บทที่142 เกิดการปะทะกันที่ห้องครัวเจียหยวน
“นี่ๆๆ ฉันถามพวกนายสามคนอยู่นะ? พวกนายสามคนมาทำอะไรกัน? มากินข้าวที่นี่เหรอ? หึๆๆ แถมยังพาเด็กสาวสามคนมาด้วย!”
ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว หลินเจียวในตอนนี้เปลี่ยนไปมากเหลือเกินจริงๆ
ใส่เสื้อผ้ายี่ห้อดังทั้งตัวอย่างไม่ต้องบอก ตั้งแต่ถูกจ้าวชานรับเป็นน้องสาวบุญธรรม สถานะตำแหน่งดั่งน้ำขึ้นเรือย่อมสูงด้วย
ได้ยินสวีเสียบอกแบบนั้น สายตาหลินเจียวในตอนนี้ก็มีเพียงจ้าวยีฟานคนเดียวแล้ว
คนอื่นๆ หล่อนล้วนไม่สนใจ
มักคิดว่าตัวหล่อนเองกับคนอื่นๆ เดิมทีไม่ใช่คนโลกเดียวกัน
สรุปแล้วบ้าคลั่งเป็นพิเศษ ในสายตาไม่สนใครเป็นพิเศษ
ช่วยไม่ได้ คนอื่นเขามีพี่ชายแสนดี และคอยซื้อเสื้อผ้าซื้อกระเป๋าให้
หลี่ปินฟังคำถามของหลินเจียวอยู่
พลางดึงมุมเสื้ออย่างประหม่าอยู่บ้าง หลินเจียวคนนี้เมื่อก่อนยังเคยสัมผัสมาไม่น้อย หล่อนรู้จักตื้นลึกหนาบางของตัวเขาเป็นอย่างดี
ไอ้เวร อึดอัดจริงๆ เลย!
“พวกเรามากินข้าวกันเถอะ ไม่ต้องคุยกันแล้ว พวกเราขึ้นไปก่อนนะ”
เฉินเกอไม่อยากคุยต่อนาน โดยเฉพาะเฉินเกอมองดูแล้ว วันนี้คนที่มากินข้าวกับหลินเจียวนั้น ไม่ใช่ลูกน้องคนนั้นของจ้าวชานเหรอ ตอนนั้นที่มามหาวิทยาลัย ซูเจี๋ยคนนั้นที่ใช้รถหมุนตนเองไปกองที่พื้น?
ว่ากันตามที่สังเกตโดยทั่วไป ซูเจี๋ยคนนี้น่าจะเป็นผู้ติดตามของจ้าวชานที่ชอบหาเรื่องมากคนหนึ่ง
เห็นหลินเจียวอยู่ใกล้กับเขาเป็นพิเศษ ทั้งสองคนคงไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบคู่รักหรอกมั้ง?
เฉินเกอจะกลัวซูเจี๋ยได้อย่างไรกัน เพียงแต่เป็นเพราะเห็นได้ชัดว่าตัวหลักในวันนี้เป็นหลี่ปินไม่ใช่ตนเอง ดังนั้นจึงไม่อยากหาเรื่องมากเท่านั้นเอง
“หึๆ นามสกุลเฉิน นายหยุดเลยนะ!”
แต่ทว่าหลินเจียวก็มองเฉินเกอด้วยท่าทางหงุดหงิดเต็มที่
ตอนนี้หล่อนไม่เรียกชื่อของเฉินเกอแล้ว เพราะเฉินเกอไม่คู่ควรให้หล่อนเรียกเขา
หึๆ เมื่อก่อนนายเฉินเกอเก่งนักนะ! ช่างเก่งเหลือเกิน
หากไม่รู้คงยังคิดว่านายเป็นคุณชายเฉินอยู่ล่ะ เก่งกาจได้แค่ไหนก็เก่งกาจได้แค่นั้น
ฉันหลินเจียวเคยชอบนายจริง แม้กระทั่งมีวันหนึ่งยังไม่เสียดายที่จะล้มแนบบนเตียงไปกับนายทันที
แต่นายนามสกุลเฉินไงล่ะ?
นายยอดเยี่ยมจนถึงขั้นไม่เคยเห็นฉันหลินเจียวในสายตา
ยังจำช่วงก่อนหน้านี้ได้ดี นายอยู่ที่สาขาวิทยุกระจายเสียงตามจีบจ้าวยีฟานเหรอ? ทั้งที่ที่นายก็รู้ว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย แต่นายยังไม่สนใจฉันอีก!
หลินเจียวเกลียด เกลียดจนมันเขี้ยว
ตอนนี้หล่อนน่ะเหรอ โอกาสมาโชคชะตาเปลี่ยน กลายเป็นน้องสาวของคุณชายจ้าว ซูเจี๋ยเพื่อนรักของคุณชายจ้าวก็มีความรู้สึกต่อหล่อนอยู่บ้าง ตอนนี้ความสัมพันธ์ทั้งสองจึงคลุมเครือมาก
พวกเขามีตรงไหนที่แกร่งเทียบกับนายเฉินเกอไม่ได้บ้าง?
ดังนั้นหลินเจียวไม่ได้พุ่งเป้าใส่ใคร จะพุ่งเป้าที่เฉินเกอเพียงผู้เดียว!
“นามสกุลเฉิน เมื่อก่อนนายไม่ได้เก่งมากเหรอ? ตอนนี้คุณชายจ้าวมาแล้ว ทำไมนายไม่เก่งแล้วล่ะ?”
หลินเจียวกอดอกยิ้มถาม
“อีกอย่างหลายวันก่อนที่โรงอาหาร ไม่ใช่กินข้าวด้วยกันกับซูมู่หานเหรอ? ตอนนี้ล่ะ ทำไมถึงมากับผู้หญิงสองสามคนนี้แล้ว?”
“นี่ๆๆ เธอเป็นใคร เธอเพ้อเจ้ออะไร อะไรเรียกว่าพวกฉันมากับเขา พวกฉันเป็นเพื่อนสนิทของแฟนคุณชายหลี่!”
เวลานี้ หลินเยว่กลับทำหน้าเย็นชาโต้กลับ
พูดตามจริงหลินเยว่ยังดูถูกเฉินเกอที่แต่งตัวไม่มีระดับอะไรอยู่บ้าง
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นลูกน้องของหลี่ปิน หลินเยว่คงไม่คิดจะมองเขา
ดังนั้นตอนนี้พอได้ยินหลินเจียวพูดว่าตนเองกับลูกน้องที่ชื่อเฉินเกอมาด้วยกัน จึงอดจะตอบโต้กลับไปไม่ได้
ประเด็นคือมองหลินเจียวที่โวยวายแล้วไม่ถูกชะตา
“หืม? คุณชายหลี่? คุณชายหลี่คนไหน?”
เวลานี้หลินเจียวขมวดคิ้วถาม
“หลี่ปิน คุณชายหลี่ยังไงล่ะ?”
หลินเยว่กับหลินเจียวนั้น ถือว่าวางมวยกันแล้ว
และคำพูดนี้ทำให้เฉินเกอกับหลี่ปินต่างลูบหน้าผากอย่างจิตใจห่อเหี่ยว
ทำไมถึงรีบชวนไปที่ห้องอาหารกัน ไม่ใช่เพราะกลัวจะคุยมาถึงขั้นนี้เหรอ
จากนั้นยังกลัวจริงๆ ว่าอะไรๆ จะออกมา
“ฮ่าๆๆๆ”
หลินเจียวหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
“เธอว่าอะไรนะ? เธอเรียกหลี่ปินว่าคุณชายหลี่? เขาเป็นคุณชายหลี่?”
หลินเจียวเหมือนได้ฟังเรื่องตลกที่สุดในโลกเข้าให้แล้ว
“คุณชายหลีที่ไหนกัน? ฉันมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็พักหนึ่งแล้ว คุณชายไม่น้อยมาเยี่ยมเยือนฉันกันหมด ทำไมไม่เคยได้ยินว่ามีหลี่ปินคุณชายหลี่อยู่เลยล่ะ?”
เวลานี้ซูเจี๋ยกอดอกพูดอย่างสนุกสนาน
“เชอะ หลี่ปินเขาไม่ใช่ลูกคนรวย เขาเป็นพวกสร้างตัวด้วยมือเปล่า เปิดร้านค้าหลายแห่งที่จินหลิน ที่ฉันพูดถูกไหมพี่เฟย?”
หลินเยว่พูดอย่างไม่ยินยอม
ฉินเฟยเพียงแค่พยักหน้า
“พระเจ้า!” ส่วนหลินเจียวกลับปิดปากด้วยท่าทางประหลาดใจ “หลี่ปิน นายยังเปิดร้านหลายแห่งในจินหลิงด้วยเหรอ? พระเจ้าๆ เปิดเมื่อไรกัน? เปิดร้านอะไรเหรอ?”
หลินเจียวจงใจแกล้งทำท่าทางประหลาดใจ
“ฉัน……ฉัน……”
สายตาของทุกคนมองทางหลี่ปินกันหมด ส่วนหลี่ปินก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว
เฉินเกอถลึงตาใส่หลินเจียวอย่างโมโหอยู่บ้าง
ยัยผู้หญิงบ้าคนนี้ หล่อนน่าจะดูออกว่าเป็นเรื่องอะไร แต่กลับจะมาพังทลายแล้วถามให้ถึงที่สุด ช่างไม่ไว้หน้าพวกเขาสามคนเลยสักนิด
เห็นได้ชัดมากว่าเป้าหมายของหล่อนคือทำให้ทั้งสามคนดูแย่
“หลินเจียว ร้านที่เปิดเยอะมาก ยังไม่จำเป็นต้องให้เธอรู้ทุกอย่าง พี่สะใภ้ฉินเฟย ไปเถอะ พวกเราไปห้องอาหารข้างบนกัน!”
เฉินเกอทำท่วงท่าเชื้อเชิญอยู่ ทั้งยังจงใจขวางหลินเจียวเอาไว้ ให้หล่อนอย่าพูดมาก
“ไอ้นี่ หลบไปให้พ้นนะ”
ส่วนหลินเจียวยกเท้ามาถีบที่บั้นท้ายของหลินเจียวไปทีหนึ่ง
“มีสิทธิ์อะไรที่ฉันไม่ควรรู้? ฉันกับสวีเสียเป็นเพื่อนรักกัน หยางฮุยเป็นแฟนของสวีเสีย เป็นเพื่อนกันกับหลี่ปิน ทำไมล่ะ? หลี่ปินเปิดร้านเรื่องนี้ สวีเสียก็ไม่รู้ ฉันยังอยากถามจริงๆ ว่าสรุปแล้วมันเรื่องอะไรกัน!”
หลินเจียวพูดอย่างใช้อำนาจบาตรใหญ่ ขณะเดียวกันมุมปากมีรอยยิ้มชั่วร้าย “สรุปคือถ้าเรื่องวันนี้ฉันไม่กระจ่าง ยังไงก็ไม่ยอมให้พวกนายไป”
“ช่างเถอะหลี่ปิน บอกชื่อร้านที่เปิดกับหล่อนไปเถอะ พวกเราจะได้รีบไปกินข้าวกัน!”
ฉินเฟยมองค้อนหลินเจียวด้วยความรังเกียจ พูดเสียงเบาๆ
“ใช่แล้วคุณชายหลี่ บอกร้านกับหล่อนไปเถอะ จะได้ให้พวกหมาที่หยิ่งทรนงชอบดูถูกคนอื่น มาดูถูกไม่ได้”
หลินเยว่ก็พูดด้วย
“เธอกล้ามาด่าฉันเป็นหมา?”
เห็นว่าจะทะเลาะกันขึ้นมา
ทันใดนั้นเวลานี้ โทรศัพท์ของซูเจี๋ยก็ดังขึ้น ถึงทำให้ทุกคนเงียบกันลงไปบ้าง
“น้องชาย นายทำไมยังไม่มาอีก? นี่รอพวกนายสองคนอยู่นะ! อะไรนะ? ไปโรงพยาบาลแล้ว? โดนคนตีเข้า? ใครทำ?”
น้ำเสียงของซูเจี๋ยดุเดือดขึ้นมา
“ได้ พวกนายทำแผลกันเสร็จก็มากินข้าวที่ห้องครัวเจียหยวนก่อน จากนั้นตอนบ่ายพวกเราค่อยไปจัดการพวกที่ตีนายสองคน ไอ้สาด!”
หลังจาด่าแรงๆ จบ ซูเจี๋ยก็วางสายโทรศัพท์ทันที
“คุณชายซู เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เป็นสายของเสี่ยวไค่เหรอ?”
หลินเจียวมองทางซูเจี๋ยอย่างกังวลอยู่บ้าง
“ใช่ ลูกพี่ลูกน้องฉันโทรมาบอกว่าเมื่อกี้โดนพวกสามคนต่อยเข้าให้ ตอนนี้พึ่งทำแผลที่โรงพยาบาลเสร็จ เดี๋ยวจะเข้ามาแล้ว!”
ซูเจี๋ยบิดลำคอสักหน่อย ส่งเสียงกึกดังขึ้นมา
“ใครกัน? ทำไมถึงใจกล้าได้ขนาดนี้? กล้ามาตีเสี่ยวไค่ ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของซูเจี๋ย!”
หลินเฉียวก็พูดอย่างโหดเหี้ยม
“จะสนใจมันทำไม ใครก็ได้ เรียกคนให้ฉันที ให้พวกคุณชายหัว คุณชายคังหาคนมาหน่อย ตอนบ่ายฉันจะลงมือ”
“ครับ คุณชายซู” มีลูกน้องรีบไปโทรศัพท์ทันที
ส่วนเฉินเกอกับหยางฮุยมองหน้ากัน ในใจทั้งสองคิดแบบไม่ต้องพูดก็เดาได้ คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง?
นี่คงกระอักกระอ่วนมากๆ เลย
ในระหว่างที่แข็งทื่ออยู่
รถโฟล์กสวาเกนสีดำคันหนึ่งก็ส่งเสียงเข้ามา รถเบรกจอดหน้าประตูห้องครัวเจียหยวน
จากบนรถ เวลานี้ผู้ชายสองคนที่จมูกเขียวหน้าบวมกระโดดลงมา
มองเห็นผู้ชายสองคนนี้
หลินเยว่ตกใจยกใหญ่ “เฮ้ย เป็นพวกเขาสองคนจริงด้วย!”