บทที่ 791 พ่อลูกเข้ากันดี
มู่หรูซินโมโหจนแทบจะหายใจไม่ออก
นางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางกับท่านกั๋วกงคบค้าสมาคมกันอย่างเบิกบานอยู่แท้ๆ จู่ๆ ท่านกั๋วกงก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ สั่งให้นางกลับไปเสียอย่างนั้น…
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
หรือว่ามีผู้ใดเป่าหูอะไรท่านกั๋วกง
ในขณะที่รถม้าขับออกจากจวนกั๋วกงราวสิบจั้ง มู่หรูซินก็ทอดสายตามองจวนกั๋วกงเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความไม่พอใจ
คิดไม่ถึงเลยว่า ภาพที่นางเห็นจะเป็นบรรดารถม้าของจวนกั๋วกง นำขบวนโดยรถม้าของใต้เท้ารองจิ่ง
ใต้เท้ารองจิ่งกลับบ้านตัวเองย่อมไม่ต้องลงจากรถม้า มีบ่าวรับใช้ของจวนมาเปิดประตูใหญ่ให้เขาอย่างนอบน้อม
ใต้เท้ารองจิ่งอุดอู้อยู่บนรถม้าจะตายอยู่แล้ว จึงเลิกม่านขึ้นเพื่อระบายอากาศ
วินาทีนั้นเอง มู่หรูซินก็เห็นเงาเด็กหนุ่มข้างกายของเขา
มู่หรูซินนัยน์ตาหรี่ลง
เจ้านั่น!
เซียวลิ่วหลัง!
เขามานั่งรถม้าของท่านรองจิ่งได้อย่างไร
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปในจวนกั๋วกง รถม้าสองคันข้างหลังเคลื่อนตามมาติดๆ
มู่หรูซินกลับไม่เห็นคนในรถม้าคันข้างหลังนั้น ทว่านั่นไม่สำคัญแล้ว นางใจจดจ่ออยู่ที่เซียวลิ่วหลัง
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็พลันขึ้นมาในหัว
มนุษย์ช่างเป็นสัตว์ที่แปลกประหลาดนัก แม้จะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ด้วยอารมณ์และความคาดหวังที่เปลี่ยนไป ข้อสรุปที่ได้กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
มู่หรูซินนึกย้อนไปถึงสถานะในจวนกั๋วกงของตัวเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าแรกเริ่มเดิมทีท่านกั๋วกงกับนางกลมเกลียวกันดีมาก ตั้งแต่ที่ไอ้คนแคว้นเจาที่มีนามว่าเซียวลิ่วหลังนั่นปรากฏตัวขึ้น ท่านกั๋วกงก็เริ่มห่างเหินกับนางไป
ท่านกั๋วกงเว้นระยะห่างกับนางมากขึ้น และเกิดขึ้นหลังจากที่ตนทะเลาะครั้งใหญ่กับเซียวลิ่วหลังตรงหน้าประตูตำหนักกั๋วซือด้วย
แต่ครานั้น ปรมาจารย์หมากรุกแห่งแคว้นทั้งหกหนุนหลังให้เซียวลิ่วหลังมิใช่รึ
เซียวลิ่วหลังไม่ได้เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย!
‘การทะเลาะครั้งใหญ่’ เป็นสิ่งที่มู่หรูซินคิดเอาเอง ความจริงนั้นกู้เจียวคร้านจะทะเลาะกับนางยิ่งนัก ไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ
เป็นนางเองที่เต้นเร่าๆ ไปเอง ผู้อาวุโสเมิ่งทนไม่ไหวจึงได้ตบหน้านางฉาดใหญ่อย่างแรง!
ส่วนที่บอกว่าท่านกั๋วกงกับนางกลมเกลียวกันนั้น ก็เป็นเพียงความเข้าใจผิดและคิดเพ้อเจ้อของนางเองคนเดียวเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ท่านกั๋วกงสลบไสลไม่ได้สติ คนหนึ่งนอนเป็นผัก คนหนึ่งสบายดี จะไปกลมเกลียวอะไรกับนางได้อย่างไร
ที่ท่านกั๋วกงมีท่าทีห่างเหินต่อนางหาใช่เพราะทราบเรื่องที่เกิดขึ้นที่หน้าตำหนักกั๋วซือไม่ แต่เพราะท่านกั๋วกงเขียนหนังสือได้แล้วต่างหาก!
อยากจะไล่นางไปเสียตั้งนานแล้ว!
ประโยคแรกที่ท่านกั๋วกงฟื้นขึ้นมาเขียนก็คือ ‘มู่หรูซิน ไล่นางออก’
จนใจที่เรี่ยวแรงมีไม่พอ เขียนได้แค่คำว่ามู่คำเดียว เจ้าจิ่งเฉิงคนทึ่มนั่นจึงเข้าใจผิดนึกว่าท่านกั๋วกงห่วงใยมู่หรูซิน
ฮูหยินรองก็เข้าใจเจตนาของท่านกั๋วกงผิด กอปรกับสาวใช้ข้างกายก็มักจะเพ้อเจ้อในสิ่งที่ไม่เป็นจริง ทำเอานางเชื่อหมดใจว่าต้องมีสักวันที่ตัวเองจะกลายเป็นคุณหนูแห่งจวนกั๋วกงได้
สาวใช้ถามอย่างฉงน “คุณหนู! ท่านกำลังมองใครอยู่หรือเจ้าคะ”
รถม้าเข้าไปในจวนกั๋วกงแล้ว ประตูใหญ่ก็ปิดลงแล้ว ด้านนอกไร้ผู้คนใด
มู่หรูซินปล่อยม่านลง เอ่ยเสียงเบา “เซียวลิ่วหลัง”
สาวใช้กดเสียงเบาเอ่ย “คนที่เป็น…บุตรบุญธรรมของท่านกั๋วกงน่ะหรือ”
มู่หรูซินคิ้วเรียวขมวดมุ่น “บุตรบุญธรรม บุตรบุญธรรมอะไร”
สาวใช้เอ่ยด้วยความตกใจ “อ๊ะ คุณหนูยังไม่รู้หรอกหรือเจ้าคะ ท่านกั๋วกงรับบุตรบุญธรรมไว้คนหนึ่ง แถมบุตรบุญธรรมคนนั้นยังเข้าร่วมการคัดเลือกผู้บัญชาการกองทหารม้าเฮยเฟิงด้วยนะเจ้าคะ ได้ยินว่าชนะอีกด้วย ภายหน้าท่านกั๋วกงก็จะมีบุตรที่เป็นผู้บัญชาการแล้ว คุณหนู ท่านว่าจวนกั๋วกงจะได้เปลี่ยนสถานะให้ดียิ่งขึ้นแล้วหรือไม่”
มู่หรูซินหน้าทะมึนขึ้นมา “เรื่องที่ท่านกั๋วกงรับบุตรบุญธรรมไยเจ้าไม่บอกแต่แรก”
สาวใช้ก้มหน้าลง ดึงผ้าเช็ดหน้าไปมาอย่างกระดากใจ “คุณหนูชอบไปที่เรือนฮูหยินรอง ข้าก็นึกว่าฮูหยินรองบอกท่านไปตั้งนานแล้ว…”
ฮูหยินรองไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ให้นางฟังเลยแม้แต่คำเดียว!
ปากบอกว่ารักเอ็นดูนางนักหนา ชื่นชมนางว่าทั่วทั้งแผ่นดินนี้หาใครเทียมมิได้ สุดท้ายกลับปกปิดนางไว้แม้แต่ข่าวการรับบุตรบุญธรรม!!
“เจ้าแน่ใจรึว่าเป็นเซียวลิ่วหลัง” นางถามเสียงเย็น
สาวใช้เอ่ย “มั่นใจเจ้าค่ะ ข้าได้ยินใต้เท้ารองจิ่งคุยกับฮูหยินรองเองกับหูเลย พวกเขาดีใจกันไม่น้อย บอกว่าคิดไม่ถึงเลยว่าไอ้คนผู้นั้นจะมีความสามารถจริงๆ ”
มู่หรูซินเดือดดาล ปัดถ้วยน้ำชาบนโต๊ะล้มกระจาย!
นางพยายามมาตั้งนานถึงเพียงนี้ เหตุใดที่อาจกลายเป็นบุตรสาวบุญธรรมของท่านกั๋วกงได้เสียที แต่กลับเป็นเซียวลิ่วหลังไอ้คนแคว้นระดับล่างต้อยต่ำไร้ยางอายนั่น ที่มาถึงก็กลายเป็นบุตรบุญธรรมของท่านกั๋วกงเสียอย่างนั้น!
นางเป็นคนรักษาอันกั๋วกงให้หายแท้ๆ เหตุใดไอ้คนที่นามว่าเซียวลิ่วหลังนั่นมันถึงได้ชุบมือเปิบ!
นางไม่พอใจ!
นางไม่ยอม!
…
จวนกั๋วกงกินพื้นที่มากที่สุด จวนของท่านกั๋วกงจึงแบ่งเป็นจวนตะวันตกกับจวนตะวันออก บ้านรองพักอยู่ที่เรือนตะวันตก อันกั๋วกงพักอยู่จวนตะวันออก ตอนนั้นท่านกั๋วกงคิดเผื่ออีกร้อยปีข้างหน้าสองพี่น้องอยู่ไกลๆ กันหน่อย จะได้กระทบกระทั่งกันน้อยๆ
ทำเอาบ้านรองโมโหใหญ่
ฮูหยินรองต้องการจะดูแลทั่วทั้งจวน ทุกวันต้องถ่อมากจากเรือนตะวันตก เหตุใดนางจึงได้ผ่ายผอมเพียงนั้นน่ะหรือ ล้วนเป็นเพราะความเหนื่อยล้าทั้งสิ้น
ท่านรองจิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง เหมือนหางน้อยติดตามพี่ใหญ่ไปทุกที่ พี่ใหญ่ไปไหนเขาไปด้วย
ก่อนจะมาอันกั๋วกงได้คุยเรื่องความต้องการของกู้เจียวกับนางแล้ว และจัดหาเรือนสามประตูไว้ให้ ห้องหับมีมากมายถึงขนาดพักได้ห้องละคนก็ยังเหลือเฟือ
รถม้าตรงมาจอดหน้าเรือนต้นเฟิง อันกั๋วกงรออยู่ในเรือนตั้งนานแล้ว
พวกอาจารย์แม่หนานลงมาจากรถม้า มองปราดไปเห็นอันกั๋วกงนั่งอยู่ใต้ต้นไห่ถัง
เขานั่งอยู่บนรถเข็น หันหน้ามาทางประตู แม้จะพูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ แต่ความปรีดาและชื่นมื่นของเขากลับฉายผ่านแววตาอย่างชัดเจน
อาจารย์หลู่ประคองอาจารย์แม่หนานเซียงเดินไปหา ก่อนจะคำนับให้อันกั๋วกง “ท่านกั๋วกง หลายวันนี้คงต้องรบกวนท่านแล้ว”
อันกั๋วกงเขียนบนที่พักแขน ‘ไม่รบกวน คนในครอบครัวของลูกหมาก็เหมือนคนในครอบครัวข้า’
ละ…ลูกหมาอย่างนั้นรึ
ทั้งคู่พลันนิ่งอึ้ง
ท่านทราบแล้วมิใช่หรือลิ่วหลังเป็นสตรี
ท่านชักติดใจกับการเล่นบทมีลูกชายแล้วหรือ
กู้เจียวไม่ได้ปิดบังคนในบ้านเกี่ยวกับการไปมาหาสู่กับอันกั๋วกง สิ่งเดียวที่ไม่ได้พูดไปคือเรื่องของยินยิน แต่เรื่องนี้นางก็ไม่ได้บอกแม้แต่อันกั๋วกงเสียด้วยซ้ำ
เอาเถิด อย่างไรเสียพวกเจ้าสองคนก็ยินดีเป็นพ่อ คนหนึ่งยินดีเป็นลูกชาย ก็เอาอย่างนี้ไปเถิด
“พ่อบุญธรรมคนนี้ของเจียวเจียวเก่งกาจจริงๆ ” อาจารย์หลู่เห็นลายมือบนที่พักแขน แล้วอดสะทกสะท้อนใจขึ้นมาไม่ได้
เพราะพวกเขายืนเผชิญหน้ากัน ดังนั้นเพื่อสะดวกพวกเขาในการอ่านลายมือ อันกั๋วกงจึงเขียนกลับหัวมาให้
“สมกับเป็นไข่มุกแห่งแคว้นเยี่ยน”
อาจารย์หลู่เอ่ยประโยคนี้ด้วยเสียงที่ดังขึ้น อันกั๋วกงจึงได้ยิน
อันกั๋วกงเขียนว่า ‘ไข่มุกแคว้นเยี่ยนอะไรหรือ’
อาจารย์หลู่ยิ้มเจื่อน “อ่า…คือ…”
อาจารย์แม่หนานยิ้มอธิบาย “เป็นที่เล่าลือกันในยุทธภพน่ะเจ้าค่ะ ว่าท่านปราดเปรื่องมีความสามารถ วิชาความรู้เป็นกระบุง ซ้ำยังรูปงามดุจเทพเซียน ราวกับดาวแห่งปัญญาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าลงมาจุติยังโลกมนุษย์ ชาวยุทธภพจึงขนานนามท่านว่า ไข่มุกแห่งต้าเยี่ยน”
ตำนานสมัยอันกั๋วกงหนุ่มๆ สูสีกับเซวียนหยวนเฉิงเลยก็ว่าได้ พวกเขาทั้งสองคนหนึ่งบุ๋น คนหนึ่งบู๊ เป็นบุคคลที่บุรุษทั่วทั้งแผ่นดินต่างอิจฉา และเป็นชายในฝันของหญิงทั่วทั้งแผ่นดินเช่นกัน
‘ไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนี้หรอก’
อันกั๋วกงเขียน
เขาหมายถึงคำเรียกขาน
พวกเขาล้วนเป็นผู้อาวุโสของกู้เจียว ลำดับอาวุโสเดียวกัน ไม่ต้องแบ่งแยกสูงต่ำหรอก
การพบหน้าคราแรกเป็นไปอย่างผ่อนคลาย เนื้อแท้ของอันกั๋วกงคือคนมีวิชาความรู้ แต่กลับไร้บรรยากาศห่างเหินและหยิ่งยโสเหมือนพวกปราชญ์เหล่านั้น เขาเป็นคนเข้าถึงได้ ใจกว้าง อ่อนโยน แม้แต่กู้เหยี่ยนที่จู้จี้ขี้จับผิดยังรู้สึกว่าเขาเป็นผู้อาวุโสที่น่าคบหา
กู้เจียวกับอาจารย์แม่หนานไปยังเรือนที่จัดสรรเอาไว้แล้ว อันกั๋วกงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้เงียบๆ ให้คนรับใช้กลับรถเข็นไปอีกทาง แบบนี้เขาจะได้เห็นกู้เจียวได้ตลอด
เห็นนางแล้วก็จะเบิกบานใจยิ่ง ราวกับได้สิ่งของล้ำค่ามากๆ ที่ทำหายไปกลับคืนมา หัวใจถูกเติมเต็ม
จู่ๆ กู้เหยียนก็ชะโงกศีรษะน้อยๆ ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่
“อันนี้ ให้ท่าน”
กู้เหยียนวางตุ๊กตาดินปั้นลงบนที่พักแขนฝั่งซ้ายของอันกั๋วกง
อันกั๋วกงเขียนลงบนที่พักแขนฝั่งขวาว่า ‘คืออะไรหรือ’
กู้เหยี่ยนอ้อมมาหยุดตรงหน้าเขา นั่งยองๆ ลง จิ้มตุ๊กตาดินปั้นบนที่พักแขนเล่นพลางเอ่ย “ของขวัญพบหน้า ข้าทำเอง”
เรียนงานฝีมือกับอาจารย์หลู่มาตั้งนาน กู้เสี่ยวซุ่นสืบทอดวิชาของอาจารย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ กู้เหยี่ยนได้แต่เล่นดินเป็นเท่านั้น
กู้เหยี่ยนเหลือบตาขึ้นมองเขาพลางถาม “ข้าปั้นพี่สาวข้า ชอบหรือไม่”
ที่แท้ก็รูปคนนี่เอง… อันกั๋วกงสีหน้าหดหู่ เกือบจะนึกว่าเป็นลิงเสียแล้ว
หลังจากเก็บกวาดห้องเรียบร้อย กู้เจียวก็ต้องกลับตำหนักกั๋วซือแล้ว ประการแรก ต้องการจะดูอาการบาดเจ็บของกู้ฉังชิง ประการที่สอง จะได้รับท่านย่ากับท่านปู่มาด้วย
อันกั๋วกงจะไปส่งนางที่หน้าประตู
กู้เจียวเข็นรถเข็นของเขาเดินไปทางประตูใหญ่ ครั้นผ่านเรือนงดงามหลังหนึ่ง กู้เจียวก็ถามโดยสัญชาตญาณ “นั่นเป็นเรือนของใครหรือ”
อันกั๋วกงเขียน ‘ของยินยิน อยากเข้าไปดูหรือไม่’
“อื้อ” กู้เจียวพยักหน้า
คนรับใช้พาดกระดานไว้บนธรณีประตู จะได้เข็นรถขึ้นลงสะดวก
กู้เจียวเข็นอันกั๋วกงเข้าไป
แม้ว่านี่เป็นเรือนของยินยิน แต่จิ่งยินยินยังไม่ทันจะย้ายเข้ามาก็จากโลกไปเสียก่อน
ภายในเรือนแขวนชิงช้าไว้สองตัว ปลูกดอกกล้วยไม้ไว้จำนวนหนึ่ง งดงามแปลกใหม่มาก
อันกั๋วกงพากู้เจียวชมเรือนหน้าแล้ว ก็ไปดูห้องนอนของยินยินต่อ
นี่เป็นห้องที่หรูหราประณีตละเอียดลออที่สุดที่กู้เจียวเคยเห็นมา ไข่มุกตะวันออกทุกเม็ดล้วนมีมูลค่าเทียบเท่าเมือง
“ของพวกนี้คือ…” กู้เจียวชี้อาวุธเล็กๆ หน้าตาแปลกประหลาดบนชั้นวางอาวุธพลางถาม
อันกั๋วกงเขียน ‘ล้วนเป็นของขวัญที่ท่านตาของยินยินมอบให้นาง’
สายตากู้เจียวตกลงบนม้วนภาพ “มอบภาพเหมือนให้ด้วยหรือ ข้าขอดูได้หรือไม่”
อันกั๋วกงเขียนโดยไม่ลังเล ‘ได้อยู่แล้ว ภาพเหมือนนี้ส่งมาพร้อมกับดาบและธนูในหีบ น่าจะไม่ทันระวังใส่มาผิด’
เขาอยากส่งกลับคืน เสียดายที่ไม่มีโอกาสแล้ว
ของในหีบนี้เซียวหยวนลี่ส่งมาให้ก่อนออกรบ ครั้นได้พบกันอีกครา เซวียนหยวนลี่ก็กลายเป็นศพเย็นชืดแล้ว
กู้เจียวเปิดภาพเหมือนออกดู พลันชะงักงันไป
เอ๋
นี่มันภาพเหมือนที่เคยเห็นในหอตำราที่ป่าไผ่ม่วงมิใช่หรือ
เป็นแม่ทัพในชุดเกราะคนหนึ่ง มือถือหอกพู่แดงของเซวียนหยวนลี่ หน้าตาเว้นไว้ไม่ได้วาด
“นี่ใช่เซวียนหยวนลี่หรือไม่” กู้เจียวถาม
“ไม่ใช่” อันกั๋วกงบอก “ตาของยินยินไม่มีเกราะชุดนี้”
ชุดเกราะที่มีชื่อเสียงที่สุดของเซวียนหยวนลี่คือชุดเกราะทองคำของเขา นอกจากนี้เกราะเงินกับเกราะดำก็มีอยู่หลายชุด แต่ล้วนไม่ใช่ชุดนี้
กู้เจียวโคลงศีรษะน้อยๆ
แล้วคนผู้นี้เป็นใครกันเล่า
เหตุใดเขาจึงมีอาวุธของเซวียนหยวนลี่ได้
แล้วเหตุใดกั๋วซือกับเซวียนหยวนลี่จึงต่างเก็บภาพเหมือนของเขาเอาไว้
เขาจะเป็นรูปปั้นตัวที่สามที่ร่วมสาบานเป็นพี่น้องในป่าท้อกับเซวียนหยวนลี่และกั๋วซือหรือไม่
ซึ่งเป็นคนที่กั๋วซือบอกว่าสำคัญมาก เป็นทั้งสหายเป็นทั้งอาจารย์