ่มดอว์นคนอื่นๆ ที่จะมาเป็นกำลังเสริมให้หน่อยสิ ให้พวกเขาไปพักที่บ้านพักของเธอไปก่อนน่าจะได้ล่ะมั้ง”

 

“กลุ่ม-ดอว์น-งั้น-หรอ-คะ… ฉันหวังว่าคุณเอริกะคงจะมีเหตุผลดีๆ ที่สั่งให้กลุ่มดอว์นเดินทางมาที่นี่ไปโดยที่ไม่ได้บอกฉันก่อนนะคะ…”

 

คำสั่งที่เอริกะพูดสั่งมาให้ไดเอน่านั้นได้ทำให้เด็กสาวต้องพูดถามหญิงสาวนักประดิษฐ์กลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงของเด็กสาวที่พูดถามย้ำกลับมาทีละคำๆ ก็ได้ทำให้เอริกะต้องลอบปาดเหงื่อเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบอีกฝ่ายกลับไป

 

“อ่ะ—อย่าทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นสิไดเอน่าจัง คือพอดีว่าตอนนี้เครื่องมือสื่อสารของฉันมันโดนดักฟังอยู่ก็เลยติดต่อมาแจ้งเธอก่อนไม่ได้น่ะ แล้วฉันก็กลัวว่าแค่ทหารของเมืองนี้อย่างเดียวมันอาจจะไม่พอก็เลยส่งคนไปขอกำลังเสริมจากท่านผู้อำนวยการเผื่อไว้ก่อนน่ะ”

 

“แล้วถ้าเกิดว่าทหารของเมืองแพนเทร่าทั้งเมืองจะยังไม่พอแล้วเด็กนักเรียนกลุ่มดอว์นที่มีกันอยู่ไม่ถึงสามสิบคนมันจะไปช่วยอะไรได้กันล่ะคะ แต่ก็เอาเถอะค่ะ ถ้าเกิดว่าท่านผู้อำนวยการยอมอนุญาตให้ฉันเองก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกัน…” 

 

ไดเอน่าที่ได้ยินคำพูดอธิบายของเอริกะได้พูดบ่นกลับไปใส่หญิงสาวนักประดิษฐ์เล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังพอจะไว้วางใจได้ว่าเอริกะไม่ได้ไปฉกตัวเหล่าเด็กนักเรียนกลุ่มดอว์นมาเฉยๆ และต้องผ่านด่านผู้อำนวยการจอมหวงคนนั้นไปให้ได้ก่อน

 

 “เฮ้อ… เอาเป็นว่าถ้าท่านผู้อำนวยการยอมอนุมัติแล้วพอกลุ่มดอว์นมาถึงแล้วก็ส่งคนมาบอกฉันก็แล้วกันนะคะ”

 

 “ขอบใจมากนะ~ ถ้างั้นก็เอานี่ไปเลยจ้ะ ตำแหน่งที่ฉันอยากจะให้กลุ่มดอว์นไปช่วยเฝ้าระวังให้น่ะ อ๋อใช่เคนซากิคุง ฉันฝากเธอช่วยไดเอน่าพูดกับพวกทหารในเมืองเกี่ยวกับเรื่องของกลุ่มดอว์นให้หน่อยสิ แล้วถ้าเกิดว่าพวกเขาไม่ยอมให้ความร่วมมือจริงๆ ก็เอาเอกสารม้วนนี้กางอัดหน้าพวกเขาไปได้เลย”

 

เอริกะพูดตอบไดเอน่ากลับไปและส่วนม้วนเอกสารจำนวนหนึ่งไปให้เด็กสาวก่อนที่เธอจะหันไปหาเคนซากิที่เธอเข้าใจว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในลูกหลานตระกูลขุนนางของเมืองแพนเทร่าขึ้นมาพร้อมกับส่งม้วนกระดาษม้วนๆ เล็กๆ ไปให้เขา

 

ซึ่งทางด้านเคนซากิที่รับม้วนกระดาษไปจากเอริกะนั้นก็ได้พลิกมันดูด้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะหลุดพูดออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ที่ถูกประทับเอาไว้บนม้วนกระดาษที่ว่านั่น

 

 “นี่มัน— ตราประทับขององค์ราชา…?”

 

 “เอ๋? หมายถึงของพระราชาของเมืองแพนเทร่าน่ะหรอ? นี่คุณเอริกะไปทำอะไรมาอีกแล้วกันคะเนี่ย?”

 

 คำพูดพึมพำของเคนซากิได้ทำให้ไดเอน่าที่ยืนอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มหลุดปากพูดขึ้นมาด้วยท่าทางแปลกใจเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากที่ไดเอน่าได้รู้จักกับเอริกะมาเธอก็ค่อนข้างที่จะเลิกแปลกใจกับเรื่องน่าเหลือเชื่อของเอริกะไปแล้ว เธอจึงได้เอ่ยปากพูดบอกเคนซากิแล้วยื่นมือไปควงแขนของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วจึงพาเขาเดินจากไปในทันที

 

 “เอาเถอะๆ ก็สมเป็นที่เป็นคุณเอริกะดีนั่นแหล่ะ… ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันเถอะเนอะเคนซากิคุง”

 

 “เดี๋ยวสิ—”

 

ถึงแม้ว่าเคนซากิจะพยายามที่จะสะบัดให้หลุดจากวงแขนของไดเอน่าแล้วก็ตามแต่ว่าเขาก็ยังโดนเด็กสาวลากหายลงบันไดไปอยู่ดี ส่วนทางด้านเอริกะที่เห็นว่าเธอจัดการเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มดอว์นเรียบร้อยแล้วก็ได้หันไปทางด้านคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่และพูดสั่งงานพวกเขาขึ้นมา

 

 “ฟู่ว~ เตรียมแผนสำรองเรียบร้อยแล้ว… เอาล่ะ~ ทีนี้พวกเธอทุกคนเตรียมอาวุธให้พร้อม เดี๋ยวพวกเราจะไปตะลุยเมืองใต้ดินกัน”

 

 “เอ๋ะ!? เดี๋ยวสิ—”

 

 “ตอนนี้เลยหรอครับคุณเอริกะ?”

 

 “ฉ–ฉันด้วยหรอคะท่านเอริกะ?”

 

 คำพูดของเอริกะที่อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนั้นได้ทำให้ทั้งนากา คอนแนลและอัลเปียต่างหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วทางด้านเอริกะก็กลับไม่ได้พูดอธิบายอะไรออกมามากนักและเริ่มต้นเดินนำทุกคนตรงไปตามโถงทางเดินในทันที

 

“ก็ถ้าเกิดว่าพวกเราไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายจนต้องอพยพคนสักครึ่งเมืองไปข้างนอกก่อนมันก็ต้องรีบลงมือกันเลยตอนนี้เนี่ยแหล่ะ~”

 

 “ล–แล้วอีฟล่ะเอริกะ?”

 

 ในขณะที่เอริกะกำลังทำเสียงฮึกเหิมเหมือนกับกำลังพูดปลุกใจทุกคนขึ้นมาอยู่นั้นเอง ทางด้านโมโกะที่เดินจูงมืออีฟเอาไว้ก็ได้เอ่ยปากพูดถามนักประดิษฐ์สาวขึ้นมาจนทำให้เธอชะงักไป

 

ซึ่งเอริกะก็ได้ยกมือขึ้นมาเกาหัวเล็กน้อยก่อนที่เธอจะก้มลงไปลูบหัวอีฟที่ดูเหมือนว่าจะสับสนกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ไม่ใช่น้อยจนเธอต้องมองหันซ้ายหันขวาสลับไปมาระหว่างแต่ละคนอยู่ไม่หยุด แล้วจึงพูดขึ้นมาให้เหล่าผู้ปกครองของเด็กสาวตัวน้อยได้ฟัง

 

 “ก็คงจะต้องพาไปด้วยนั่นแหล่ะ เพราะถ้าเกิดว่าไม่นับห้องใต้ดินของบ้านพักของไดเอน่าที่พวกเราไม่มีเวลาจะพาไปส่งแล้วล่ะก็ตอนนี้ที่ห้องควบคุมใต้ปราสาทนี้ก็น่าจะปลอดภัยที่สุดในเมืองแล้วล่ะ…”

 

 

“องค์ราชาต้องการให้ผมรับหน้าที่เป็นแม่ทัพภาคสนามในการรับมือการโจมตีที่น่าจะเกิดขึ้นในตัวเมืองถ้าเกิดว่าแผนการชิงส่งคนบุกลงไปข้างล่างก่อนของคุณเอริกะไม่ได้ผลอย่างงั้นสินะครับ…”

 

“ตามที่ท่านเวอร์มอนด์ได้อ่านในเอกสารเลยครับ”

 

“ก็พอจะดูออกอยู่หรอกนะว่าองค์ราชาต้องการจะทำอะไรน่ะ ถ้าเกิดว่าพวกเราเอาชนะศึกนี้ได้ ผมที่เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ก็จะเปรียบเสมือนกับวีรบุรุษของเมือง… แต่ว่าที่ผ่านมาองค์ราชาไม่เคยยอมเสี่ยงขนาดนี้เพื่อเพิ่มความนิยมให้กับทางราชวงศ์เลยไม่ใช่หรอครับ…?”

 

“ท่านเวอร์มอนด์เห็นแย้งกับบัญญัติขององค์ราชางั้นหรือครับ?”

 

คำพูดด้วยน้ำเสียงสงสัยของเวอร์มอนด์ได้ทำให้อัศวินราชองครักษ์ในชุดเกราะสีน้ำเงินอ่อนผู้ทำหน้าที่เป็นดั่งแขนขาและหูตาของพระราชาของเมืองแพนเทร่าพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ และนั่นก็ทำให้เวอร์มอนด์ต้องรีบพูดชี้แจงขึ้นมา

 

“เรียกว่าแค่สงสัยน่าจะดีกว่านะครับ… สำหรับคำสั่งนี้ผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้ายังไงขอผมทราบข้อมูลกองกำลังของศัตรูก่อนจะได้หรือเปล่าครับ?”

 

“มีความเป็นไปได้สูงว่าระดับหัวหน้าหน่วยของศัตรูอาจจะมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกสลักวงจรวิซเอาไว้แบบเดียวกับหน่วยอัศวินราชองครักษ์ ส่วนกองกำลังทหารของศัตรูที่ไม่มียุทโธปกรณ์ระดับสูงน่าจะถูกทดแทนด้วยพละกำลังและความสามารถในการทนอาการบาดเจ็บได้อย่างผิดธรรมชาติ… ส่วนจำนวนกองกำลังของศัตรูยังไม่สามารถยืนยันได้ครับ”

 

“หมายความว่าแรงเยอะแล้วก็ตายยากสินะครับ ถ้าอย่างงั้นก็แปลว่าการปะทะในระยะประชิดกับกองกำลังของศัตรูคงจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่นัก… แต่เอาจริงๆ ปัญหามันน่าจะอยู่ที่คนเพียงแค่คนเดียวที่ยืนยันแล้วว่าไปเข้าร่วมกับศัตรูแล้วแน่ๆ มากกว่าล่ะมั้งครับ”

 

เวอร์มอนด์ที่กำลังวางแผนในการรับมือกับเหล่าศัตรูอยู่นั้นได้ยกมือขึ้นมากุมขมับเมื่อเขานึกถึงคนคนหนึ่งที่มีชื่อถูกเขียนเอาไว้ในรายงานเบื้องหน้าด้วย และนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจที่จะพูดถามหนึ่งในหน่วยอัศวินราชองครักษ์เบื้องหน้าที่น่าจะรู้เรื่องนี้มากกว่าเขาขึ้นมา

 

“กลุ่มอัศวินราชองครักษ์ของพวกคุณมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับกบฏไมเคิลบ้างหรือเปล่าครับ?”

 

“…ท่านไมเคิล หรือที่บางครั้งถูกเรียกว่าท่านมิคาเอล เจ้าของฉายา ดยุคอมตะ ชายผู้เป็นที่พึ่ง ชายผู้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างมนุษย์และเทพเจ้า… เท่าที่พวกผมทราบก็คือว่าไม่มีใครทราบอายุที่แท้จริงของท่านไมเคิล แต่ว่ากันว่าท่านไมเคิลคอยปกป้องเมืองแพนเทร่ามาตั้งแต่สมัยที่เมืองแพนเทร่าเพิ่งจะถูกก่อตั้งขึ้นและคอยปกป้องเมืองของพวกเรามาตลอดด้วยดาบสองมือขนาดใหญ่ที่ท่านไมเคิลสามารถเรียกออกมาจากความว่างเปล่าได้ราวกับมีเวทมนตร์…”

 

“แต่ว่าจนสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ยอมเรียกมันออกมาแล้วก็ฝ่าทหารทั้งปราสาทหนีลงไปเมืองใต้ดินได้ด้วยมือเปล่าพวกคุณก็เลยไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่างั้นสินะครับ… แต่ว่าคนอย่างเขาจะไม่มีจุดอ่อนอะไรเลยจริงๆ งั้นหรอ…”

 

เวอร์มอนด์พูดพึมพำออกมาพลางเคาะนิ้วของเขาลงบนโต๊ะเป็นจังหวะพลางนึกถึงเรื่องของดยุคไมเคิลคนนั้นขึ้นมาไปด้วยก่อนที่เขาจะนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

 

“ใช่แล้ว… ตอนนี้เคาน์เตสอาริสะอยู่ที่ไหนครับ?”

 

“…..ตอนนี้ท่านเคาน์เตสอาริสะรวมถึงทหารในหน่วยของเธอถูกองค์ราชาสั่งให้หลบหนีออกจากเมืองไปแล้วครับ”

 

ถึงแม้ว่าอัศวินราชองครักษ์จะหรี่ตาลงเล็กน้อยกับคำถามของเวอร์มอนด์แต่ว่าเขาก็ยังคงยอมพูดตอบอีกฝ่ายกลับไปแต่โดยดี

 

และนั่นก็ทำให้ทางด้านเวอร์มอนด์ที่ได้ยินคำตอบที่น่าผิดหวังของอัศวินราชองค์ครักษ์ต้องเดาะลิ้นพูดพึมพำออกมาด้วยความขัดใจ

 

“ชิ… แล้วทำไมองค์ราชาถึงสั่งให้หนีไปก่อนแบบนั้นกันเล่า… น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าถ้าศัตรูคือไมเคิลล่ะก็ยัยเด็กนั่นน่าจะใช้งานได้ไม่ใช่หรือไง… เดี๋ยวสิ ในหมู่พวกนั้นมีอยู่คนนึงที่น่าจะไปไหนไม่ได้นี่นา… นี่คุณองครักษ์ ผมสามารถสั่งงานคุณได้หรือเปล่า?”

 

“องค์ราชาสั่งเอาไว้ว่าถ้าเกิดว่าท่านเคาน์เวอร์มอนด์ยืนยันว่ามันจะช่วยในภารกิจปกป้องเมืองในครั้งนี้และพร้อมที่จะรับผิดชอบผลของคำสั่งนั้นก็สามารถสั่งงานผมได้ครับ…”

 

“ถ้างั้นผมอยากจะให้คุณช่วยพาคนคนหนึ่งมาให้ผมหน่อย ตอนนี้เขาน่าจะยังพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องพยาบาลในปราสาทนี่แหล่ะครับ แล้วก็ช่วยเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับด้วยนะครับ โดยเฉพาะกับเคาน์เตสอาริสะแล้วก็ทหารในหน่วยของเธอน่ะ…”

Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Score 10
Status: Completed
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

Options

not work with dark mode
Reset