บทที่ 515 ตอนพิเศษ หลอมวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง
บทที่ 515 ตอนพิเศษ หลอมวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง
เมื่อต้าเซี่ยรวมดินแดนจงหยวนและทุ่งหญ้าเป็นหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างเยว่หลีและอานั่วซือก็เปลี่ยนผันจากมิตรเป็นศัตรูทันที
ผู้คนในค่ายทหารมักเห็นคนทั้งสองสรรหาวิธีการแปลกประหลาดมาเล่นงานกันอยู่บ่อยครั้ง
ช่วงแรกผู้คนต่างตื่นตระหนก ทว่ายิ่งนานวันเข้าก็เปลี่ยนเป็นชินชา
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่อานั่วซือถูกกับดักจากอีกคนเล่นงาน พอหลุดออกมาได้อย่างทุลักทุเลเขาก็เอาคืนเยว่หลีทันที
ความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสองไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นหมายเอาชีวิตอีกฝ่าย เพียงต้องการกลั่นแกล้งให้ตนสะใจเล่นก็เท่านั้น
เยว่หลีหยัดกายขึ้นจากพื้น แล้วชี้หน้าอานั่วซือ
“วันที่สองเดือนสอง วันมังกรเชิดหัวของปีหน้า ข้าจะสร้างค่ายกล เราสองคนมาตัดสินชี้ชะตา ผู้ใดจะอยู่ผู้ใดจะไปให้สวรรค์เบื้องบนเป็นผู้ลิขิต!”
อานั่วซือกุมแขนอาบเลือดไว้ “ก็เอาสิ ผู้ใดกลัวกัน!”
เยว่หลียกยิ้มเย้ยหยัน ค่ายกลเขาเป็นคนสร้าง ถึงตอนนั้นคนที่ตายต้องไม่ใช่เขา!
ในกระโจมหลังหนึ่ง หนานกงฉีซิวถึงกับยกยิ้มพลางส่ายหัว “สองคนนั้นทะเลาะกันอีกแล้วหรือ”
“เป็นเช่นนั้นอีกตามเคย”
หนานกงฉีหลิงเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงแทะผิงกั่วในมืออย่างสบายอารมณ์
“ยามศึกเราร่วมรบ ยามสงบพวกเขากลับรบกันเอง”
หนานกงฉีซิววางพู่กันในมือพลางยกยิ้มบาง ๆ “ถึงอย่างไรสองคนนั้นก็คือคนคนเดียวกันมิใช่หรือ ต่อให้พวกเขาจะทะเลาะกันเอาเป็นเอาตายอย่างไร ก็มีแต่พวกเขาที่เข้าใจกันดีที่สุด”
“ไม่ ข้าว่าให้พวกเขาเป็นเช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว มันก็เหมือนกับการแยกร่างมิใช่หรือ ดีจะตายไป”
“ที่เจ้าว่ามาข้าก็พอเข้าใจได้”
ด้านหนานกงฉีอิงได้แต่เกาหัว เขามีร่างกายแข็งแรง แต่มีสมองอ่อนแอ ไม่เข้าใจบทเรียน ซ้ำยังไม่เข้าใจคำพูดที่ซับซ้อน แฝงความนัยอันใดพวกนั้นด้วย
หากเกิดศึกระหว่างองค์ชาย เขาคงเอาตัวรับกระสุนเป็นคนแรก
“ข้าอยากมีสมองฉลาด ๆ อย่างคนอื่นเขาบ้าง”
พูดจบหนานกงฉีอิงก็หัวเราะแก้เขิน
“แต่เยว่หลีพูดถึงวันที่สองเดือนสอง มังกรเชิดหัว เขาคิดจะทำสิ่งใด”
“เหมือนเขาคิดจะสร้างค่ายกลบางอย่าง”
ขบวนทัพมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง ราษฎรต่างรอต้อนรับกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
หนานกงสือเยวียนและบุตรสาวก็ออกมาต้อนรับพวกเขาด้วยตนเอง
เสี่ยวเป่าสวมชุดสีแดงสด ผิวขาวผ่องจึงดูเปล่งประกาย ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าที่ได้ชื่อว่างดงามมาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในเมืองหลวง
ไม่รู้ว่าผู้คนในที่นั้นแอบส่งสายตาให้นางมากน้อยเพียงใด เพราะมันนับไม่ถ้วน
แต่สายตาของเสี่ยวเป่าจับจ้องเพียงเหล่าพี่ชายของตนเท่านั้น นางภูมิใจในตัวพวกเขายิ่งนัก!
พี่ชายแต่ละคนของนางเก่งมาก!
ถึงขั้นนี้เขาต้องยอมรับเลยว่า แม้ต้าหานจะไม่มีความขัดแย้งภายใน พวกเขาก็ไม่อาจเอาชนะต้าเซี่ยได้อยู่ดี
การอยู่ใต้อาณัติของต้าเซี่ยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
บัดนี้เขายอมจำนนด้วยความเต็มใจ จากนี้ไปเพียงกินนอนรอความตาย เพราะฮ่องเต้ต้าเซี่ยจะจัดการกับเขาอย่างไรก็มิอาจรู้ได้
หลังจากได้มาเยือนเมืองหลวงต้าเซี่ย ได้เห็นความเจริญรุ่งเรือง ความรู้สึกที่เคยต่อต้านพลันมลายหายไปในพริบตา
ทั้งที่เขาเตรียมใจเอาไว้แล้วหากต้องพบกับจุดจบแสนเลวร้าย ทว่าโชคดีที่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยมีเมตตามอบตำแหน่งอ๋องให้ แม้เป็นเพียงอ๋องไร้อำนาจ แต่เขาก็ยังได้รับเบี้ยหวัดทุกเดือน
ประกอบกับทรัพย์สินเดิมที่มี เพียงเท่านี้เขาก็สุขสบายไปชั่วชีวิตแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ภาพที่เคยคาดคิดไว้ว่าจะต้องถูกชาวต้าเซี่ยดูถูกเหยียดหยามนั้นกลับไม่เกิดขึ้นเลยสักนิด
อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชาย อ๋อง และฮ่องเต้นั้นช่างแตกต่างจากคนในราชวงศ์อื่นที่เอาแต่หาทางเข่นฆ่ากันเพื่อชิงอำนาจหรือทรัพย์สมบัติ พวกเขารักใคร่กลมเกลียวกันมาก!
แต่ด้วยเหตุผลนี้ เขาจึงเข้ากับเซียวเหยาอ๋องรวมถึงเหล่าบุตรชายได้เป็นอย่างดี
ที่ต้าเซี่ยมีเรื่องสนุก ๆ มากมายให้ทำ!
…
หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเป่าอายุมากขึ้นอีกหนึ่งปี เหล่าขุนนางและชายหนุ่มผู้มีความสามารถทั้งหลายต่างจับจ้องนาง รอให้หนานกงสือเยวียนเลือกคู่ครองให้นางอย่างใจจดใจจ่อ
แต่จนแล้วจนรอด…
ก็ยังไม่มีวี่แววว่าบุตรสาวสุดที่รักของฮ่องเต้จะได้สมรส
เหล่าพี่ชายขององค์หญิงก็ยังหวงน้องสาวไม่เลิก ทุกครั้งที่มีคนพยายามตะล่อมถามถึงองค์หญิง พวกเขาก็จะฉีกยิ้มและบอกว่าไม่รีบ น้องสาวของพวกเขายังเด็กอยู่
หรือไม่ก็ตบโต๊ะอย่างเดือดดาล “ใต้หล้านี้มีชายใดคู่ควรกับน้องหญิงของข้าหรือ หามีไม่!”
ทุกคน : …
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป องค์หญิงคงต้องกลายเป็นสาวเทื้อจริง ๆ แล้วกระมัง
พวกท่านไม่รีบ แต่พวกเขาเป็นห่วงองค์หญิง!
ด้านเสี่ยวเป่าเองก็ไม่รีบร้อน นางโสดมาเป็นร้อยปีแล้วก็ยังอยู่ได้ จะรีบร้อนไปไย!
ในที่สุดวันที่สองเดือนสองก็มาถึง เป็นวันที่พวกเขาตัดสินใจจะทำการใหญ่
เพราะเยว่หลีคำนวณแล้วว่าวันที่สองเดือนสอง วันมังกรเชิดหัว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา
ทันทีที่เสี่ยวเป่ารู้เรื่องก็รีบออกจากวังไปดื่มเหล้ากับพวกเขา แน่นอนว่าพี่ชายทั้งหลายก็อยู่ด้วย
“พวกเจ้าตัดสินใจดีแล้วจริง ๆ หรือ”
เสี่ยวเป่านั่งเท้าคางด้วยมือทั้งสองข้าง พลางจ้องคนทั้งสอง
“อันที่จริงข้าว่ามันก็เป็นความคิดที่ดีนะ แต่หากหนึ่งในพวกเจ้าหายไปจริง ๆ นั่นเท่ากับว่าตายไปแล้วไม่ใช่หรือ”
เยว่หลี “ก็แค่หลอมรวมจิตวิญญาณ อย่ากังวลไปเลย ไม่เป็นอันใดหรอก”
ถึงอย่างไรคนที่จากไปก็ต้องไม่ใช่เขา
อานั่วซือกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “เดิมทีสมองที่เขาใช้อยู่ก็ควรเป็นของข้า”
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยสายตาดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร
เสี่ยวเป่า : …เหตุใดมังกรวารีทมิฬถึงดื้อรั้นขนาดนี้นะ
เจ้าสองคนนี้ต่างก็ดื้อรั้นเหมือนกัน!
เยว่หลีหาสถานที่ที่เหมาะสมและจัดเตรียมค่ายกลไว้ล่วงหน้า
และแล้ววันนี้ก็มาถึง แม้แต่หนานกงสือเยวียนและหนานกงฉีซิวก็ยังอยากรู้ว่าวิญญาณของพวกเขาจะหลอมรวมกันได้อย่างไร
สถานที่ที่เยว่หลีเลือกนั้นอยู่บนหน้าผาที่ค่อนข้างสูง เป็นที่กว้าง ไร้สิ่งปลูกสร้าง แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่มี จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดเพลิงไหม้ถ้าฟ้าผ่า
คนตระกูลหนานกงทุกคนต่างเฝ้าดูอยู่ใต้หน้าผา
เสี่ยวเป่าดึงกลีบดอกไม้ป่าดอกเล็ก ๆ เล่นพร้อมทำหน้าเบื่อหน่าย ในใจนางรู้สึกหดหู่
วันนี้มีใครคนหนึ่งต้องตาย แค่คิดก็เศร้าแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเยว่หลีหรืออานั่วซือ พวกเขาล้วนเป็นสหายที่ดี และยังมาจากโลกเดียวกัน แม้มังกรวารีทมิฬจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้นางต้องมาเกิดในชาติภพนี้ แต่ความขุ่นเคืองใจที่เคยมีมันหายไปนานแล้ว
ตอนนี้นางพอใจกับชีวิตนี้มาก
วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม มีฝนตกปรอย ๆ
ครืน…
ก้อนเมฆสีดำปกคลุมทั่วท้องฟ้า เมื่อฟ้าร้องเสียงดังลั่นก็เกิดสายฟ้าสีขาวเงินและสีม่วงผ่าลงมาพร้อมกัน หากมองจากระยะไกล มันดูเหมือนมังกรสองตัวต่อสู้กันท่ามกลางเมฆสีดำ
จากนั้นพวกมันก็ย้ายมาก่อตัวอยู่เหนือหน้าผาที่อานั่วซือและเยว่หลียืนอยู่
หนานกงฉีจวินเอ่ยขึ้นเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “พวกเขา… พวกเขาจะต้องถูกฟ้าผ่าใช่หรือไม่ แล้วพวกเขาจะรอดหรือ”
สุดท้ายสิ่งที่เคยคาดเดาไว้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับความเป็นจริงนั้นต่างกันลิบลับ พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตาตนเอง ทุกคนต่างเริ่มเป็นกังวล
จากที่เคยเฝ้าถามว่าพวกเขาจะหลอมรวมวิญญาณได้สำเร็จหรือไม่ เปลี่ยนมาเป็นทั้งสองคนจะมีชีวิตรอดหรือไม่
ท่ามกลางหมู่มวลเมฆดำ เกิดเป็นสายฟ้าฟาดที่มาพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ท้องฟ้าที่มืดครึ้มสว่างวาบเป็นระยะ
สายฟ้าฟาดลงบนหน้าผาท่ามกลางเสียงอุทานของทุกคน
เสี่ยวเป่าและคนอื่น ๆ หยัดกายลุกขึ้นทันใด
สายฟ้านั่นผ่าแรงเกินไปแล้ว!
และหลังจากเกิดฟ้าผ่าครั้งหนึ่ง ก็มีครั้งที่สองตามมา…
เสี่ยวเป่าเริ่มทนดูเฉย ๆ ไม่ได้อีกต่อไป แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถูกหนานกงสือเยวียนรั้งไว้
“อย่าไปเลย มันเป็นความต้องการของพวกเขา”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ห่วง แต่หากเป็นตัวเขาเองก็คงเลือกทำเช่นนี้ แม้สุดท้ายอาจต้องตายก็ตาม
และถึงไปที่นั่นในตอนนี้ ก็ไม่อาจหยุดยั้งสิ่งใดได้แล้ว
เสี่ยวเป่าขอบตาแดงก่ำ
องค์ชายคนอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี
ฟ้าที่ผ่าข้างนอกเมืองหลวงนั้นดูแปลกและสะดุดตามาก แม้แต่ผู้คนในเมืองหลวงและหมู่บ้านรอบ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดดู
ปรากฏว่าพวกเขาเห็นเป็นรูปร่างเหมือนมังกร
“เป็นมงคล สิ่งนี้เป็นมงคล ฝ่าบาทเพิ่งรวบรวมดินแดนจงหยวนเป็นหนึ่ง ก็มีมังกรปรากฏตัวแล้ว!”
คนในยุคนี้ยังเชื่อเรื่องเทพเจ้าและสิ่งเหนือธรรมชาติ พอฟ้าแลบแล้วดูเหมือนมังกร ผู้ใดพบเห็นต่างก็บอกว่าเป็นเรื่องมงคล! เป็นมังกรจริง ๆ!
หลังจากสายฟ้าฟาดลงมาเป็นครั้งที่เก้า ในที่สุดเมฆดำก็ค่อย ๆ สลายไป
สถานการณ์คลี่คลายอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้ากลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง
เสี่ยวเป่าและคนอื่น ๆ รีบขวบม้าไปที่หน้าผา
บริเวณรอบหน้าผากลายเป็นหลุมลึก ทุกอย่างถูกเผาไหม้เป็นตอตะโก แต่สิ่งที่แปลกคือลวดลายค่ายกลยังคงเป็นสีขาว
ตรงกลางค่ายกลมีคนผู้หนึ่งเนื้อตัวถูกเผาจนดำไปทั้งตัวนอนแน่นิ่งอยู่
“เสี่ยวเป่าอย่าเพิ่งเข้าไป ให้พวกเราเข้าไปตรวจสอบดูก่อน”
เหล่าพี่ชายค่อย ๆ เดินเข้าไปตรวจสอบว่าสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ยังหายใจอยู่หรือไม่
หนานกงฉีโม่เบิกตากว้าง “เขายังหายใจ!”
นี่มันเหลือเชื่อจริง ๆ
หนานกงฉีซิวรีบถอดเสื้อคลุมออกเพื่อห่อตัวเขาไว้ จากนั้นหนานกงฉีอิงผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งก็แบกคนผู้นั้นวิ่งลงเขาทันที
“รีบพาเขาไปหาท่านหมอเจี่ย!”
ด้านเจี่ยเจินเตรียมการรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขาสร้างกระท่อมหลังเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลจากหน้าผา ยาที่ต้องใช้รักษาเยว่หลีหรืออานั่วซือก็ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพ
ทันทีที่คนเจ็บมาถึง เขาก็จัดแจงให้วางผู้ที่ไหม้เป็นตอตะโกลงในอ่างยา ก่อนจะเริ่มฝังเข็ม
“เหลือเชื่อจริง ๆ ถูกฟ้าผ่ากลับยังมีชีวิตรอด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้คือผู้ใดกันแน่”
ผ่านไปกว่าสามชั่วยาม…
เจี่ยเจินเดินออกมาจากห้อง รับจอกน้ำจากเสี่ยวเป่าขึ้นดื่มทันที
ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ถูกสายฟ้าฟาดขนาดนั้นยังเอาชีวิตรอดมาได้ ขอชื่นชมจากใจจริง สมกับเป็นบุรุษอกสามศอก!
การพักฟื้นกินเวลาร่วมสามเดือน
เสี่ยวเป่าและเหล่าพี่ชายแวะเวียนมาเยี่ยมเป็นประจำ
รอยไหม้ตามร่างกายเริ่มหลุดออกไปทีละน้อย เผยให้เห็นผิวขาวเหมือนทารกแรกเกิด
ซึ่งผิวบนใบหน้านั้นเกลี้ยงเกลาก่อนส่วนอื่น
ใบหน้ายังคงเหมือนเดิม แต่องค์ประกอบบนใบหน้าคล้ายถูกสร้างมาอย่างพิถีพิถันกว่าเดิม เขาจึงดูหล่อเหลาขึ้นอีกเท่าตัว ราวกับว่าเยว่หลีและอานั่วซือถูกหลอมรวมจนกลายเป็นคนผู้นี้
ทว่ากลับยังไม่ฟื้นเสียที จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าตอนนี้เขาคือใคร
หลังจากผิวที่ไหม้เกรียมบนศีรษะหลุดออกจนหมด สิ่งที่ปรากฏคือศีรษะไร้เส้นผม เพราะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว จึงยิ่งเห็นได้ชัดว่าศีรษะของเขากลมสวยมาก หากร่างนี้สวมจีวรก็คงดูเหมือนนักบวชผู้ซึ้งในรสพระธรรม ละทิ้งทุกสิ่งทางโลก
สามเดือนต่อมา ผิวที่เป็นรอยไหม้ก็หลุดออกเกือบหมดแล้ว
เจี่ยเจินคอยดูแลอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ นี้ ทุก ๆ สองวันเสี่ยวเป่าจะมาที่นี่พร้อมกับสัตว์น้อยใหญ่ที่ผลัดเปลี่ยนกันมากับนาง
อย่างเช่นวันนี้ นางเดินทางมาที่กระท่อมหลังเล็กตามปกติ แต่กลับไม่พบอาจารย์ของตน เสี่ยวเป่าจึงเดาว่าเขาคงออกไปเก็บสมุนไพร
แต่พอนางเดินเข้าไปในห้อง คนที่เคยนอนอยู่บนเตียงกลับหายไป!
เสี่ยวเป่า “!!!”
“คนเล่า?!!!”
นางรีบวิ่งหน้าตื่นออกมา “เยว่หลี เยว่หลี อานั่วซือ!”
เสี่ยวเป่าไม่รู้ว่าเขาคือใครกันแน่ จึงเรียกชื่อพวกเขาไปมั่ว ๆ
“ท่านอาจารย์!”
ขณะที่นางกำลังจะก้าวขาวิ่งออกไปข้างนอก คนที่อยู่ข้างหลังก็คว้ามือนางเอาไว้เสียก่อน
เสี่ยวเป่าถึงกับเซไปข้างหลัง แต่พอเห็นว่าเป็นใครที่รั้งนางไว้…
“เจ้า”
ชายหนุ่มผมสั้นสีขาวเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงไพเราะรื่นหู “เจ้าอยากให้ข้าเป็นผู้ใด”
เสี่ยวเป่าตกใจจนสติหลุด ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเงยหน้ามองเขา “เจ้าฟื้นแล้ว!”
นางโผเข้ากอดเขาด้วยความดีใจ “ข้าคิดว่าเจ้าจะนอนเป็นผักตลอดไปเสียอีก!”
เยว่หลี : …
ไม่เห็นต้องแช่งกันเลย
“จริงสิ ว่าแต่ตอนนี้เจ้าคือผู้ใด”
เสี่ยวเป่าปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนก่อนจะรีบเอ่ยถาม
“ข้าก็ไม่รู้”
“ฮะ?”
“ตอนนี้ข้ามีทั้งความทรงจำของเยว่หลี ความทรงจำของอานั่วซือ และความทรงจำตอนเป็นมังกรวารีทมิฬในชาติก่อน ฉะนั้น… ข้าจึงไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าคือใครกันแน่ แต่ว่า…”
เขาลูบหัวเสี่ยวเป่าพร้อมฉีกยิ้ม “ข้าชอบชื่อเยว่หลี จากนี้ไปเจ้าเรียกข้าว่าเยว่หลีเถิด”
เสี่ยวเป่าไม่รอช้า ฉีกยิ้มกว้างพลางพยักหน้ารัว ๆ “ได้!”
………………………………………