บทที่ 513 ภัยธรรมชาติ
บทที่ 513 ภัยธรรมชาติ
บรรดาขุนนางในราชสำนักเริ่มทำงาน สิ่งที่เสี่ยวเป่ากังวลมิใช่อาหารทว่าเป็นเรื่องอื่น
หลังน้ำท่วมใหญ่โรคภัยไข้เจ็บก็จะตามมา
เมื่อได้อ่านแล้วหนานกงสือเยวียนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงและสั่งให้ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น จากนั้นก็สั่งให้แจกจ่ายไปยังพื้นที่ประสบภัยโดยด่วน
ภายในเวลาไม่ถึงสามวัน หนังสือพิมพ์ก็มาถึง เมื่อได้รับแจ้งว่าจะต้องประกาศเรื่องนี้ออกไปให้ประชาชนทราบ ที่ว่าการจึงสั่งให้คนเดินไปตามถนนหนทางเพื่อประกาศออกไปให้รู้โดยทั่วกัน
“ห้ามกินน้ำที่ไม่ผ่านการต้ม ต้องล้างมือก่อนกินอาหาร ร่างผู้เสียชีวิตที่เก็บขึ้นจากน้ำจะต้องเผาให้เรียบร้อย คนที่เก็บเงินของคนตายจะไม่มีวาสนาให้ใช้ ศพคนตายมีเชื้อโรคสามารถแพร่เชื้อไปติดคนได้เป็นล้าน ๆ…”
“ต้องรักษาความสะอาด ไปรับผ้าปิดปากได้ที่ว่าการอำเภอ ชุดที่ใส่ออกไปข้างนอกจะต้องฆ่าเชื้อให้สะอาดทันที หากพบว่าตนเองหรือคนในครอบครัวมีอาการผิดปกติให้รีบแจ้งที่ว่าการหรือผู้ใหญ่บ้านทราบไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกไป พวกเราจะแยกตัวผู้ป่วยออกมาและให้การรักษาโดยหมอที่ดีที่สุด ทั้งหมดนี้ไม่เสียค่าใช้จ่าย!”
มิเพียงประกาศให้ทราบ แต่ยังต้องคอยสอดส่องดูแลให้ทุกคนปฏิบัติตามด้วย
ภัยพิบัติครั้งนี้พรากชีวิตคนรักไปมากนัก แต่ก็มิได้ทำให้ทุกคนสิ้นหวังแต่อย่างใด
หลังจากที่ยุ้งฉางถูกเปิดออก ทุกคนก็ได้กินอิ่มท้องในทุกวันแม้ว่าอาหารจะไม่ได้คุณภาพมากนัก
แน่นอนว่าที่ว่าการมิได้แจกจ่ายให้เปล่า มีเพียงเด็กและคนชราที่เคลื่อนไหวเองไม่ได้เท่านั้นที่ไม่ต้องจ่าย ส่วนคนอื่น ๆ จำต้องทำงานเพื่อแลกอาหาร
ช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือ กู้ศพขึ้นจากน้ำและนำไปเผา ช่วยขนย้ายไม้ที่เสียหายเพื่อนำไปสร้างเป็นที่พักพิงชั่วคราว ทำความสะอาดถนนและราดน้ำปูนใส ขณะที่ผู้หญิงมีหน้าที่ทำอาหาร เย็บเสื้อขนแกะและเครื่องนุ่งห่ม…
แน่นอนว่าอาหารในยุ้งฉางมิอาจคงอยู่ได้ตลอดไป โชคดีที่ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้อำเภอข้างเคียงที่มิได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติรวบรวมเสบียงมาให้
ด้วยเหตุนี้เองราษฎรจึงยังไม่สิ้นหวัง
เมื่อมีอาหาร พวกเขาก็มีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
แม้ว่าจะระวังเป็นอย่างดี ทว่าก็มีคนบางจำพวกที่มิชอบความยุ่งยากจึงเลือกที่จะดื่มน้ำไม่ต้มสุก ไม่รักษาสุขอนามัย รวมถึงเก็บข้าวของของคนที่ตายไปแล้ว ในที่สุดบรรดาคนที่ไม่ใส่ใจแนวทางป้องกันโรคที่ประกาศในหนังสือพิมพ์ก็ล้มป่วยอย่างไม่น่าแปลกใจ
เมื่อข่าวการติดเชื้อแพร่ออกไป ผู้คนทั่วทั้งอำเภอก็เริ่มตื่นตระหนก
นายอำเภอสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปเคาะประตูบ้านเพื่อสำรวจประชากรดูว่ามีใครซ่อนผู้ป่วยเอาไว้หรือไม่
หากว่าครอบครัวไหนมีคนป่วย สมาชิกในครอบครัวก็จะต้องถูกแยกตัวออกมา
หมอจึงมีงานล้นมือ
คราวนี้เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเองจึงไม่มีใครเห็นการป้องกันโรคเป็นเรื่องเล็กอีก ยุ่งยากนิดหน่อยจะเป็นไรไป มิได้ทำให้ใครตายเสียหน่อย!
โชคดีที่ก่อนหน้านี้การป้องกันโรคทำได้ดี อีกทั้งสามารถควบคุมโรคระบาดได้ทันเวลา ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อหลังการเกิดอุทกภัยในครั้งนี้ไม่สูงเท่าใดนัก
ภัยพิบัติค่อย ๆ อยู่ภายใต้การควบคุมของต้าเซี่ย ต่อมาก็เป็นปัญหาการสร้างที่อยู่อาศัยขึ้นใหม่
ความจริงแล้วมิได้มีเพียงต้าเซี่ยที่ประสบกับภัยพิบัติเท่านั้น ต้าหานก็เช่นกัน
ทว่าประสบปัญหาเดียวกันแต่ต่างสถานการณ์
นับตั้งแต่อดีตกษัตริย์สิ้นพระชนม์ และกษัตริย์พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักต้าหานก็ตกอยู่ในการควบคุมของตระกูลผู้มีอำนาจ
กษัตริย์ผู้นี้มีใจทะเยอทะยานและนับว่ามีความสามารถในการปกครองอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครในราชสำนักอยู่ข้างเดียวกับเขา
เขาคิดจะใช้ระบบสอบจอหงวนของต้าเซี่ย แต่กลับถูกขุนนางระดับสูงในราชสำนักร่วมมือกันเพื่อขัดขวาง จนสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เดิมทีกษัตริย์ต้าหานได้ส่งเงินและอาหารไปบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนที่ได้รับประสบภัยในครั้งนี้ แต่ถูกพวกละโมบฉวยโอกาสจนเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ และสิ่งที่มาถึงมือของราษฎรคือข้าวสารที่ปะปนไปด้วยทราย
บรรดาพ่อค้าธัญพืชก็ใช้โอกาสนี้ขึ้นราคาสินค้าหลายเท่าเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตนเอง
เรื่องนี้ทำให้ผู้คนที่หิวโหยเป็นทุนเดิมและตกอยู่ในความสิ้นหวังเริ่มก่อจลาจล
เหล่าผู้ประสบภัยที่ก่อจราจลนั้นไม่สนว่าจะเป็นหรือตาย พวกเขาปล้นอาหารและเงินทองจากผู้มีอำนาจในท้องที่รวมถึงที่ว่าการอำเภอ จากนั้นก็จัดตั้งกองกำลังฝ่ายกบฏ
อีกทั้งผู้ป่วยโรคระบาดก็ระเหเร่ร่อนไปตามที่ต่าง ๆ และแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
หลังจากที่กษัตริย์ต้าหานเหนื่อยสายตัวแทบขาดกว่าจะจัดการปัญหาทุกอย่างจนเรียบร้อย อาณาจักรก็สูญเสียผู้คนไปถึงสามในสิบ มิหนำซ้ำเหล่าตระกูลชั้นสูงและพวกขุนนางในราชสำนักก็ยังคงขัดขวางอย่างไม่หยุดหย่อน
องค์รัชทายาทของเขาก็ยังมาตายเพราะยาพิษด้วยน้ำมือนางสนมที่ร่วมมือกับตระกูลชั้นสูง ในขณะที่ตัวเขาเองก็ยังเอาตัวไม่รอด
กษัตริย์ต้าหานพิโรธอย่างหนัก ทั้งยังตกอยู่ในความสิ้นหวัง ก็ได้ทำในสิ่งที่เหล่าตระกูลชั้นสูงไม่คาดคิดมาก่อน
เขาจัดการส่งจดหมายไปถึงต้าเซี่ย โดยบอกว่าตราบใดที่ต้าเซี่ยสามารถขุดรากถอนโคนตระกูลชั้นสูงให้หมดไปได้ เขาก็จะขอสวามิภักดิ์ต่ออาณาจักรต้าเซี่ยด้วยความยินดี!
เมื่อได้รับจดหมาย หนานกงสือเยวียนก็พูดไม่ออกเลยทีเดียว
ตระกูลชั้นสูงของต้าหานต้องตลบตะแลงเพียงใดถึงขั้นบีบให้กษัตริย์พระองค์หนึ่งมาถึงขั้นนี้ได้
เขาแค่นหัวเราะพร้อมกับยื่นจดหมายให้องค์รัชทายาท
“ตระกูลชั้นสูงในเป่ยเยว่นั้นซับซ้อนยากจะเข้าใจ แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาอาจสนับสนุนกษัตริย์ของตน ทว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ความทะเยอทะยานของพวกเขาก็มากตามไปด้วย”
ว่ากันว่ากษัตริย์เป็นดั่งสายนที ตระกูลชั้นสูงเป็นดั่งเหล็กกล้า ดูอย่างต้าหานสิ กษัตริย์ถูกบีบให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยจะมิใช่โศกนาฏกรรม
“เสด็จพ่อ จะปล่อยตระกูลพวกนั้นไว้มิได้เด็ดขาด”
ตระกูลชั้นสูงเหล่านี้พึ่งพาการผูกขาดทรัพยากรอันมีค่าต่าง ๆ โดยไม่เห็นกษัตริย์อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
แม้แต่ในสายตาของพวกเขากษัตริย์ก็เป็นได้เพียงเครื่องมือเท่านั้น หากคิดจะวางยาพิษและเปลี่ยนคนขึ้นนั่งบัลลังก์ก็เป็นเรื่องที่สุดแสนจะง่ายดาย
มิเช่นนั้นในอนาคตก็อาจตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับกษัตริย์ต้าหาน คือยอมทำลายอาณาจักรของตน เพื่อให้ตระกูลชั้นสูงพวกนั้นพังพินาศไปพร้อมกัน
“เสด็จพ่อ ครั้งนี้ลูกจะนำทัพเอง”
องค์รัชทายาทเผยยิ้มบางขณะมองหนานกงสือเยวียน
แม้ตัวเขาเป็นองค์รัชทายาท ทว่าปฏิบัติตัวกับเสด็จพ่อของตนในฐานะขุนนางและฮ่องเต้มาตลอด
แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิธีเช่นนี้เหมาะกับพวกเขามากทีเดียว
เนื่องจากบางคนก็ไม่รู้วิธีทำตัวเป็นพ่อ อ้อ เว้นกับเสี่ยวเป่าไว้หนึ่งคน แต่ว่าเก่งทีเดียวหากว่าอีกฝ่ายเป็นขุนนางที่มากความสามารถ
เสด็จพ่อของเขาเป็นคนใจกว้าง ใช้ใครโดยไม่คิดหวาดระแวง ดังนั้นในฐานะองค์รัชทายาทจึงค่อนข้างสบายทีเดียว
อีกอย่างก็ยังได้บรรดาน้องชายคอยช่วยเหลือ
ทำเอาบางครั้งหนานกงฉีซิวก็คิด ว่าหากบรรดารัชทายาทในราชวงศ์ก่อน ๆ รู้เข้าคงจะอิจฉาเขาน่าดู
มิรู้ว่าจะมีองค์รัชทายาทที่โชคดีเหมือนกับตนเองขนาดนี้อีกหรือไม่
“เสด็จพ่อ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ลูกจะได้ออกไปสัมผัสความรู้สึกเดียวกับท่าน”
หนานกงสือเยวียนมองหน้าเขาและตอบในที่สุด
“ข้าอนุญาต”
หนานกงฉีซิวโค้งคำนับ จากนั้นก็กลับออกไป
ครั้งนี้เขามิได้ไปเพียงคนเดียว แต่ยังพาพวกน้องชายไปด้วย
แน่นอนว่าจะขาดองค์ชายสี่กับองค์ชายห้าไปไม่ได้ รวมถึงอานั่วซือและเยว่หลีที่เห็นเกลียดกันเข้าไส้อย่างเห็นได้ชัด แต่กลับเข้ากันได้เป็นอย่างดี
ขณะที่กำลังจะออกเดินทาง เสี่ยวเป่าก็ไม่ลืมที่จะพาพวกหลานชายไปส่งพวกเขาด้วย
เด็กสาวอายุสิบหกรูปร่างสูงเพรียว เครื่องหน้าประณีตงดงาม หากกล่าวว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ยก็ดูจะไม่เกินจริงนัก
นางอยู่ในชุดกงจวงสีแดงโดยมีเหล่าหลานชายตัวน้อยยืนอยู่ข้าง ๆ
“ท่านพี่ พวกท่านต้องรีบไปรีบกลับนะ”
เสี่ยวเป่าโบกมือให้พวกเขาพร้อมกับพูดกำชับ
หนานกงฉีหลิง “น้องหญิง เจ้าจำไว้นะว่าพวกผู้ชายข้างนอกมีแต่พวกหลายใจ ไม่ต้องรีบแต่งงาน ต้องรอจนกว่าพวกข้าจะกลับมานะ!”
ปีนี้มีผู้ส่งสารกราบทูลขออภิเษกกับองค์หญิงเป็นจำนวนมาก เวลาที่เสี่ยวเป่าออกไปข้างนอกก็มักจะเจอเข้ากับหนุ่มรูปงามมากมายหลายประเภทโดยบังเอิญ ทำเอาบรรดาพี่ชายต่างพากันร้อนรุ่มกลุ้มใจจนแทบอยากทุบคนพวกนั้นให้ตาย ๆ ไปเสีย
น้องสาวพวกเขาจะแต่งงานหรือไม่แต่ง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าด้วยเล่า!
เมื่อเยว่หลีและอานั่วซือรู้เรื่องนี้ก็พากันใจไม่เป็นสุขเช่นเดียวกัน จากนั้นก็ลอบวางแผนกับบรรดาองค์ชายและจัดการพวกคนที่แสร้งทำเป็นบังเอิญพบองค์หญิงเข้าให้
ให้ตายเถอะ มีแต่พวกตัวผอมกะหร่องคิดว่าคู่ควรกับเสี่ยวเป่าอย่างนั้นหรือ!
เสี่ยวเป่ากลั้นหัวเราะ “รู้แล้วน่า”
นางยืนบนกำแพงเมืองขณะมองดูพวกพี่ชายจากไป จนกระทั่งลับสายตาถึงได้กลับวังหลวงพร้อมท่านพ่อ
บรรดาหลานชายตัวน้อยต่างหวาดกลัวเสด็จปู่ของตน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงดูไม่ค่อยร่าเริงเหมือนทุกครั้ง
หนานกงสือเยวียนมองดูบุตรสาวที่บัดนี้ตัวสูงเท่าระดับอกของตนแล้ว
เมื่อเขานึกย้อนกลับไป เด็กสาวตัวอ้วนกลมในตอนนั้นก็ราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้
หนานกงสือเยวียนลูบศีรษะเสี่ยวเป่าอย่างอ่อนโยน “โตแล้วสินะ”
มิอยากทนเห็นนางต้องออกเรือนไป เหตุใดวันเวลาถึงได้ผ่านไปเร็วเช่นนี้
เสี่ยวเป่าโน้มศีรษะคลอเคลียมือของท่านพ่อ
“เรื่องแต่งงานยังเร็วไปนัก หากว่าเจ้ามีคนที่ชอบพอก็บอกข้าได้”
พ่อจะได้ชิงฆ่ามันเสียก่อน!
ไม่ได้ เดี๋ยวเสี่ยวเป่าเสียใจ
หนานกงสือเยวียนไม่แสดงสีหน้าใด ทว่าในใจขัดแย้งจนพันเป็นเส้นด้าย
การที่ลูกโตเป็นสาวมันช่างทุกข์ใจยิ่งนัก
เสี่ยวเป่า “ข้ายังไม่มีคนที่ชอบ ข้ายังมิอยากแต่งงานตอนนี้ หรือว่าท่านพ่อรำคาญข้าแล้ว”
หนานกงสือเยวียนยิ้มมุมปาก “จะเป็นไปได้อย่างไร เช่นนั้นก็รอไปก่อน จนกว่าเจ้าจะอายุสามสิบ… หรือไม่ก็ยี่สิบห้า”
หากว่าช้าเกินไปก็คงจะไม่ได้
………………………………………