เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 509 หวนคืนสู่เมืองหลวง

บทที่ 509 หวนคืนสู่เมืองหลวง

บทที่ 509 หวนคืนสู่เมืองหลวง

บทที่ 509 หวนคืนสู่เมืองหลวง

พวกเขาอยู่ที่เมืองหน้าด่านเพียงไม่นาน เนื่องจากสถานการณ์เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว หนานกงสือเยวียนมอบหมายให้คนของตระกูลเซี่ยบางส่วนอยู่รักษาความสงบเรียบร้อยที่ชายแดนต่อไป จากนั้นก็นำทัพกลับเมืองหลวง

การเดินทางคราวนี้มีหนานกงฉีโม่ แม่ทัพเซี่ย และเซี่ยสุ่ยอันเดินทางกลับไปด้วย

พวกเขาไม่ได้กลับเมืองหลวงนานแล้ว คราวนี้หนานกงสือเยวียนจึงตั้งใจพากลับไปปูนบำเหน็จ

ถนนดินปูนจากเมืองหลวงต้าเซี่ยทอดยาวไปถึงเมืองหน้าด่านแล้ว ทำให้การนั่งในรถม้าไม่โคลงเคลงชวนเวียนหัวอีกต่อไป สบายกว่าขามาหลายเท่า

แต่การนั่งในรถม้านาน ๆ ก็ยังทำให้รู้สึกอึดอัดอยู่ดี เสี่ยวเป่าจึงเปลี่ยนมาขี่ม้าบ้างเป็นครั้งคราว

ตอนนี้เสี่ยวเป่าอายุสิบเอ็ดปีแล้ว ขาจึงยาวพอที่จะเหยียบถึงโกลนม้า

แต่เป็นโกลนสำหรับม้าตัวเล็ก

ท่านพ่อของนางสรรหาม้าสีแดงตัวเล็กสวยงามมาให้นางโดยเฉพาะ และไม่ว่าม้าตัวนั้นจะเชื่องหรือไม่ก็ตาม เพียงอยู่ต่อหน้านาง ม้าพยศก็สามารถเชื่องได้

เสี่ยวเป่าชอบมันมาก แต่ไม่ค่อยได้ขี่ ได้แต่แวะเวียนเอาผลไม้อย่างเช่นผิงกั่ว เฉ่าเหมย และผลไม้อื่น ๆ ไปให้มันเป็นครั้งคราว

แน่นอนว่าอาหารหลักของมันก็คือหญ้า ในหนึ่งวันมันกินหญ้าไปไม่น้อย ตั้งแต่มาอยู่กับเสี่ยวเป่า น้ำหนักจึงเพิ่มขึ้นมาก

แต่ยังคงเป็นม้าตัวน้อยที่แข็งแกร่งเหมือนเดิม

นางไม่สามารถขี่มันเคียงข้างท่านพ่อและคนอื่น ๆ ได้ เพราะหากเทียบความสูงของมันกับม้าของพวกเขา ลูกม้าของนางทั้งตัวเล็กและเตี้ยกว่ามาก

แต่เพราะมีมัน นางจึงไม่ต้องทนนั่งเบื่อ ๆ ในรถม้าเพียงอย่างเดียว หากนางขี่ม้าจนเหนื่อย นางก็เปลี่ยนไปนั่งในรถม้า บางครั้งก็ลงไปเดินกับคนอื่น ๆ

การเดินทางกลับไม่ได้เร่งรีบนัก แต่เนื่องจากถนนหนทางดีขึ้นกว่าแต่ก่อน พวกเขาจึงมาถึงประตูเมืองหลวงในอีกยี่สิบวันต่อมา

พอองค์รัชทายาททราบข่าวก็รีบพาน้องชายที่เหลือมารอหน้าประตูเมือง

เสี่ยวเป่าตาเป็นประกายเมื่อเห็นเหล่าพี่ชายหน้าตาหล่อเหลาขึ้น แต่ดวงตาที่นางใช้มองก็จะแดง ๆ หน่อย

เพราะนางคิดถึงพวกพี่ชายมาก

“ถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ขอแสดงความยินดีที่เสด็จพ่อมีชัยกลับมา”

“ถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ขอแสดงความยินดีที่ฝ่าบาทมีชัยกลับมา!”

ทั้งองค์รัชทายาท เหล่าองค์ชาย ขุนนาง และราษฎรทุกคนต่างก็คุกเข่าลง

หนานกงสือเยวียนบนหลังม้ายืดอกผ่าเผย ทอดสายตามองพวกเขา “ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด”

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

หลังจากนั้นองค์รัชทายาทและองค์ชายทั้งหลายก็ขี่ม้าตามหลังหนานกงสือเยวียนมุ่งหน้าสู่พระราชวัง

องค์รัชทายาทและฮ่องเต้นั้นขี่ม้าเคียงข้างกันไป เพราะหนานกงสือเยวียนมีเรื่องมากมายอยากไถ่ถามบุตรชายคนโตของตน

สองพ่อลูกคุยกันอยู่ข้างหน้า ในขณะที่เหล่าพี่ชายที่เหลือวุ่นวายอยู่กับการผลักไสเยว่หลีและอานั่วซือให้ออกห่างเสี่ยวเป่า

“เสี่ยวเป่า ในที่สุดเจ้าก็กลับมา พี่หกคิดถึงเจ้ายิ่งนัก”

องค์ชายแปดขยับเข้าไปหาเสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่า ๆ มองข้าสิ เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่”

องค์ชายเจ็ด หนานกงฉีรุ่ยได้ยินน้องชายเอ่ยถามเช่นนั้น มุมปากก็พลันยกขึ้น

“น้องหญิง”

เสี่ยวเป่าจากเมืองหลวงไปนานเกือบหกปี พี่ชายทั้งสามเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มรูปงาม

เสด็จพี่รัชทายาทอภิเษกสมรสไปแล้ว ตั้งแต่ตอนอายุครบยี่สิบสอง!

น่าเสียดายที่เสี่ยวเป่าไม่สามารถเข้าร่วมได้ ทำได้เพียงส่งของขวัญมาแสดงความยินดีเท่านั้น

“พี่หก พี่เจ็ด พี่แปด~”

เสี่ยวเป่าสูดน้ำมูกที่กำลังจะย้อยออกทางจมูก ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาใกล้จะไหลอยู่รอมร่อ นางจะจำไม่ได้ได้อย่างไร ต่อให้ไม่ได้เจอกันถึงหกปี ใบหน้าของพวกเขาก็ยังเหมือนเดิม เพียงดูโตขึ้นเท่านั้น

“เสี่ยวเป่าก็คิดถึงพวกท่าน”

“พวกเราก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน”

เด็กหนุ่มทั้งสามลูบหัวเด็กน้อยแผ่วเบา “เจ้าเก่งจริง ๆ ตามท่านพ่อไปไกลขนาดนั้น ไปตั้งนาน ไม่กลับมาหากันบ้างเลย”

เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นพร้อมฉีกยิ้มกว้างให้พี่ชายทั้งสาม บัดนี้ใบหน้านวลอาบไปด้วยน้ำตา

“กลับมาเองคนเดียว ฮึก… ท่านพ่อไม่สบายใจ ฮึก… กลัวว่าข้าจะเป็นอันตรายระหว่างทาง ฮึก…”

พี่ชายทั้งสามหัวเราะเสียงดังพลางเช็ดน้ำตาให้นาง แล้วพยายามชวนคุยเรื่องตลก พยายามทุกวิถีทางให้นางหัวเราะ

เสี่ยวเป่าร้องไห้เพราะมีความสุข แต่ไม่นานก็กลับมาทำให้พี่ชายขบขันได้เช่นเคย

พวกเขายังคงรักน้องสาวคนเดียวของพวกเขามากไม่มีเปลี่ยน ต่อให้ห่างหายกันไปหลายปี ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่มีคำว่าห่างเหิน

เสี่ยวเป่ายิ้มและพูดคุยกับพวกเขาได้สนิทสนมเหมือนเคย

ส่วนอานั่วซือที่ถูกผลักออกไปข้างหลัง “…พวกเขาผลักข้าทำไมกัน!”

เยว่หลีกระตุกยิ้มชั่วร้าย “เจ้าก็ลองไปถามพวกเขาดูสิ”

ไปก็ไปสิ อานั่วซือพุ่งตัวเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว

องค์ชายทั้งหลายเอ่ยถามโดยที่ไม่คิดจะหันมามอง “เจ้าเป็นใคร”

อานั่วซือ “พวกเจ้าผลักข้าทำไม ข้าอยากอยู่ข้างหน้า”

องค์ชายหก หนานกงฉีเฉินมองนิ่ง “เจ้าจะอยากอยู่ข้างหน้าไปทำไม พวกข้ากับน้องสาวมีเรื่องจะคุยกัน แล้วมันเกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย”

แต่เดี๋ยวนะ “เจ้า… เยว่หลี?!”

แต่เยว่หลีไม่ได้ผิวสีนี้!

องค์ชายแปด หนานกงฉีจวินมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็หัวเราะเสียงดังลั่น

“เยว่หลี เจ้าไปแค่ไม่กี่ปีผิวเปลี่ยนสีขนาดนี้เชียวหรือ แต่ร่างกายเจ้าดูแข็งแกร่งขึ้นนะ”

เยว่หลีค่อย ๆ ก้าวมาข้างหน้า “พวกเจ้าจำคนผิดแล้ว”

“เยว่หลี!!!”

เมื่อเห็นเยว่หลีเดินขึ้นมา คนทั้งสามถึงกับตกใจร้องเสียงหลง

“แล้วเขา พวกเจ้าสองคน…”

เยว่หลี “ข้ากับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกัน”

อานั่วซือ “ข้ากับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกัน!”

พวกเขาทั้งสองพูดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

แต่คนทั้งหลายก็ยังสงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขาอยู่ดี บอกว่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกัน โกหกชัด ๆ หากไม่นับสีผิวและรูปร่างที่ต่างกันแล้ว คนไม่เกี่ยวข้องกันจะหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ได้อย่างไร

แต่ถ้าจะให้ถามเซ้าซี้ตอนนี้ก็คงไม่เหมาะ

เมื่อมาถึงวัง เสี่ยวเป่าก็รีบสับเท้าวิ่งกลับตำหนักของตนทันที

“องค์หญิง!”

ในตำหนักของเสี่ยวเป่า ผู้คนยังคุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนเคย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาเฝ้ารอคอยการกลับมาของนางอยู่เสมอ

พอเห็นเสี่ยวเป่ากลับมา คนทั้งหลายก็พลันน้ำตาไหล

“องค์หญิง ท่านกลับมาแล้ว พวกบ่าวคิดถึงองค์หญิงมากเลยเพคะ”

เสี่ยวเป่ายิ้ม “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”

ชุนสี่ให้รางวัลพวกเขาด้วยเมล็ดแตงโมทองคำและอัญมณีที่นำมาจากเผ่าทุ่งหญ้า

บ่าวรับใช้ทุกคนต่างซาบซึ้งและสำนึกในบุญคุณ องค์หญิงทรงนึกถึงพวกเขาอยู่เสมอ ดูจากปริมาณก็ชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้ถูกเตรียมไว้เพื่อมอบให้พวกเขาโดยเฉพาะ

พวกเขาดูแลสวนเป็นอย่างดี ทันทีที่เสี่ยวเป่าเข้ามา เจ้าตัวเล็กสีแดง ๆ ก็รีบวิ่งเข้าหาอ้อมแขนนาง

พอเสี่ยวเป่าก้มมองมัน ก็พบว่าเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยน้ำตาคลอเบ้า

หลายปีผ่านไป หงหงโตขึ้นเยอะ นอกจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นแล้ว ร่างกายของมันไม่ได้โตขึ้นเลย

“งี้ด…”

จิ้งจอกเพลิงตัวน้อยซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนเสี่ยวเป่าอย่างโหยหา ท่าทางน้ำตาไหลสอดคล้องกับเสียงร้องของมันราวกับว่ามันกำลังร้องไห้

สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยก็ร้องไห้เป็นเหมือนกันแฮะ

“หงหงเด็กดี ข้าขอโทษที่กลับมาเอาป่านนี้”

นอกจากหงหงแล้ว ก็ยังมีตัวต่อที่บินออกจากรังมาหานาง ภาพที่พวกมันขนกันมาทั้งรังดูค่อนข้างน่ากลัวอยู่ไม่น้อย

รวมถึงกวางเหมยฮวาขาวที่กำลังเดินเข้ามาหาเสี่ยวเป่า ทุกย่างก้าวของมันดูสง่างาม

“แล้วถวนจื่อเล่า”

ขันทีผู้หนึ่งเอ่ยตอบ “ถวนจื่อตัวโตมากพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทจึงให้คนปลูกป่าไผ่และป่าผิงกั่วให้มันอยู่อาศัย และยัง… หาสามีให้มันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวเป่าเข้าใจ ถวนจื่อโตแล้ว ซ้ำยังมีสามีแล้วด้วย!

วันหลังค่อยไปหาก็แล้วกัน

เมื่อได้กลับมาอยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคย เสี่ยวเป่าก็เดินสำรวจรอบ ๆ จนพอใจ ก่อนจะกลับเข้าไปนอนหลับพักผ่อน

ทันทีที่กลับมาถึง หนานกงสือเยวียนก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการ เสี่ยวเป่าจึงไปหาท่านอาจารย์เพื่อเริ่มเตรียมยาให้เขา

ด้านอานั่วซือและเยว่หลี นางก็ได้ข่าวพวกเขาเป็นครั้งคราว

เยว่หลียามนี้เป็นขุนนางในราชสำนักต้าเซี่ย จึงยุ่งเกินจนไม่มีเวลาไปทะเลาะกับอานั่วซือ

ส่วนอานั่วซือ… เขายุ่งอยู่กับการตามหาของกินและก่อปัญหามากมาย

อย่างเช่นต่อยตีกับคนในเมืองหลวง

จนผู้ใหญ่ฝ่ายนั้นจะเอาเรื่องเขา แต่โชคดีที่องค์รัชทายาทช่วยไว้ได้ทัน

เสี่ยวเป่าขอให้พวกพี่ชายคอยดูแลเขาแทนนาง แต่ผู้ชายคนนั้นไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ในเมืองหลวงเลยสักนิด ทั้งยังคงดื้อรั้นไม่เปลี่ยน เกิดเรื่องทีไร เขาก็มักจะใช้กำลังและหมัดแก้ปัญหาทุกที

นางกลัวว่าสักวันอานั่วซือจะสร้างปัญหาใหญ่

ปรากฏว่านางคิดถูก

เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็ทำให้ใครหลายคนขุ่นเคือง

แต่เพราะมีองค์รัชทายาทและองค์ชายออกหน้าให้ อีกทั้งฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายผิดก่อน ผู้ใหญ่ฝ่ายนั้นจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอันใด คนพวกนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฟ้องฝ่าบาท

วิธีจัดการของหนานกงสือเยวียนก็คือเรียกสองฝ่ายมาถามเหตุและผล สุดท้ายก็ต้องถูกลงโทษทั้งสองฝ่าย

แม้ว่าอานั่วซือจะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องยอมให้หนานกงสือเยวียนลงโทษ โบยก็โบยสิ ผู้ใดกลัวกัน

ท่อนไม้พวกนั้นไม่ได้ระคายเคืองผิวหนังแต่อย่างใด แต่คนพวกนั้นถึงกับร้องไห้หาบิดามารดา

หากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง คนเหล่านั้นคงคิดว่าฝ่าบาทกำลังยั้งมือ แกล้งโบยคนของตัวเองแล้ว

แต่… ร่างกายของอานั่วซือแข็งแกร่งมากจริง ๆ

เหล่าองค์ชายพยายามสอนอานั่วซือ “อย่าเอาแต่ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา หากเกิดปัญหาก็ให้มาหาพวกเรา หากพวกเราออกหน้าให้เรื่องมันจะคลี่คลายได้ง่ายกว่า”

อานั่วซือ “ยุ่งยาก!”

เยว่หลีเยาะเย้ย “เจ้าคนไร้สมอง!”

อานั่วซือปรายตามองอีกฝ่าย “เช่นนั้นก็คืนสมองของข้ามา”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะทะเลาะกันอีกครั้ง เหล่าคนที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าสถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างไรก็พลันรู้สึกหนักใจ

น้องสาวภูตพฤกษาตัวน้อยของพวกเขา พาแค่ตัวเองกลับมาไม่ได้หรือ ไยถึงต้องพาตัวปัญหากลับมาด้วย!

………………………………………

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Score 10
Status: Completed
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว! นิยายแปลเรื่อง เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช ผู้แต่ง :垂耳兔 หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้ เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน! เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

Options

not work with dark mode
Reset