บทที่ 506 ถึงเมืองหน้าด่าน
บทที่ 506 ถึงเมืองหน้าด่าน
พบโสมเหมันต์แล้ว แม้จะถูกขุดออกมาเพียงครึ่งเดียว แต่เจี่ยเจินก็หัวเราะเสียงดังลั่นออกมาทันทีที่เห็น
“เพียงพอแล้ว เพียงพอแล้ว อายุเท่านี้นับว่าเพียงพอแล้ว”
พริบตานั้นเอง ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
หลังจากค้นหามานาน ในที่สุดพวกเขาก็หาเจอสักที
ยามนี้มืดแล้ว แสงจากคบเพลิงไม่ค่อยสว่างนัก จึงไม่มีผู้ใดกล้าลงมือเนื่องจากกลัวว่าจะไปทำลายรากของโสมเหมันต์
พวกเขากางกระโจมบริเวณรอบ ๆ โสมเหมันต์เพื่อพักผ่อน รอจนฟ้าสว่างค่อยขุดต่อ
แม้จะอยู่แปลกถิ่น ทว่าการพบวัตถุดิบทำยาส่วนสุดท้ายทำให้หัวใจของเสี่ยวเป่าโล่งขึ้นอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงนอนหลับสบายเป็นอย่างมาก
รุ่งขึ้นหลังฟ้าสางยามนางตื่นขึ้นมา เสี่ยวเป่าก็พบว่าคนของท่านพ่อเริ่มลงมือขุดดินเล้ว
เจี่ยเจินเฝ้าดูอยู่ด้านข้างอย่างใกล้ชิด เกรงว่าเหล่าชายร่างใหญ่จะทำให้โสมเหมันต์อันล้ำค่าสูญเสียไปแม้สักราก
ชายร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งเต็มไปด้วยเหงื่อไคลไหลอาบ เหตุใดสิ่งนี้จึงยุ่งยากน่ารำคาญนัก
ให้พวกเขาขุดสิ่งนี้สู้ให้ไปสนามรบตัดหัวคนยังดีกว่า!
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ก็ยังนั่งใช้กิ่งไม้เล็ก ๆ ค่อย ๆ ขุดดินออกทีละน้อย
ทุกคน : …ไม่อาจตื่นเต้นไปมากกว่านี้ได้แล้ว
พวกเขาผลัดกันลงแรง ใช้เวลาไปกว่าครึ่งวัน จึงค่อยขุดสิ่งล้ำค่านี้ออกมาได้ในที่สุด
เมื่อเจี่ยเจินเห็นโสมเหมันต์ที่รูปร่างเหมือนเด็กทารก ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้นมา
ด้วยขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ แบ่งส่วนที่ฝ่าบาทใช้แล้วยังคงเหลืออีกไม่น้อย เขานำไปทำยาลูกกลอนฟื้นชีวิตได้อีกหลายเม็ด เกรงว่าต่อให้หลงเหลือเพียงหนึ่งลมหายใจสุดท้ายก็สามารถดึงคนกลับมาจากขอบเหวแห่งความตายได้
เมื่อพบยาแล้ว กลับไปเจี่ยเจินจะรีบปรุงมันทันทีไม่มีหยุดพัก
เพื่อรักษาความสดใหม่ เจี่ยเจินบรรจุดินบางส่วนลงไปในกล่อง ก่อนจะค่อย ๆ วางโสมเหมันต์ลงไปด้านในอย่างระมัดระวัง สุดท้ายกล่องก็ไปอยู่ในอ้อมแขนของเสี่ยเป่า
แม้จะไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด แต่ลูกศิษย์ตัวน้อยของเขามีความสามารถแปลกประหลาดเกี่ยวกับเรื่องพืช ไม่ว่าพืชใดที่นางหามาล้วนคงความสดใหม่เอาไว้ได้นานยิ่ง
หลังจากได้โสมเหมันต์แล้ว พวกเขาก็เดินทางออกจากที่นี่กลับไปยังเผ่าฉางเซิงเทียนทันที
เหล่านักรบเผ่าฉางเซิงเทียนเองก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง คราวนี้พวกเขาล่าสัตว์ได้จำนวนมาก!
คืนนั้นเสี่ยวเป่ากับหนานกงสือเยวียนไปหาหมอผีและหัวหน้าเผ่า
“พวกเราจะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น”
หมอผีรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “เร็วถึงเพียงนี้เชียว”
เสี่ยวเป่าขมวดคิ้วเอ่ยออกมา “ไม่เร็ว ข้าอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว”
นางมอบตำราสมุนไพรที่เขียนขึ้นเองด้วยตัวอักษรของที่นี่ให้กับหมอผี
“ด้านในนี้เป็นประโยชน์ของสมุนไพรที่ข้าพบในดินแดนของพวกท่านทั้งหมด ด้านในมีภาพวาดประกอบไว้ ทั้งยังเขียนสรรพคุณและวิธีเก็บรักษาด้วย ท่านควรหาคนเก็บรวบรวมเอาไว้ บางทีครั้งหน้าที่พบกัน คาราวานค้าขายระหว่างพวกข้ากับพวกท่านอาจก่อตั้งขึ้นแล้ว”
หมอผีรับหนังสือที่เสี่ยวเป่าส่งมา เขาปฏิบัติต่อนางด้วยมารยาทสูงสุด
“เทพฉางเซิงเทียนปกปักรักษา หวังว่ามิตรภาพระหว่างพวกเราจะคงอยู่ตราบนานเท่านาน”
หลังจากอำลาหมอผีกับหัวหน้าเผ่าแล้ว เสี่ยวเป่าก็ไปหาอานั่วซือเพื่อบอกลา
อานั่วซือตอบกลับด้วยใบหน้านิ่งเฉย “ลาก่อนคืออะไร”
“พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางแล้ว”
“โอ้”
เสี่ยวเป่า : …
“อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่ด้วยกันมานานถึงเพียงนี้ ถือได้ว่าเป็นสหายที่ดีต่อกันใช่หรือไม่ เจ้าช่วยตอบดี ๆ บ้างก็ได้”
อานั่วซือมองนางด้วยสายตาแปลกประหลาด “ตอบอะไร ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแยกจากพวกเจ้าเสียหน่อย”
เสี่ยวเป่ามองเขาอย่างโง่งม “เอ๋?”
อานั่วซือขมวดคิ้ว “เจ้าไม่คิดพาข้าออกไปด้วยหรือ”
เขาไม่มีความสุขนัก “เจ้าจะไม่พาข้าไปด้วยหรือ ข้ายังไม่ได้ฆ่าเจ้าไก่อ่อนนั่นเลย!”
เดิมทีคิดว่าเป็นเพราะทนแยกจากตนไม่ไหวจึงต้องการไปด้วยกัน ไม่คิดเลยว่าเขาเพียงคิดสังหารเยว่หลีตลอดเวลา
เสี่ยวเป่าปรายตามองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สะบัดหน้าเดินจากไป
อานั่วซือเกาหัว ไม่เข้าใจว่าโดนโกรธด้วยเหตุใด
เขากำลังจะตามไป ทว่าเสี่ยวเป่ากลับรีบพุ่งตรงมาอีกครั้ง
“เจ้าไปแล้ว เช่นนั้นพวกหมาป่ายักษ์กับสัตว์ร้ายยักษ์จะทำเช่นไร”
อานั่วซือตอบอย่างมั่นใจ “ปล่อยกลับไป”
เขาไม่อาลัยอาวรณ์การแยกจาก เนื่องจากความสัมพันธ์ของเขากับเหล่าหมาป่ายักษ์หรือกระทั่งสัตว์ร้ายยักษ์ไม่ใช่เจ้านายและสัตว์เลี้ยง แต่เขาเป็นเหมือนจ่าฝูงมากกว่า
ต่อให้ไม่มีเขา ในกลุ่มหมาป่ายักษ์ก็ยังมีจ่าฝูง เช่นเดียวกันสัตว์ร้ายยักษ์
พวกมันสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามเดิมได้
เสี่ยวเป่าอาลัยที่ต้องแยกจากพวกมันเล็กน้อย ตกกลางคืนจึงไปหาพวกหมาป่ายักษ์เพื่อบอกว่า แน่นอนว่าย่อมต้องทำเช่นเดียวกันกับเหล่าสัตว์ร้ายยักษ์ หลังจากกลับไปจึงมีกลิ่นติดทั้งตัวจนเสือทั้งสองรังเกียจ
เฮยไป๋อู๋ฉางลากนางออกไป บังคับให้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากลางดึก
เสี่ยวเป่า : …นี่นับว่านางหาเรื่องให้ตัวเองถูกลงโทษหรือ
วันต่อมา ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง คนของท่านพ่อก็เริ่มเก็บข้าวของทั้งหมด
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ พวกเขาก็ออกเดินทาง
สัตว์ร้ายยักษ์พาพวกเขาออกมาส่ง เมื่อถึงยามต้องแยกจาก เสี่ยวเป่าก็เดินพลางหันกลับไปมองเหล่าหมาป่ายักษ์และสัตว์ร้ายยักษ์ นางชูแขนขึ้นสูงโบกลาอย่างสุดแรง
“แล้วพบกันใหม่!”
คนอื่น ๆ เองก็อาลัยที่ต้องแยกจาก สัตว์ร้ายยักษ์เหล่านี้น่าเกรงขามยิ่ง ทั้งยังช่วยขนสัมภาระของพวกเขาได้จำนวนมาก มีประโยชน์เสียยิ่งกว่าม้าและวัว
น่าเสียดายที่พาออกไปไม่ได้
ขากลับนั้นเพราะรู้เส้นทางจึงเร็วกว่าขามามาก
ใช้เวลาครึ่งเดือนพวกเขาก็ถึงเผ่าเทียนกู่น่า
เมื่อเห็นพวกเขากลับมา คนเผ่าเทียนกู่น่าพลันส่งเสียงโห่ร้องต้อนรับ
“กลับมาแล้ว พวกเขากลับมาแล้ว!”
การเดินทางครั้งนี้ พวกเขาไม่เพียงพบฉางเซิงเทียนเท่านั้น ทว่ายังได้เห็นสัตว์ร้ายยักษ์และหมาป่ายักษ์ มิหนำซ้ำกู่จี๋ยังได้นำศิลาหมอผีจากหมอผีฉางเซิงเทียนมอบให้กับหมอผีเผ่าเทียนกู่น่าด้วย
คนจากต้าเซี่ยพักอยู่ที่เผ่าเทียนกู่น่าหนึ่งวันก่อนจะออกเดินทางต่อ
คราวนี้พวกเขาเร่งรีบกลับไปยังเมืองหน้าด่านของต้าเซี่ยด้วยความเบิกบาน
ทุ่งหญ้าถูกหนานกงสือเยวียนจัดระเบียบไว้เรียบร้อยแล้ว ยามนี้ไม่มีชาวซยงหนูอีกต่อไป แม้ว่าเผ่าเล็กอื่น ๆ ในทุ่งหญ้าจะยังคงมีความเป็นปฏิปักษ์กับคนจงหยวนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่โง่เขลาพอจะตั้งตนเป็นศัตรู
กระทั่งพวกโจรบนทุ่งหญ้าก็ยังไม่กล้าปล้นคาราวานจากจงหยวนอีกต่อไป
ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางได้อย่างราบรื่นยิ่ง
ยามกลางวันวิหคเทวะบินวนบนฟ้าสูงเหนือเมืองหน้าด่าน ทหารลาดตระเวนคนแรกที่เห็นพลันโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ฝ่าบาทกลับมาแล้ว!”
ทั่วทั้งเมืองหน้าด่านมีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วยเสียงโห่ร้อง
ตอนนี้ที่เมืองหน้าด่านล่วงเข้าช่วงปลายสารทฤดู ปีนี้ผลเก็บเกี่ยวเสบียงอาหารเองก็ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก เมื่อฝ่าบาทกลับมา ความปลาบปลื้มพลันเพิ่มทวี
ข่าวนี้ราวกับถูกสายลมพัดแพร่กระจายไปทั่วเมือง ผู้คนต่างร่วมส่งเสียงร้องยินดี
ฝ่าบาท เทพสงครามไร้พ่ายของพวกเขากลับมาแล้ว!
ดังนั้นเมื่อหนานกงสือเยวียนและกองกำลังมาถึง ภาพที่ได้เห็นคือการต้อนรับจากคนทั้งเมือง
เสี่ยวเป่ายังพบว่าในหมู่คนมีชาวทุ่งหญ้าอยู่ด้วยจำนวนไม่น้อย
หลายคนมาเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนกับต้าเซี่ย ทั้งยังมีพ่อค้าชาวทุ่งหญ้าด้วย
พวกเขาบ้างก็มาต้อนรับฝ่าบาทของต้าเซี่ยเช่นเดียวกับคนในเมือง บ้างก็ต้องการชื่นชมสัมผัสความมีชีวิตชีวา
แต่ไม่ว่าอย่างไร กองกำลังของพวกเขาเมื่อกลับมาตั้งแต่ประตูถึงในเมือง ต่างสัมผัสได้ถึงความปลื้มปีติอย่างแท้จริง
ยามเห็นหนานกงสือเยวียน พวกเขาต่างคุกเข่าลงทันที
แม้ว่าสีหน้าของหนานกงสือเยวียนจะเรียบเฉยไม่เปลี่ยน แต่เสี่ยวเป่าก็สามารถสัมผัสได้ถึงความสุขจากท่านพ่อของตนได้
เจอเหตุการณ์เช่นนี้ มีผู้ปกครองคนใดบ้างจะไม่พึงพอใจ
เมื่อมาถึงดินแดนที่ตนคุ้นเคย บนใบหน้าเสี่ยวเป่าพลันปรากฏรอยยิ้มจากใจจริง
รวมทั้งเยว่หลีด้วย ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว ไม่กี่วันก่อนงูพิษตื่นจากการจำศีลแล้ว ยามนี้ได้รับทั้งอารมณ์และคำสั่งจากเจ้านาย จึงจับจ้องไปทางอานั่วซือที่อยู่ห่างไปไม่ไกลอย่างมาดร้าย
หึ ๆ… กลับมาถึงจงหยวนแล้ว คอยดูเถอะข้าจะสังหารเจ้าโง่ที่สมองมีแต่กล้ามทิ้งเสีย!
อานั่วซือแยกเขี้ยวกลับ จับจ้องงูของเขาด้วยดวงตาดุร้ายไม่ต่างกัน
ลงมือเมื่อใดจะฆ่าทิ้งเอาเนื้อมากินเสีย!
ทว่าเทียบกับความชิงชังของเยว่หลีและงูของเขาแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเมืองหน้าด่านของอานั่วซือมีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เหมือนเขาได้เห็นของกินจำนวนมาก
เขาไม่แน่ใจจนต้องมองอีกครั้ง หอมยิ่งนัก!
อานั่วซือว้าวุ่นเล็กน้อย ตอนนี้เขาสามารถไปหยิบมากินได้หรือไม่
แม้จะอยากถาม แต่สถานการณ์ในยามนี้ เขารู้สึกว่าไม่ใช่เวลาเหมาะสมนัก
หลังจากตระเตรียมที่พักในจวนหนานกงแล้ว อานั่วซือก็ยังคงคิดถึงเรื่องของกินเหล่านั้นอยู่ จึงไปหาเสี่ยวเป่าทันที
“เจ้าอยากไปซื้อของ ข้าเองก็อยาก แต่ตอนนี้ข้าอยากพักผ่อนมากกว่า”
เสี่ยวเป่าหาวออกมา บ่าวรับใช้ไปเตรียมน้ำให้นางอาบ ตอนนี้นางต้องการเพียงอาบน้ำดี ๆ จากนั้นก็นอนบนเตียงนุ่ม ๆ
หลังจากเดินทางไกลนางก็เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
“รอพรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไป สิ่งเหล่านั้นที่เจ้าเห็นบนถนนเป็นของผู้อื่น กินแล้วต้องจ่ายเงิน ตอนนี้เจ้าไม่มีสิ่งใดติดตัว หากอยากกินจริงข้าจะบอกห้องครัวเตรียมอาหารให้”
ยามนี้เสี่ยวเป่าเข้าใจอานั่วซืออย่างดี คนผู้นี้ไม่สนใจเรื่องอื่น นอกจากเรื่องกินหรอก
ดังนั้นหากออกไปด้านนอกก็ต้องเป็นเพราะเรื่องของกินอย่างแน่นอน
แต่นี่ไม่ใช่ฉางเซิงเทียน เพื่อป้องกันไม่ให้คนผู้นี้ก่อความเดือดร้อน นางจึงบอกล่วงหน้าให้ชัดเจนว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของผู้อื่น
อานั่วซือยังคงมีจิตสำนึกอยู่ ของผู้อื่นต่อให้ชอบเท่าใดเขาก็ไม่แย่งชิง
“โอ้”
เขายอมสงบลงจริง แต่ก็ไม่เต็มใจอยู่บ้าง “ห้องครัว อาหารอร่อย”
อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีอาหารดี ๆ ให้กิน
เสี่ยวเป่าพยักหน้า เรียกบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งให้ไปบอกห้องครัว จัดเตรียมอาหารมื้อใหญ่ส่งไปยังห้องของอานั่วซือ
“อยู่ที่นี่เจ้าฟังไม่เข้าใจ…”
“ข้าเข้าใจ”
อานั่วซือตอบตามตรง
เสี่ยวเป่าประหลาดใจ “เจ้าเรียนภาษาตั้งแต่เมื่อใด”
อานั่วซือเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “ข้าเองก็มีความทรงจำ แม้ไม่มาก แต่ก็เข้าใจสิ่งที่คนที่นี่พูดกัน”
เสี่ยวเป่าได้ยินแล้วจึงถามกลับทันที “เช่นนั้นพูดได้หรือไม่”
เมื่อได้ยินคำถามของนาง อานั่วซือก็ก้มหน้าลงทันที
“พูดไม่ได้”
เขาเองก็ไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าตนมีความทรงจำสามารถเข้าใจคำพูดของคนที่นี่ แต่เหตุใดจึงพูดไม่ได้
ไม่เข้าใจเลย!
เสี่ยวเป่ามองด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ นั่นเป็นเพราะสติปัญญาทั้งหมดของเขาอยู่ที่เยว่หลีหมดแล้วแน่ ๆ
อานั่วซือเองก็คิดได้ถึงจุดนี้ ดวงตาพลันค่อย ๆ ดุร้ายขึ้น
จำเป็นต้องสังหารคนคนนั้นเพื่อนำสมองกลับมา!
………………………………………