เกรงว่ามั่วฉินและหงอวี้ต่างก็ไม่รู้ว่าห้องแห่งนี้มีขนาดใหญ่เพียงใด
เหตุเพราะพวกนางเป็นคนที่ได้รับอนุญาตจากนายท่าน ดังนั้นเมื่อเทียบกับนางโลมที่ถูกจับตัวมาจึงมีอิสระมากกว่า
หลินเมิ้งหยาเข้าใจดี ตอนนี้ยังมิใช่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มั่วฉินและหงอวี้ต่างก็หลอกลวงนายท่าน ดังนั้นไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร
อย่างน้อยตอนนี้พวกนางก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับหลินเมิ้งหยาแล้ว แม้จะไม่สนิทสนม แต่อย่างน้อยความสัมพันธ์ก็ไม่แข็งทื่อจนเกินไป
ห้องพักที่นี่ค่อนข้างลึกลับ คาดว่าคงมีการสร้างความเกษมสำราญหลายอย่าง
บางห้องมีเสียงกระเส่าเร่าร้อนดังระคายหู บางห้องมีเสียงบุรุษสตรีหัวร่อต่อกระซิก แต่ก็มีบางห้องที่ตกอยู่ในความเงียบ ทว่าหน้าประตูมีคนคุ้มกันอยู่
พวกนางมิอาจเข้าไปได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเพ่งพิจารณาเท่านั้น
“เฮ้อ ทั้งที่เข้ามาได้แล้วแท้ๆ พวกเราจะไปตามหาคนได้ที่ไหนกันเล่า? เมื่อครู่มัวแต่หาวิธีล่อหลอกนายท่าน ข้าลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท”
หงอวี้ลอบถอนหายใจขณะเอ่ย
หลินเมิ้งหยามิได้ส่งเสียงคัดค้าน ประสาทสัมผัสการได้ยินและการได้กลิ่นของนางดีกว่าคนธรรมดามาก พวกนางไร้ซึ่งวรยุทธ์ เห็นได้ชัดว่ากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
แต่ถึงกระนั้นนางก็พกยาสลบติดตัวมาด้วย เผื่อว่าจะได้ใช้ในช่วงเวลาคับขัน
“จะต้องหาเจออย่างแน่นอน อย่ากังวลไปเลย ตามกฎของที่นี่ หากได้ลงมาด้านล่างหนหนึ่ง เช่นนั้นจะต้องอยู่ที่นี่นานสามวัน พวกเราจะต้องหาเบาะแสของพวกนางเจอระหว่างนั้นอย่างแน่นอน”
มั่วฉินจับมือหงอวี้ นางรู้ดีว่าหงอวี้มิได้ตำหนิชิงเกอ เหตุเพราะพวกนางเป็นผู้วางแผนกลลวงก่อน
ตอนนี้ชิงเกอเลือกที่จะมองข้ามความผิดนั้นเหมือนผู้ใหญ่ไม่ถือสาหาความเอาจากผู้น้อย ฉะนั้นพวกนางควรระมัดระวังคำพูดเพื่อไม่ทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงกว่าเดิม
“พวกนางมิได้อยู่ที่นี่ มั่วฉิน ที่นี่มีห้องใต้ดินหรือไม่?”
ขอเพียงไม่ดึงดันเข้าไปภายในห้องเหล่านั้น เท่านี้ก็ไม่มีคนคุ้มกันคนใดเข้ามารบกวนพวกนาง
หลังจากสำรวจแต่ละห้อง ทั้งเรดาร์และประสาทสัมผัสการได้กลิ่นและได้ยินของนางไม่พบสิ่งผิดปกติ
อาซิ่วมียาพิษติดตัว ระบบเซินหนงของนางมีการบันทึกเอาไว้แล้ว ฉะนั้นขอเพียงเข้าใกล้ย่อมต้องมีปฏิกิริยาตอบสนอง
ยิ่งไปกว่านั้นอาซิ่วถูกพาตัวมาเมื่อตอนพลบค่ำ ฉะนั้นเวลาจึงผ่านไปเพียงสี่ห้าชั่วโมงเท่านั้น แม้จะถูกจับอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวจนทำให้พิษของยาผสมกลมกลืนกับสิ่งอื่น แต่เด็กที่เติบโตมาพร้อมกับยาพิษจะไร้ร่องรอยพิษโดยสิ้นเชิงได้อย่างไร?
ฉะนั้นหลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยถามเช่นนี้
“ไม่มีแล้ว แม้ที่นี่จะเป็นสถานบันเทิงสำหรับพวกคนมีเงิน แต่ข้าได้ยินเหล่าพี่น้องนางโลมเล่าว่าหุยชุนฟางเป็นเพียงร้านย่อยร้านหนึ่งของนายท่านเท่านั้น หากมิใช่เพราะเมื่อห้าวันก่อนอยู่ๆ นายท่านก็กลับมากะทันหัน คาดว่าข้าและหงอวี้คงมิได้เจอนายท่านแล้ว”
ที่นี่เป็นเพียงร้านสาขาย่อย? หัวใจของหลินเมิ้งหยาสั่นสะท้าน
ถ้ำทองแห่งนี้เป็นเพียงสาขาย่อย แต่จะว่าไปก็ใช่ เหตุเพราะตำบลซื่อฟางเป็นเพียงตำบลเล็กๆ แถบชายแดน นอกจากพวกพ่อค้าแล้วก็ไม่มีแขกอื่นอีก แต่คาดว่าทั้งต้าจิ้นก็คงมีสถานบันเทิงลับเช่นนี้ไม่มากหรอกกระมัง
คนที่ภายนอกดูอบอุ่นอ่อนโยน แต่ความเป็นจริงอาจเป็นคนสุขุมรอบคอบมากวิธีการก็เป็นได้ แต่เขาสามารถทำกิจการถึงขั้นนี้ได้เชียวหรือ?
หากเล่าออกไป แม้แต่คนเสียสติเองก็คงมิเชื่อ ทว่าตอนนี้นางกลับถูกขังอยู่ที่นี่
“ข้าว่าพวกเราอาจมองเรื่องนี้ร้ายแรงจนเกินไปแล้ว”
ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย มั่วฉินและหงอวี้สบตากัน พวกนางมิค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
“ข้าหมายความว่าพวกเราล้วนปักใจเชื่อว่านายท่านจะต้องขังพวกนางเอาไว้ในสถานที่ลับ แต่ความจริงแล้วพวกนางหาใช่สินค้าชุดแรกหรือสินค้าพิเศษอันใดไม่ ในสายตาของนายท่าน พวกนางเป็นเพียงสินค้าดาษดื่นทั่วไปเท่านั้น เช่นนั้นแล้วเขาจำเป็นต้องขังพวกนางในสถานที่ลับพิเศษด้วยหรือ?”
ความสงสัยของมั่วฉินและหงอวี้พลันกระจ่างทันใด
ใช่แล้ว เหตุเพราะพวกนางเข้ามาที่นี่ได้ไม่ยากนัก ฉะนั้นย่อมต้องคิดว่านายท่านนำตัวพวกนางไปซ่อนเอาไว้ในสถานที่ที่พวกตนคาดไม่ถึง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางโลมที่สามารถเข้ามาภายในถ้ำทองแห่งนี้ได้ล้วนมีจุดอ่อนอยู่ในกำมือของนายท่านหรือหากต้องการมาขายตัวแล้วล่ะก็ นั่นเท่ากับว่าพวกนางเป็นคนของเขา
หากพวกหญิงสาวเหล่านั้นถูกมัดเอาไว้และถูกคุมขังอยู่เพียงในห้อง เช่นนั้นอย่าว่าแต่จะหนีเลย แม้จะแกะเชือกออกได้แต่ก็คงไม่อาจเอาชนะพวกคนเฝ้าประตูร่างกำยำไปได้แน่
“ใช่แล้ว พวกเราคิดไม่ถึงเลยจริงๆ”
ดวงตาหงอวี้เบิกกว้างขณะร้องออกมาด้วยความดีใจ แต่แม้จะแก้ปัญหาได้หนึ่งเปลาะ ทว่าพวกนางก็ยังมิอาจแอบเข้าไปสำรวจห้องหับแต่ละห้องได้
เมื่อครู่พวกนางสังเกตเห็นว่าหากพวกนางงย่างเท้าเข้าไปใกล้ เหล่าคนคุ้มกันจะรีบถลึงตามองทันควัน
บรรยากาศที่เพิ่งจะผ่อนคลายเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงอีกครา
สุดท้ายพวกนางทำได้เพียงเดินกลับไปที่ห้องของตนเองแล้วคิดหาวิธีการ
“ถึงเวลากินข้าวแล้ว”
เสียงจูเหยียนดังขึ้นที่ด้านนอก ทั้งสามรีบจัดแจงท่าทาง หงอวี้หยักยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตู
ทว่าจูเหยียนที่เดินเข้ามากลับมีท่าทีหงุดหงิดงุ่นง่าน เมื่อเทียบกับตอนที่เดินนำทางพวกนางมายังที่นี่ บัดนี้เขาดูเอาแต่ใจกว่ามาก
หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจอยู่หลายส่วน มีใครในหอนางโลมบังอาจทำให้เขาขุ่นเคืองด้วยหรือ?
“นี่คือกล่องอาหารของพวกเจ้า กินเสร็จแล้วก็เอาวางไว้ข้างนอก!”
น้ำเสียงแข็งกระด้างเหมือนเพิ่งดื่มยาร้อนมาหมาดๆ มือหนากระแทกกล่องข้าวลงบนโต๊ะอย่างแรง พวกหลินเมิ้งหยาล้วนเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ หลังจากส่งสัญญาณผ่านทางสายตาแล้ว พวกนางย่อมเข้าใจความคิดของแต่ละฝ่ายทันที
ท่ามกลางพวกนางทั้งสาม หงอวี้แย้มยิ้มอ่อนหวานก่อนจะเอ่ยถาม
“โอ้ ใต้เท้าจูเหยียนเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ? นางโลมคนใดทำให้ท่านขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือ? ที่นี่ล้วนไม่มีคนนอก ขอเพียงท่านบอกมาว่านางผู้นั้นเป็นใคร แส้ม้าของพี่มั่วฉินก็พร้อมจะหวดลงหลังของนางทันที”
แม้จูเหยียนจะเหยียดหยามพวกนางโลมที่ใช้ร่างกายในการหาเงิน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีอุปนิสัยเหมือนเด็ก ดังนั้นเมื่อมีคนถามไถ่และต้องการระบายอารมณ์แทนเขา เขาจึงรีบสาธยายออกมาทันที
“ก็นางเด็กใหม่นั่นอย่างไรเล่า! ข้านำอาหารไปให้พวกนางด้วยความปรารถนาดี แต่นางกลับไม่กิน ซ้ำยังสาดมันลงบนตัวข้า ฮึ หากมิใช่เพราะนายท่านบอกว่านางเป็นสินค้าชั้นดีจากเมืองเลี่ยหยุนแล้วล่ะก็ ข้าจะสั่งให้ผู้คุมอดอาหารนางสักสามวันสามคืน!”
จูเหยียนเอ่ยเสียงกร้าวอย่างบันดาลโทสะ ทว่าหัวใจของหลินเมิ้งหยากลับกระตุกระรัว
นี่….จะต้องเป็นอาซิ่วอย่างแน่นอน!
พยายามสะกดกลั้นความดีใจของตนเอง แผนบางอย่างพลันปรากฏขึ้นในสมองของหลินเมิ้งหยา แต่นางกลับแสร้งแสดงท่าทางโกรธเกรี้ยว
“ใต้เท้าจูเหยียนได้โปรดระงับโทสะลงก่อนเถิด นางเด็กคนนั้นไม่รู้ฟ้าไม่รู้ดิน พวกเราไม่มีทางปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายแน่นอนเจ้าค่ะ พี่มั่วฉินของพวกเรามีร้อยพันวิธีทรมานนาง แม้นไม่ตายแต่ก็เลี้ยงไม่โต ยิ่งไปกว่านั้นภายนอกยังมองไม่เห็นพิรุธใดๆ ด้วยเจ้าค่ะ”
หลินเมิ้งหยาแสร้งทำท่าทางเสียดาย มั่วฉินเองก็ให้ความร่วมมือด้วยเช่นเดียวกัน เหตุเพราะนางเป็นผู้ลงโทษนางโลมที่ทำผิดกฎในหุยชุนฟางอยู่แล้ว
เด็กทุกคนล้วนหมกมุ่นในการแก้แค้น โดยเฉพาะเด็กเอาแต่ใจอย่างจูเหยียน
หากคนที่เขาดูแคลนบังอาจปีนเกลียว เขาย่อมไม่มีทางทนได้
ท่าทางเสียดายของหลินเมิ้งหยาราวกับต้องการจะสื่อว่าของที่เขาโปรดปรานที่สุดวางกองอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่เขากลับไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้อง
เด็กหนุ่มที่ใกล้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่มีหรือจะทนไหว แม้สีหน้าจะยังคงเย่อหยิ่ง แต่หัวใจกลับรู้สึกสนใจในตัวนางโลมนามว่าชิงเกอผู้นี้
“พวกเจ้ามีวิธีจัดการนางเด็กนั่นจริงหรือ?”
จูเหยียนหรี่ตา แสดงท่าทางเสมือนมิใส่ใจ ทว่ากลับมิอาจรอดพ้นสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสามไปได้
เมื่อเห็นว่าปลาติดเบ็ดแล้ว หลินเมิ้งหยาเริ่มปล่อยสายเบ็ดอีกครั้ง
“วิธีการหรือเจ้าคะ ย่อมมีอยู่แล้ว แต่น่าเสียดาย นางหาใช้นางโลมของพวกเราหุยชุนฟางไม่ แม้พี่มั่วฉินอยากจะระบายโทสะแทนท่าน แต่ก็มิอาจทำได้”
ดวงตาจูเหยียนกลอกกลิ้ง เด็กคนนี้มีแววเฉลียวฉลาดอยู่หลายส่วน เชิดหน้าสูงพลางเอ่ย
“เช่นนั้นเจ้าบอกวิธีการให้ข้าฟังก็ได้มิใช่หรือ? เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไปจัดการนางด้วยตัวเอง!”
มั่วฉินจะยอมได้อย่างไร นางเองก็เป็นยอดฝีมือเช่นเดียวกัน ดังนั้นนางจึงแสดงท่าทางลำบากใจ จูเหยียนที่ได้เห็นรู้สึกรำคาญยิ่งนัก เขาจึงกระแทกเสียงตะคอกนาง
“หาใช่ว่าข้าไม่อยากสอนท่าน แต่ทักษะเหล่านั้นถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ร่างกายของนางมีส่วนใดแตะต้องได้ ส่วนใดบ้างที่มิอาจแตะต้อง จุดใดบ้างที่จะไม่ทำให้นางเสียโฉม จุดใดบ้างที่ทำให้นางทรมานจนอยากตาย หากข้าบอกท่านไปในตอนนี้ เกรงว่าท่านจะต้องใช้เวลาฝึกฝนนานราวสิบวันจึงจะสำเร็จ หากท่านใจร้อนทำให้นางตาย เกรงว่านายท่านจะไม่ยอมอภัยให้ง่ายๆ ใต้เท้า ข้าไม่อยากทำร้ายท่าน”
มั่วฉินร้องบอกความทุกข์ในหัวใจของตนเอง จูเหยียนกลับเบะปาก ในใจเริ่มมีโทสะอยู่หลายส่วน
“ฮึ สตรีน่ารังเกียจเช่นพวกเจ้าล้วนชอบทำตัวมีลับลมคมใน ข้าไม่มีทางเชื่อพวกเจ้าเด็ดขาด! สินค้าชั้นเลิศแล้วอย่างไรเล่า ข้าจะรีบไปขอนายท่านให้จัดการนางเด็กนั่นเดี๋ยวนี้”
พูดจบจูเหยียนก็วิ่งออกไปด้วยความโมโหเต็มเปี่ยม
หงอวี้และมั่วฉินต่างคิดจะเข้าไปรั้งเขาเอาไว้ แต่กลับถูกหลินเมิ้งหยาร้องห้าม
มองตามทิศทางที่จูเหยียนวิ่งหนีไป หลินเมิ้งหยานั่งลงที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะเปิดกล่องข้าวด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“อาหารที่หุยชุนฟางหน้าตาไม่เลวเลย เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่นั่งลงเติมข้าวลงกระเพาะเล่า? ต้องมีแรงก่อนจึงจะสามารถไปช่วยคนได้มิใช่หรือ?”
ช่วยคน? แต่พวกนางเพิ่งจะล้มเหลวในการโน้มน้าวจูเหยียนมิใช่หรือ?