บทที่ 512 เป่ยเยว่ล่มสลาย
บทที่ 512 เป่ยเยว่ล่มสลาย
แน่นอนว่าการต่อสู้ต้องเกิดขึ้น และหนานกงสือเยวียนก็กำลังรอเวลาที่ตนจะได้ออกไปทำศึก
ชายวัยใกล้ห้าสิบที่รักในการทำศึกโดยไม่รู้จบ
และหน้าที่ปกครองบ้านเมืองยังคงเป็นขององค์รัชทายาท
ครั้งนี้เสี่ยวเป่ามิได้ติดตามไปด้วย เพราะว่าตอนนี้นางเป็นสาวเต็มตัวแล้ว
ในยุคนี้เด็กสาวอายุสิบสี่ล้วนพูดคุยกันถึงเรื่องออกเรือน ทว่าเสี่ยวเป่ายังคงไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ
บรรดาขุนนางและสตรีสูงศักดิ์ในเมืองต่างก็รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ โดยหวังว่าลูกชายของตนจะเข้าตาองค์หญิงบ้าง ทว่าเสี่ยวเป่ามิได้กระตือรือร้น ฮ่องเต้กับบรรดาองค์ชายก็เช่นกัน ด้วยรู้ว่าเปล่าประโยชน์
“ท่านอา ท่านอา~”
ขณะที่เสี่ยวเป่ากำลังวางแผนที่จะทำอาหารอร่อย ๆ อยู่ในพระราชวัง เด็กน้อยสามคนก็กระตือรือร้นวิ่งเข้ามาและกระโดดใส่อ้อมแขนเสี่ยวเป่าเหมือนลูกระเบิด
ทั้งสามล้วนเป็นเด็กผู้ชาย
สองคนโตเป็นลูกชายของท่านพี่รัชทายาท คนหนึ่งอายุสี่ขวบ ส่วนอีกคนสองขวบครึ่ง
คนที่เด็กที่สุดอายุเพียงขวบครึ่งเท่านั้น ทั้งเดินยังไม่คล่อง แต่พอได้เห็นเสี่ยวเป่าขาสั้นป้อมก็ควบเร็วจี๋ เพียงแต่ไม่รวดเร็วเท่าสองคนโตและตามด้วยล้มลง
เสี่ยวเป่ารีบอุ้มขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเขาทำท่าจะร้องไห้
ทันใดนั้นเด็กชายรูปงามหน้าตาน่ารักก็หัวเราะออกมา
เสี่ยวเป่าจูบไปที่แก้มอวบอ้วนของเด็กน้อย
“อาโร่วคิดถึงท่านอาหรือไม่”
อาโร่วคือชื่อเล่นของหนุ่มน้อยซึ่งเป็นลูกชายของพี่รอง ทั้งยังได้รับถ่ายทอดความหล่อเหลามาจากผู้เป็นพ่อทำให้หนุ่มน้อยรูปงามไม่ต่างกับเด็กผู้หญิง
“คิดถึง ท่านอา!”
เด็กน้อยนามว่าอาโร่วพูดตอบเสียงดังฟังชัด และคว้าแก้มเสี่ยวเป่าเข้ามาหอม
นี่ก็เป็นสิ่งที่เรียนรู้มาจากเสี่ยวเป่าเช่นเดียวกัน
ในสมัยโบราณผู้คนค่อนข้างหัวอนุรักษนิยม ต่อให้เป็นแม่ที่รักพวกเขาก็ไม่ยังหอมเช่นนี้ เว้นแต่ท่านอาคนเดียวเท่านั้น
“ท่านอาลำเอียง”
เด็กน้อยรูปงามอีกสองคนไม่พูดพร่ำทำเพลงและพุ่งเข้ามาด้วยความรู้สึกน้อยใจ
คนโตสุขุมกว่าเล็กน้อย ไม่พูดไม่จาทว่าส่งสายตาปริบ ๆ มาให้
ส่วนคนเล็กร่างกายบึกบึนกว่าร้องขอให้หอมที่ตนถูกละเลย
“ทังหยวนห้ามงอแงนะ”
เด็กสองคนก็มีชื่อเล่นเช่นกัน คนหนึ่งชื่อว่าเปาจื่อ ส่วนอีกคนชื่อว่าทังหยวน แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเสี่ยวเป่าเป็นผู้ตั้งให้
พี่ใหญ่ลากนางมาตั้งชื่อเล่นให้ตั้งแต่ตอนที่เด็กทั้งสองเกิด
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเป็นนางที่ตั้งชื่อเล่นให้ลูกของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้
มิรู้เป็นเพราะความบังเอิญหรือไม่ที่เจ้าตัวน้อยจับมือของเสี่ยวเป่าไม่ยอมปล่อยทันทีที่นางอุ้มขึ้นมากอด ทั้งยังมองนางด้วยดวงตากลมแป๋ว
พี่สะใภ้เองก็รักใคร่นางและบอกว่าพวกเขามีวาสนาต่อกัน อีกทั้งมันก็เป็นเพียงชื่อเล่นเท่านั้น
หลังจากที่อุ้มอยู่นาน ก็ตัดสินใจให้ชื่อว่าเสี่ยวเปาจื่อ
เป็นชื่อที่ทั้งน่ารักและตรงตัว
องค์รัชทายาทและพระชายาอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ชื่อเล่นว่าเสี่ยวเปาจื่อก็ถูกตั้งด้วยประการฉะนี้
หลังจากนั้นก็ยังคงเป็นเสี่ยวเป่าที่ตั้งชื่อให้กับเด็กน้อยอีกคนที่เกิดมา
หลังจากที่ได้ชื่อเล่นว่าเสี่ยวเปาจื่อ เด็กน้อยผิวขาวก็ตัวอ้วนกลมมาตลอด น่ารักเหมือนกับซาลาเปาไม่มีผิดเพี้ยน กระทั่งพวกเขาคิดว่าชื่อเล่นนี้ไม่เลวทีเดียว
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสี่ยวทังหยวน
ล้วนแต่เป็นเด็กน้อยตัวอ้วนกลมทั้งนั้น
เสี่ยวเป่าหอมแก้มเด็กน้อยทั้งสองคน
เสี่ยวเปาจื่อในวัยสามขวบเริ่มรู้ความแล้ว เจ้าตัวน้อยหน้าแดงทันทีที่ถูกท่านอาหอมแก้ม
เห็นดังนั้นเสี่ยวเป่าก็อดหัวเราะไม่ได้ พลางถูแก้มยุ้ยของพวกเขาไปมาอย่างมีความสุข
เจ้าตัวน้อยทั้งสามชื่นชอบท่านอามาก และมาหานางทุกครั้งที่ได้เข้าวังโดยไม่สนใจท่านพ่อของตนแม้แต่นิดเดียว
ประจวบเหมาะกับเป็นวันที่อากาศร้อน เสี่ยวเป่าจึงทำขนมวุ้นกับซวงผีหน่าย*[1] เอาไว้และจัดใส่จานให้กับเด็กทั้งสาม
“ขนมของท่านอาอร่อยที่สุดเลย”
เสี่ยวทังหยวนตักใส่ปากพลางออดอ้อนประจบประแจง
อาโร่วจับช้อนคันเล็กอย่างไม่มั่นคงนัก จากนั้นก็ป้อนซวงผีหน่ายที่อยู่ในช้อนให้ท่านอา
“ท่านอา กิน!”
น่ารักชะมัด!
เสี่ยวเป่ายิ้มร่าขณะบีบนวดแก้มเจ้าตัวเล็ก และกินซวงผีหน่ายเป็นการรักษาน้ำใจ
เสี่ยวเป่ายังเตรียมของเล่นไว้มากมายภายในสวนอันกว้างใหญ่ของตัวเองให้กับพวกเด็ก ๆ อีกด้วย
นางย้ายออกจากห้องปีกข้างของท่านพ่อไปพักที่ตำหนักในวังหลังหลังกลับจากเมืองหน้าด่านเมื่อตอนอายุได้สิบเอ็ดขวบ ตำหนักแห่งนี้ได้รับการตกแต่งใหม่ ภายในล้วนใช้แต่วัสดุอย่างดีที่สุด อีกทั้งมีสวนขนาดใหญ่หลายแห่ง
จำต้องมีสวนขนาดใหญ่ไว้รองรับสัตว์เลี้ยงของนาง
หลังจากที่เหล่าหลานชายของนางเกิด นางก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสวนหลังบ้านให้กลายเป็นสนามเด็กเล่น
ทุกครั้งที่ถึงวันเกิดของคนใด ในสวนก็จะมีของเล่นเพิ่มขึ้นหนึ่งชิ้น
ด้วยเหตุนี้สิ่งที่พวกเด็ก ๆ ต่างเฝ้ารอมากที่สุดก็คือวันเกิดของตัวเอง
นอกจากจะได้ของเล่นชิ้นใหม่แล้ว ท่านอาก็ยังทำขนมอบรูปร่างสวยงาม เสื้อผ้าตัวใหม่ รวมถึงขนมหลากหลายชนิดให้พวกเขา…
“ท่านอา เสด็จปู่ใกล้จะออกไปรบแล้ว เสด็จพ่อบอกว่าท่านเคยออกไปรบกับเสด็จปู่มาก่อน เล่าให้พวกเราฟังได้หรือไม่”
เจ้าตัวน้อยทั้งสามมองมาที่นางอย่างมีความหวัง
เสี่ยวเป่า : “…ใครบอกกันว่าข้าเคยไปออกรบ”
นางแทบจะกลอกตาเมื่อได้ยิน แต่ก็ใช่ว่าจะมีไม่เรื่องเล่าเสียทีเดียว
ทิวทัศน์ระหว่างทางไปเมืองชายแดน ประเพณีของผู้คน ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล ผู้คนหลากหลาย ม้าควบเร็วจี๋ เหล่าอินทรีบนฟากฟ้า…
เด็กน้อยทั้งสามก็ค่อยๆ หลงใหลไปกับเรื่องเล่า
เมื่อถึงเวลาต้องไป ทุกคนก็งอแงจะอยู่ค้างคืนกับท่านอาที่นี่
ท่านอายังมีเรื่องสนุกเล่าให้ฟังอีกตั้งเยอะเลย…
…
สงครามกับเป่ยเยว่นั้นได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย
หลายปีมานี้เป่ยเยว่ให้ความสำคัญกับบัณฑิตมากกว่าขุนนางฝ่ายบู๊ กษัตริย์น้อยและคนข้างกายดันหาเรื่องใส่ตัวโดยที่ตนไร้ซึ่งความสามารถด้านการทหาร
ส่วนทางด้านต้าเซี่ย มิเพียงมีหนานกงสือเยวียน แต่ยังมีผู้มีพรสวรรค์ดั่งเทพเจ้าถึงสองคน
คนหนึ่งทั้งที่อยู่ในแนวหลัง ทว่ากลับสามารถอธิบายเส้นทางการเดินทัพของฝ่ายศัตรู รวมถึงภูมิประเทศต่างๆ ได้อย่างชัดเจนโดยอาศัยการดูจากพื้นดิน เทือกเขา แมกไม้ ไปจนถึงแม่น้ำลำธาร
กระทั่งสามารถระบุทิศทางลม และสภาพอากาศ…
จากนั้นก็จัดทำแผนการรบหลากหลายรูปแบบอย่างมิขาดตกบกพร่อง เพื่อให้คว้าชัยชนะโดยสูญเสียกำลังพลให้น้อยที่สุด
ถูกต้องแล้ว คนผู้นี้ก็คือเยว่หลีที่ถูกหนานกงสือเยวียนเรียกตัวมาเป็นที่ปรึกษาทางการทหาร
เขามีความทรงจำในชาติที่แล้ว สามารถระบุสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศได้เพียงแค่กระดิกปลายนิ้ว อีกท้ังมีความสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ จนแทบไม่เหลือตำราในคลังหนังสือให้เขาอ่าน
จากนั้นเสี่ยวเป่าก็อนุญาตให้เขาเข้าไปในห้องสมุดของตน
โดยพิจารณาจากเหตุผลหลายประการ
ประการแรกเขาจดจำเรื่องที่อ่านได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความขี้เกียจของเสี่ยวเป่า การคัดลอกหนังสือจึงเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับนาง
ทั้งหนานกงสือเยวียนและองค์รัชทายาทต่างก็ไม่มีเวลา
ด้วยเหตุนี้สองพ่อลูกจึงยกหน้าที่นี้ให้เป็นของเยว่หลี ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนหัวดี เมื่ออ่านจบแล้วก็ยังสามารถคัดลอกเนื้อหาแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในห้องสมุดก็ตามที อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มจำนวนหนังสือให้กับห้องสมุดหลวง
ประการที่สอง ทั้งเขาและเสี่ยวเป่าต่างก็ข้ามภพมา มิหนำซ้ำยังเคยเป็นปีศาจ เทียนเต้าก็ยืนยันว่าเขามิเคยทำร้ายผู้ใดและตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่เสมอ แต่สุดท้ายก็มิอาจหลีกหนีด่านเคราะห์ได้พ้นและแปลงกายเป็นมังกรในที่สุด
ในฐานะปีศาจเขาเคยพบเจอสมบัติมากมาย และไม่ได้ตาบอดถึงขั้นพลาดคลังเก็บหนังสือของเสี่ยวเป่า เขาใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าจะคัดลอกหนังสือที่อยู่ในนั้นได้จนครบ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะพะวงกับมันอีก
ส่วนเรื่องคลังจัดเก็บนั้นไม่มีความจำเป็นสำหรับเยว่หลี
ดังนั้นการให้เยว่หลีรู้เรื่องห้องสมุดของเสี่ยวเป่าจึงเป็นเรื่องปลอดภัยที่สุด
อีกอย่างก็ยังได้คนช่วยงานเพิ่มมาอีกหนึ่ง หลังจากที่หนานกงสือเยวียนและเสี่ยวเป่าครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ตัดสินใจมอบสิทธิ์เข้าถึงห้องสมุดให้กับเยว่หลี
สิ่งเดียวที่ทำให้หนานกงสือเยวียนหงุดหงิดก็คือห้องสมุดทำให้ความสัมพันธ์ของเยว่หลีและเสี่ยวเป่าใกล้ชิดกันมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากเวลาที่ได้เจอเยว่หลี
ทว่าเสี่ยวเป่าและเยว่หลีที่มีแนวคิดสมัยใหม่กลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อถูกจับจ้องจากท่านพ่อและบรรดาพี่ชาย เยว่หลีจึงค่อนข้างรักษามารยาท และจะมาหาเสี่ยวเป่าเฉพาะเวลาอ่านหนังสือเท่านั้น และใช้เวลาอื่น ๆ อยู่ภายนอกวังหลวง
ความทรงจำในชาติก่อนประกอบกับคลังความรู้ในตอนนี้ ทำให้เยว่หลีมีสติปัญญาเหนือกว่าผู้ใด เว้นแต่เพียงวิชาต่อสู้เท่านั้น
นอกจากเยว่หลี ยังมีอีกหนึ่งคนที่มีชื่อเสียงด้านการสู้รบ
อานั่วซือ
ชาวต่างแดนแปลกประหลาดผู้นี้ มีทั้งสัญชาตญาณของสัตว์ป่าและความสามารถในการเป็นผู้นำ รวมถึงพละกำลังที่แข็งแกร่งเหนือกว่าแม่ทัพคนไหน ๆ
เขาเรียกขานตนเองว่าราชันหมาป่า และให้ทหารเป็นหมาป่าใต้บังคับบัญชา รวมถึงได้วิธีฝึกซ้อมที่หลากหลายจากเสี่ยวเป่า ทำให้ทหารภายใต้คำสั่งของเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้อานั่วซือไม่ชื่นชอบในเงินทอง ทุกครั้งที่ได้รับปูนบำเหน็จก็จะนำไปแจกจ่ายให้กับเหล่าพลทหารโดยไม่หวงแหน ไม่กระหายสร้างผลงาน ทั้งยังยกย่องในความสำเร็จของผู้อื่นด้วยความซื่อตรง
เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาของเขาล้วนซาบซึ้งและยอมรับในตัวแม่ทัพผู้นี้อย่างแท้จริง
อานั่วซือเป็นที่เฉิดฉายในกองทัพโดยมิได้ตั้งใจ เว้นเสียแต่ความตรงไปตรงมาและท่าทางที่ดูไม่ค่อยฉลาดนัก จึงมักเผลอไปล่วงเกินขุนนางระดับสูงอยู่บ่อย ๆ
แต่ใครใช้ให้อานั่วซือเป็นที่โปรดปรานกันเล่า
อีกทั้งอานั่วซือก็มิได้มีนิสัยชอบหาเรื่องใส่ตัว แต่ก็ไม่เกรงกลัวหากว่าเจอปัญหา ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนอื่นที่ชอบยั่วโมโหเขาด้วยเหตุผลหลายประการ ทว่าก็ถูกจัดการจนคุกเข่าเรียกชื่อพ่อแทบไม่ทัน
บุคลิกที่ตรงไปตรงมาประกอบกับความสามารถที่เก่งกาจ ทำให้หนานกงสือเยวียนโปรดปรานเขามากทีเดียว
เขายังเคยทอดถอนใจกับเสี่ยวเป่า หากว่ามิได้ถูกแยกออกจากกัน หากว่ามีใจทะเยอทะยานแม้เพียงนิด ไม่ว่าใครก็สามารถกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของโลกใบนี้ได้ทั้งนั้น
แต่หากว่ามีศัตรูเช่นนี้อยู่จริง หนานกงสือเยวียนก็มิเคยหวาดกลัว บางทีอาจถึงขั้นเห็นอกเห็นใจและมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่ตนเองอยากเอาชนะมากที่สุด
แต่กลับไม่คิดไม่ฝันว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตร ศัตรูกลับกลายเป็นมิตร
ต้าเซี่ยมีไพ่ระดับเทพหายาก ทว่าฝ่ายศัตรูนั้น…
ช่างเถอะ ใช่ว่าเป่ยเยว่จะไร้แม่ทัพผู้เลื่องชื่อ ทว่าต่อให้แม่ทัพผู้นั้นเก่งกาจเพียงไรก็มิอาจแสดงความสามารถภายใต้คำสั่งอันสิ้นหวังของกษัตริย์น้อยกับขุนนางคนสนิทได้ ท้ายที่สุดภายในเวลาเพียงไม่ถึงสองปี เป่ยเยว่ก็ล่มสลายและกลับคืนสู่ต้าเซี่ยโดยสมบูรณ์
ทว่าพวกเขาโชคไม่ดีนักที่ภัยแล้งและอุทกภัยมาเยือนในปีแรกหลังจากที่เป่ยเยว่พ่ายแพ้
หนานกงสือเยวียนจึงรีบจัดส่งเสบียงไปอย่างเร่งด่วน
เยว่หลี “เสบียงที่ส่งออกจากเมืองหลวงไปยังพื้นที่ประสบภัยล่าช้าเกินไป อาจมีการสูญเสียเพิ่มขึ้นในระหว่างนี้ เป็นการดีกว่าหากเรียกรวมเสบียงจากอำเภอใกล้เคียงไปบรรเทาทุกข์ให้กับผู้ประสบภัยก่อน และจะได้มีเวลาเตรียมเสบียงที่ส่งจากเมืองหลวงให้มากขึ้น”
ตอนนี้ทุกพื้นที่ไม่ขาดแคลนเสบียงอาหาร ไม่กี่ปีก่อนองค์รัชทายาทยังสั่งให้ทุกแห่งจัดเตรียมยุ้งฉางเอาไว้จัดเก็บเมล็ดข้าวและธัญพืชต่าง ๆ
ที่ใดมีไม่พอก็ให้ขอยืมจากอำเภอใกล้เคียง ทำเช่นนี้จะช่วยร่นระยะทางและรักษาชีวิตของผู้คนได้มากยิ่งขึ้น
ข้อเสนอแนะนี้เป็นที่ยอมรับในเวลาอันรวดเร็ว ทว่าก็จำต้องส่งคนไปควบคุมดูแล เพราะกังวลว่าจะมีคนละโมบคิดฉวยโอกาสทำเงินจากเสบียงที่เก็บในยุ้งฉาง
[1] ซวงผีหน่าย คือ พุดดิงนม
………………………………………