ตอนที่ 922: ที่แท้ก็เป็นเจ้า ซูเสวียนจวิน!
ตอนที่ 922: ที่แท้ก็เป็นเจ้า ซูเสวียนจวิน!
สวบ!
พอปีศาจเฒ่าคิ้วขาวขยับตัวก็กลายร่างเป็นสัตว์ตัวมหึมาที่มีความยาวหลายร้อยจั้ง มันมีหัวคล้ายสิงโต ดวงตาสีเขียว หนวดสีทอง สี่เท้าราวกับเสาต้นใหญ่ ลำตัวยาวเล็กคล้ายกับมังกร มีเกล็ดสีขาวประดุจหิมะสีใสปกคลุมรอบตัว
สัตว์สุญญะสว่างว่าง!
นี่คือร่างเดิมของปีศาจเฒ่าคิ้วขาว สิ่งมีชีวิตโบราณที่สามารถควบคุมกฎแห่งมิติได้โดยกำเนิด
“ใต้เท้าได้โปรดขึ้นมา ให้ผู้น้อยเป็นพาหนะของใต้เท้า”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวกล่าวด้วยความยินดี
ซูอี้ไหนเลยจะเกรงใจ เขาก้าวเท้าเดินขึ้นไปบนหลังของสัตว์สุญญะสว่างว่างซึ่งกลายร่างมาจากปีศาจเฒ่าคิ้วขาว
“ใต้เท้านั่งให้ดีนะขอรับ”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวพูดจบก็ก้าวเดินไปข้างหน้า
พรึ่บ!
อากาศด้านหน้าเกิดคลื่นลูกใหญ่ราวกับคลื่นน้ำ
สัตว์สุญญะสว่างว่างที่เป็นพาหนะให้ซูอี้ก็หายลับไป
ภาพประหลาดเช่นนี้ ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นแล้วถึงกับตื่นตระหนกไม่หาย
“ที่เมืองมรณะแห่งนี้ ตาเฒ่าคิ้วขาวไม่เคยกลัวใคร เขากล้าร้องท้าทายต่อหน้าใครต่อใคร แต่ใครจะคาดคิดว่าเวลาอยู่ต่อหน้าใต้เท้าซูอี้ มันกลับยอมทำตัวเป็นพาหนะให้นั่ง!”
ชิงเถิงรำพึง
พรสวรรค์ของปีศาจเฒ่าคิ้วขาวยิ่งใหญ่เหลือเกิน เขาอาจจะไม่ใช่คนที่แกร่งที่สุด แต่หากอยากจะหลบหนี ใครก็ขวางไม่อยู่
“สหายเต๋าท่านนี้ ใต้เท้าซูที่พวกเจ้าเอ่ยถึง ที่แท้เป็นใครกัน?”
ตัวตนจักรพรรดิจากวังธารเหลืองทนไม่ไหวถามขึ้นมา
หยวนหลินหนิงก็เงี่ยหูฟังเช่นกัน
ก่อนหน้านี้นางเคยถามชิงมู่มาแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมบอกอะไรมากนัก
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้ ก็แสดงว่าใต้เท้าซูไม่อยากจะให้พวกเจ้ารู้ ดังนั้นข้าก็จะไม่พูดดีกว่า”
ชิงเถิงส่ายหน้า
คนอื่น ๆ “…”
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้คนอื่น ๆ อยากรู้ภูมิหลังของซูอี้มากยิ่งกว่าเดิม
ต้องมีภูมิหลังที่พิสดารแบบไหนกันจึงทำให้ตัวตนน่ากลัวเหล่านั้นยกย่องเทิดทูนราวกับเทพบนสวรรค์ ยอมเป็นทาสรับใช้ได้ถึงเพียงนี้?
สายตาของทุกคนมองไปที่สนามต่อสู้ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกครั้ง
เมื่อโยวเสวี่ย จักรพรรดิกระดูกขาว ท่านเทพดาราคล้อยกลับมาและเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยแล้ว สถานการณ์ของสามทูตรับใช้กาฬราตรีก็ยิ่งลำบากมากขึ้น
ไม่ว่าใครต่างก็เข้าใจดี ว่าบ่าวผู้รับใช้สามคนที่เคยติดตามอยู่ข้างกายยมบาลไม่มีทางรอดตายอย่างแน่นอน
หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่า ศึกใหญ่ครั้งนี้วัดเสวียนหมิงพ่ายแพ้แล้ว!
บนผืนแผ่นดินอันรกร้างสงบเงียบแห่งนั้น
ศิลาหลุมศพตั้งตระหง่านราวกับไม่มีวันล้ม
ห่างออกไปเจ็ดจั้ง
ผู้ชายชุดดำขมวดคิ้ว เขามองออกไปในระยะไกล พลางเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “อีกาน้อย เกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าถึงกับต้องขยี้ยันต์ลึกลับที่ข้ามอบให้เจ้า?”
อีกาเก้ามืดมิดยืนอยู่กลางอากาศ ดวงตาสีแดงชาดของมันมีแต่ความสับสน
มันเงียบไปนานมาก กว่าจะเอ่ยขึ้นมา “เรียนใต้เท้าผู้ลงทัณฑ์ แผนของพวกเราในคืนนี้ไม่เป็นผล”
ผู้ชายชุดดำกล่าวด้วยความฉงน “เล่ามาให้ละเอียด”
อีกาเก้ามืดมิดสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นจึงเล่าเหตุการณ์การต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นออกมาจนหมดเปลือก
ได้ฟังแล้วผู้ชายชุดดำถึงกับตกตะลึง “ชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณ แต่กลับทำให้ตัวตนที่น่ากลัวอย่างจักรพรรดิกระดูกขาวยอมก้มหัวให้ และทำตามคำสั่งเช่นนั้นหรือ?”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เขาก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน
“ไม่ผิดขอรับ คนผู้นี้มาจากตระกูลชุยเผ่าโบราณ ตอนที่อยู่ในเมืองตาข่ายม่วง ก็เป็นเขาผู้นี้เช่นกันที่ยืมพลังระดับวิถีของซูเสวียนจวินเมื่อชาติที่แล้ว ทำลายแผนของพวกเรา”
พูดขึ้นมาแล้วอีกาเก้ามืดมิดก็เจ็บใจจนกัดฟันกรอด ๆ
“มาจากตระกูลชุย?”
ใบหน้าเรียวของผู้ชายชุดดำดูสับสนขึ้นมา
นิ่งไปนาน เขาก็ส่ายหน้าพลางกล่าว “คนของตระกูลชุยไม่ได้มีความสามารถมากมายถึงเพียงนี้ และเป็นไปไม่ได้ด้วยที่จะทำได้ถึงขั้นนี้”
อีกาเก้ามืดมิดกล่าวด้วยความฉงน “ใต้เท้ากำลังสงสัยว่าเขาไม่ใช่คนของตระกูลชุยหรือขอรับ?”
ผู้ชายชุดดำพยักหน้า จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้าเคยสืบเรื่องราวในอดีตของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินมาก่อน คนผู้นี้เคยเป็นใหญ่ในเก้ามหาแดนดิน ปกครองทั่วทั้งแดนดิน กล่าวได้ว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในขอบเขตจักรพรรดิ”
“พลังระดับวิถีที่คนระดับนี้เก็บรักษาไว้ ไม่ใช่สิ่งที่ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณจะสามารถนำไปใช้ได้”
“แต่จากที่เจ้ากล่าวมา ชายหนุ่มคนนั้นมีระดับการฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณไม่ผิดแน่ เช่นนี้ก็หมายความว่า…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของผู้ชายชุดดำก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยราวกับเดาอะไรบางอย่างออก “อีกาน้อย เล่ากันว่าที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินบุกมายังภูมิมืดมิดในครั้งนั้นก็เพื่อจะค้นหาความลับแห่งวัฏสงสาร ใช่หรือไม่? ”
ผู้ชายคนนั้นเบนสายตามองไปยังศิลาหลุมศพที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดจั้งด้วยสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย “ตอนนั้น เขาก็เคยบุกเข้าไปในเมืองมรณะแห่งนี้ด้วย ใช่หรือไม่?”
อีกาเก้ามืดมิดตอบโดยไม่ต้องคิด “ไม่ผิดขอรับ นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามหมื่นหกพันปีก่อนแล้ว ตอนนั้นข้ายังหลับใหลอยู่ในเทือกเขาสวรรค์พิบัติร้าย ยังไม่ได้ตื่นขึ้นอย่างแท้จริง และต่อมาจึงได้รู้ว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเคยมาที่เมืองมรณะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็กล่าวด้วยความสงสัย “ใต้เท้าผู้ลงทัณฑ์ เหตุใดจู่ ๆ ท่านจึงถามถึงเรื่องของซูเสวียนจวินขึ้นมาเล่าขอรับ?”
แววตาของผู้ชายชุดดำเกิดประกายเร่าร้อน
เขาไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของอีกาเก้ามืดมิด แต่จับจ้องไปยังศิลาหลุมศพที่ห่างออกไปเจ็ดจั้ง พลางพึมพำขึ้นมา “หากว่าเป็นเช่นนี้ ซูเสวียนจวินเมื่อครั้งนั้น จะต้องเคยมาที่นี่อย่างแน่นอน บางที เขาอาจจะรู้ความลับที่เกี่ยวข้องกับวัฏสงสารในศิลาหลุมศพนี้แล้ว!”
วัฏสงสาร!
อีกาเก้ามืดมิดตัวแข็งทื่อในทันใด หรือว่า ในสายตาของผู้ลงทัณฑ์ ซูเสวียนจวินเมื่อห้าร้อยปีก่อนยังไม่ตาย แต่กลับสู่วัฏสงสารแล้ว?
และในขณะนี้เอง ผู้ชายชุดดำก็หัวเราะขึ้นมา สายตาส่องสว่างประดุจแสงไฟ “ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกสงสัยนัก เพียงแค่ชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณ เหตุใดจึงสามารถใช้พลังระดับวิถีที่ซูเสวียนจวินเก็บรักษาไว้เมื่อชาติที่แล้วได้ ตอนนี้ ข้าเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็ส่งเสียงร้องอุทานด้วยความตระหนกขึ้นมา “ที่แท้ ในภูมิมืดมิดแห่งนี้ ความลับแห่งวัฏสงสารตามที่เล่าขานกันในตำนานก็มีอยู่จริง…”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา อีกาเก้ามืดมิดราวกับถูกฟ้าผ่า มันกล่าวด้วยความตื่นตะลึงตาค้าง “ใต้เท้าผู้ลงทัณฑ์หมายความว่า ไอ้หนูตัวน้อยของตระกูลชุยคนนั้น ที่แท้แล้วก็คือซูเสวียนจวินกลับชาติมาเกิดหรือ!?”
“หากไม่ใช่เช่นนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะสามารถใช้พลังวิถีที่ซูเสวียนจวินเก็บรักษาไว้เมื่อชาติก่อนได้? และยังสามารถออกคำสั่งให้ตัวตนที่น่ากลัวเหล่านั้นออกมาต่อสู้ได้อย่างไรกันเล่า?”
ผู้ชายชุดดำเอ่ยขึ้นมาเนิบ ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับพบความลับที่ยิ่งใหญ่ ดูท่าทางตื่นเต้นดีใจเอามาก
“เช่นนี้…”
อีกาเก้ามืดมิดรู้สึกปั่นป่วนในหัวใจ ไม่อาจสงบใจไว้ได้อีก
ฉับพลันมันก็นึกถึงเรื่องราวอีกมากมาย
เล่ากันว่า ชุยหลงเซี่ยง ผู้เป็นบรรพชนของตระกูลชุยเคยเป็นสหายเก่าของซูเสวียนจวิน
เย่อวี๋ จักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์แห่งเผ่าปีศาจงู ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซูเสวียนจวินที่ไม่อาจบอกใครได้
เช่นเดียวกัน โลกหล้ายังเคยเล่ากันว่าตอนที่ซูเสวียนจวินบุกเมืองมรณะในครั้งนั้น เขาเคยสยบและเอาชนะศัตรูที่มีความร้ายกาจตนแล้วตนเล่า!
และตอนนี้ ชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณเคยใช้พลังวิถีที่ซูเสวียนจวินเก็บรักษาไว้เมื่อชาติที่แล้วในถิ่นของตระกูลชุย และตอนนี้ข้างกายยังมีจิตวิญญาณวัตถุอย่าง ‘โคมสงบวิญญาณเทียนหยา’ ซึ่งเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าปีศาจงูคอยติดตามอีก แม้กระทั่งผู้เป็นใหญ่ในสถานที่ต้องห้ามอย่างจักรพรรดิกระดูกขาวก็ยังอยู่ในบังคับบัญชาของเขาทั้งหมด!
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับซูเสวียนจวินทั้งสิ้น!
เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว อีกาเก้ามืดมิดก็ถึงกับหนังหัวชา มันสั่นไปทั้งตัวและหัวใจ ก่อนจะพูดพึมพำขึ้นมา “มิน่าเล่า เจ้าหนุ่มคนนั้นจึงได้อหังการเช่นนี้ ทั้งยังสามารถทำลายแผนการของข้าได้ตลอด หากว่าเขาเป็นตัวประหลาดซูผู้สยบแดนดินด้วยดาบคนนั้น ทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป…”
ชั่วขณะนี้ จิตใจของอีกาเก้ามืดมิดกระเจิดกระเจิง
“อีกาน้อย เพิ่งมาเข้าใจเอาตอนนี้ ไม่รู้สึกว่าสายไปหน่อยหรือ?”
ทันใด เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาแต่ไกล
พร้อมกับเสียง ซูอี้ขี่สัตว์สุญญะสว่างว่างปรากฏตัวขึ้นบนอากาศที่ห่างไกลออกไป
หน้าของอีกาเก้ามืดมิดเปลี่ยนสีในทันที
ดวงตาสีแดงชาดของมันจับจ้องไปที่ซูอี้ไม่คลาดสายตา และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สับสน “เจ้า…คือซูเสวียนจวินจริง ๆ หรือ?”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวที่กลายเป็นสัตว์สุญญะสว่างว่างอดหัวเราะใส่ไม่ได้ ก่อนจะกล่าว “มีตาหามีแววไม่ แม้กระทั่งใต้เท้าซูก็ยังดูไม่ออก เสียแรงที่เจ้ายังตั้งตัวเป็นทูตศักดิ์สิทธิ์ของยมบาล ข้าว่า เจ้ายังสู้หมูโง่ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เมื่อถูกด่ากระทบกระเทียบเช่นนี้ สีหน้าของอีกาเก้ามืดมิดก็บูดเบี้ยวขึ้นมาในทันใด
เมื่อก่อนหน้านี้ มันไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เปรียบดุจแสงตะวันส่องโลกหล้าเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวคนนั้น
“เจ้าจงอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน ไม่เช่นนั้น จะถูกฆ่าด้วยพลังกฎเกณฑ์ของศิลาหลุมศพแห่งนั้น”
ร่างของซูอี้ร่อนลงมาจากหลังของสัตว์สุญญะสว่างว่าง
“น้อมทำตามคำบัญชาของใต้เท้า!”
อสูรเฒ่าคิ้วขาวตอบด้วยความนอบน้อม
เรื่องราวเช่นนี้ทำให้ความรู้สึกไม่เชื่อภายในใจอีกาเก้ามืดมิดหายลับไป ในที่สุดก็เชื่อได้แล้วว่าชายหนุ่มชุดเขียวคนนี้ก็คือซูเสวียนจวิน
เป็นเพราะในช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไป มีแต่เพียงซูเสวียนจวินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เคยเอาชนะปีศาจเฒ่าคิ้วขาวได้ ทั้งยังจัดการปีศาจตนนี้เสียจนน่วม
ท่าทีของปีศาจเฒ่าคิ้วขาวในเวลานี้ สามารถเป็นเครื่องพิสูจน์ได้!
แต่ทว่าทันใดนั้นเอง อีกาเก้ามืดมิดก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา ก่อนจะกล่าว “ตัวประหลาดซู ความอาจหาญเกรียงไกรของเจ้าในครั้งนั้น ทั่วทั้งแดนดินไม่มีใครกล้าแสดงความโอหังต่อเจ้า แต่เจ้าในเวลานี้มีระดับการฝึกเพียงแค่ขอบเขตวงล้อวิญญาณเท่านั้น อย่างไรเสียก็ยังอ่อนเกินไป!!”
มันย้ำประโยคสุดท้ายด้วยท่าทีดูถูกดูแคลน
“กลับชาติมาเกิดแล้วอย่างไร? เจ้าในตอนนี้ อ่อนจนคล้ายกับมดตะนอยตัวหนึ่งเท่านั้น ได้แต่ให้คนอื่นมาช่วย อาศัยความสามารถในตัวเจ้า ข้าเพียงแค่กระดิกนิ้วก็สามารถบี้เจ้าให้ตายได้แล้ว!”
อีกาเก้ามืดมิดเงยหน้าหัวเราะ ราวกับกำลังระบายความโกรธแค้นภายในใจ ทั้งยังเต็มไปด้วยความโอหัง
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม “ระดับการฝึกตนของข้ายังอ่อนไปจริง ๆ แต่ในสถานที่ต้องห้ามแห่งนี้ จะจัดการกับอีกาตัวน้อยอย่างเจ้า เป็นเรื่องง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ อีกทั้งข้ายังรับรองได้ว่า ครั้งนี้ต่อให้เจ้าใช้วงล้อแห่งชะตาก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้”
คำพูดสบาย ๆ ประโยคเดียวทำให้เสียงหัวเราะของอีกาเก้ามืดมิดหยุดกึก
ซูอี้สงบนิ่งมาก แม้ว่าข้างกายจะมีเพียงแค่ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวเพียงตนเดียว แต่ท่าทีไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนั้นยังคงทำให้มันรู้สึกขนหัวลุก
ความเป็นจริงแล้ว นับตั้งแต่ที่อีกาเก้ามืดมิดมั่นใจในฐานะของซูอี้แล้ว มันก็ไม่กล้ามองชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณคนนี้เป็นคนธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว
คำพูดสบประมาทดูแคลนเมื่อครู่เป็นเพียงการระบายโทสะในใจของตัวเองออกมาเท่านั้น
“อีกาน้อย ให้ข้าได้เจรจากับสหายเต๋าซูสักหน่อย”
เขาหมุนตัวกลับมา ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเกิดประกายระลอกคลื่นขณะมองไปที่ซูอี้ที่อยู่ไกล ๆ
“เจรจากับใต้เท้าซู เจ้าคู่ควรด้วยเช่นนั้นหรือ?”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวสบถออกมา
อีกาเก้ามืดมิดโกรธจนหัวเราะ จากนั้นมันก็กล่าว “ตาเฒ่าคิ้วขาว เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดกับใครอยู่? ข้าสามารถบอกเจ้าได้เช่นกันว่า ท่านนี้คือสหายเก่าของ ‘ยมบาล’ นายของข้า ใต้เท้าผู้ลงทัณฑ์! ผู้มากความสามารถจากจักรวาลพร่างดาว! หากเขาต้องการจะฆ่าตัวตนเช่นเจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากเชือดไก่ให้ลิงดู!”
สัตว์สุญญะสว่างว่างนิ่งตะลึง จักรวาลพร่างดาว? สหายเก่าของยมบาล? ที่แท้แล้วเป็นใครกัน?
ซูอี้อดเลิกคิ้วขึ้นมาน้อย ๆ ไม่ได้เช่นกัน ความฉงนผุดขึ้นในแววตา
ความเป็นจริงแล้ว นับตั้งแต่มาถึงพื้นที่แถบนี้ แวบแรกที่เห็นผู้ชายชุดดำคนนั้น ความรู้สึกคุ้นเคยก็หวนกลับมาหาซูอี้อีกครั้ง
จนกระทั่งเวลานี้เขาจึงมั่นใจได้แล้วว่า ในตัวของผู้ชายคนนั้นปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายพลังที่เหมือนกับพัศดีพวกนั้น!
นั่นคือพลังของการจองจำแห่งยุคมืด!