บทที่ 503 มีข้าไม่มีเขา
บทที่ 503 มีข้าไม่มีเขา
หลังจากเข้าไปด้านในเผ่าแล้ว พวกเขาก็พบว่าเสี่ยวเป่าดูจะคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างมาก
เนื่องจากเกือบทุกคนที่เดินผ่านไปมาต่างทักทายนางด้วยความเคารพ
พี่ชายทั้งสองเห็นแล้วก็ประหลาดใจ น้องหญิงของพวกเขาช่างยอดเยี่ยมในด้านการผูกมิตรจริง ๆ
“หาไหมเหมันต์พบแล้ว เสี่ยวเป่าเก็บเอาไว้อยู่ ส่วนโสมเหมันต์ที่มีอายุเพียงพออยู่ในเผ่า ทว่าพวกเขาบูชามัน จึงไม่อาจส่งมอบให้พวกเราโดยง่าย อีกทั้งพวกเขาไม่รู้เรื่องยา ทำให้ไม่ได้เก็บดูแลรักษาอย่างดีนัก สรรพคุณทางยาบางส่วนอาจหายไป เสี่ยวเป่าเลยต้องการจะลองดูก่อนว่าหาอันใหม่ได้หรือไม่ เดิมทีข้ากำลังออกไปตามหา ไม่คาดว่าจะได้พบพวกท่านเสียก่อน”
เสี่ยวเป่าเล่าเรื่องราวชีวิตตนเองภายในเผ่าให้ท่านพ่อและพวกพี่ชายฟังด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว
“ท่านพ่อ รอกลับไปแล้วกู่ในตัวท่านจะต้องถูกกำจัดอย่างแน่นอน!”
หนานกงสือเยวียนหลุบตาลง ลูบหัวน้อย ๆ ของนาง
“รออีกหน่อยก็ไม่เป็นอะไรหรอก ไยเจ้าจึงต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้”
เสี่ยวเป่ากล่าวทันที “ไม่ได้ ยิ่งเวลาผ่านไปโอกาสเปลี่ยนแปลงยิ่งมาก เสี่ยวเป่าไม่อยากให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับท่านพ่อ”
เสี่ยวเป่าจับมือบิดา นี่คือคนสำคัญที่สุดในโลกของนาง เช่นนั้นจะยอมให้เกิดเรื่องขึ้นได้อย่างไร
พวกเขาพากันเข้าไปในกระโจมพลางสนทนาอย่างต่อเนื่อง
หนานกงฉีหลิงพลันเอ่ยออกมา “ใช่แล้ว เสี่ยวเป่า เจ้าอายุสิบเอ็ดปีแล้ว ข้ายังไม่ได้ให้ของขวัญเจ้าเลย”
เสี่ยวเป่าเกาหัว “ผ่านมานานถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ดินฟ้าอากาศในฉางเซิงเทียนแตกต่างจากภายนอก นางไม่อาจจดจำวันเวลาได้ และไม่อาจใช้สภาพแวดล้อมที่นี่บอกระยะเวลาได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว
ไม่คาดคิดว่าเวลาจะผ่านไปถึงปีแล้ว
นางโตขึ้นอีกปีเป็นที่เรียบร้อย
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นค่อยฉลองวันเกิดครั้งต่อไปก็ได้ อย่างไรเสียก็มีทุกปี”
เสี่ยวเป่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ หลังจากนั้นจึงเริ่มเอ่ยกับท่านพ่อและเหล่าพี่ชายเกี่ยวกับความต้องการจะทำการค้าขายระหว่างฉางเซิงเทียนกับต้าเซี่ย
นางแสดงของล้ำค่าที่แลกเปลี่ยนมาจากฉางเซิงเทียนให้พวกเขาดู
การค้าขายเป็นเรื่องรอง ประเด็นสำคัญที่แท้จริงอยู่ที่การผูกมิตรอันดีระหว่างเผ่าฉางเซิงเทียนและต้าเซี่ย
แม้ว่าเผ่าฉางเซิงเทียนจะมีคนน้อย แต่ทุกคนล้วนห้าวหาญแข็งแกร่ง หากไม่เป็นศัตรูด้วยย่อมดีที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่นี่มีนิสัยซื่อตรงสลักอยู่ในกระดูก แม้ตายก็ไม่อาจจากฉางเซิงเทียนไป อย่างน้อยที่สุดภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ไม่ส่งผลกระทบใดต่อต้าเซี่ยอย่างแน่นอน
หนานกงสือเยวียนยกมือขึ้นลูบหัวน้อย ๆ ของนางพร้อมเอ่ยชื่นชม “ทำได้ดีมาก”
เขาย่อมมองออกถึงการต่อต้านคนนอกของที่นี่ ยามนี้ที่พวกเขาถูกยอมรับอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดล้วนเป็นผลงานของเสี่ยวเป่า
เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าเด็กน้อยตัวเล็กเพียงนี้จะสามารถทำเช่นนี้ได้
“ว่าแต่ พวกเจ้าทั้งสองมีเรื่องอะไรกัน”
เสี่ยวเป่าหันมองไปทางทั้งสองคนที่เอ่ยถึง รู้สึกกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องชาติก่อนของนางที่เยว่หลีพูดออกมา
เยว่หลีถาม “ให้พูดตอนนี้หรือ”
เสี่ยวเป่ามองพี่ชายทั้งสองของนาง จากนั้นก็มองกลับไปยังท่านพ่อ
ท่านพ่อรู้ตัวตนของนาง แต่พี่ชายทั้งสองไม่รู้
เรื่องนี้ควรเปิดเผยหรือไม่
“พูดเถิด”
หนานกงสือเยวียนพยักหน้า ชาติก่อนของเสี่ยวเป่าไม่มีเรื่องใดน่าละอาย เพราะเสี่ยวเป่าก็เป็นเทพธิดาตัวน้อยกลับชาติมาเกิดจริง ๆ
เยว่หลีมองไปทางเสี่ยวเป่า “ก่อนหน้านี้ข้าจำบางอย่างขึ้นมาได้ นั่นเป็นชาติก่อนของข้า”
หนานกงฉีอิงและหนานกงฉีหลิงมีสีหน้าฉงน ชาติก่อนบ้าบออะไรกัน
“ชาติก่อนข้าเป็นมังกรวารีทมิฬตนหนึ่ง”
เสี่ยวเป่านิ่งค้างไปชั่วครู่ จากนั้นดวงตาพลันเบิกกว้าง
“เจ้า เจ้า เจ้า… เป็นเจ้า!!!”
มังกรวารีทมิฬที่ถูกฟ้าผ่าจนกลายเป็นจุณ ทว่า…
“เจ้าไม่ได้มีตัวสีดำหรือ”
ตอนนี้ไยจึงขาวเพียงนี้!
สีหน้าเยว่หลีมืิดมนเล็กน้อย
“เป็นเพราะเทียนเต้าเปิดเส้นทางให้เจ้า วิญญาณของข้าเองก็ติดตามไปด้วย แต่เพราะข้าทนผ่านทัณฑ์สวรรค์ทั้งหมดมาแล้ว จึงสามารถเลื่อนขั้นกลายเป็นมังกรที่สมบูรณ์ได้ เมื่อมาถึงโลกแห่งนี้ เนื่องจากโชคชะตาทั้งหมดที่นี่ล้วนผูกติดอยู่บนร่างเสด็จพ่อของเจ้า การมาถึงของข้าเป็นการทำลายสมดุล ดังนั้นเพื่อความมั่นคงของโลกใบนี้ วิญญาณของข้าต้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน”
สองส่วนที่ว่าเพียงแค่ดูก็รู้ได้ชัดยิ่ง
เยว่หลียิ้มเหยียดมองอานั่วซือ “เจ้านี่มีเพียงกำลังป่าเถื่อนแต่ไม่มีสมอง”
อานั่วซือกัดฟัน “เจ้าไก่อ่อน!”
จากคำบอกเล่าของเยว่หลี เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นคนเดียวกัน ทว่า… ต่างฝ่ายต่างดูขัดหูขัดตากันยิ่งนัก
เสี่ยวเป่าตกตะลึงโดยสมบูรณ์
เป็น… เป็นเช่นนี้เองหรือ
เยว่หลีกล่าวต่อ “เพราะเจ้า ทำให้พวกข้ายังมีหนทางรอดไม่ต้องตายตก ดังนั้นจึงมีผลกรรมผูกติด เลยย่อมใกล้ชิดกับเจ้าโดยธรรมชาติ”
อันที่จริง มาตอนนี้พอเขาย้อนนึกถึงความยึดติดในช่วงไร้ความทรงจำที่มีต่อเสี่ยวเป่า ก็พลันรู้สึกอับอายขึ้นมา
ทว่ายามนั้นทั้งความทรงจำและจิตใจของเขาเป็นผ้าขาวเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง มีความรู้สึกใกล้ชิดกับเสี่ยวเป่าที่ช่วยชีวิตเอาไว้เท่านั้น
บางทีอาจเป็นจิตใต้สำนึกของลูกนก*[1]
เยว่หลีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะชดใช้ผลกรรมให้เจ้า แต่ก่อนอื่นข้าอยากจัดการกับเจ้านี่เสียก่อน”
ชายหนุ่มชี้ไปทางอานั่วซือ
อานั่วซือกัดนิ้วของเขา ก่อนจะโยนเยว่หลีออกจากกระโจมด้วยความโกรธเกรี้ยว
ใครจัดการใครกันแน่ เจ้าไก่อ่อน!
เยว่หลีส่งเสียงร้องออกมา ยามนั้นตอนแบ่งวิญญาณออกจากกันมีปัญหาเล็กน้อย เขาในตอนนี้มีสมองฉลาดเฉลียว มีพรสวรรค์ด้านการจำไม่ลืมและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ในด้านร่างกายกลับมีข้อบกพร่อง สิ่งเดียวที่ทำได้ดีคือการขี่ม้ายิงธนูอันเป็นผลจากการฝึกฝนมาเป็นระยะเวลานาน
ส่วนอานั่วซือนั้นมีพรสวรรค์สมบูรณ์ด้านร่างกาย แข็งแกร่งคล่องแคล่วทั้งยังทรงพลัง อย่าได้มองว่าร่างกายของเขาดูไม่แข็งแรงมากนัก แท้จริงแล้วเอ็นและกระดูกไม่อาจเอาร่างของมนุษย์มาเปรียบเทียบได้เลย
ทั้งสองควรเป็นคนคนเดียวกัน แต่ถูกเทียนเต้าแยกออก ความจริงแล้วตอนนี้เยว่หลีก็ไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก
ภายในกระโจม พี่ชายทั้งสองกำลังอยู่ในสภาพข้าเป็นใครแล้วที่นี่ที่ใดโดยสมบูรณ์
พวกเขาได้ยินชัดเจน แต่ก็เหมือนไม่เข้าใจสิ่งใดเลย ทึ่มทื่อไปอย่างสิ้นเชิง
เสี่ยวเป่าเองก็ยังคงรู้สึกยุ่งเหยิง ใบหน้าน้อย ๆ ยับย่น ไม่ได้คาดคิดแม้แต่น้อยว่าเยว่หลีกับอานั่วซือจะเป็นคนคนเดียวกัน และไม่ได้คาดคิดยิ่งกว่าว่าพวกเขาจะเป็นตัวการที่ทำให้นางทะลุมิติมายังโลกใบนี้
หนานกงสือเยวียนเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นจักรพรรดิ ฟื้นสติควบคุมอารมณ์กลับมาได้อย่างรวดเร็ว
“นั่นเป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสองคน เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก”
ไม่ใช่เสี่ยวเป่าที่แบ่งวิญญาณของเขาออกเป็นสองส่วน อีกทั้งให้กล่าวแล้ว พวกเขานับได้ว่าติดหนี้กรรมกับเสี่ยวเป่าเอาไว้จริง ๆ ดังนั้นย่อมไม่ทำร้ายนางแน่
เสี่ยวเป่าเองก็คิดเช่นนี้ นางจึงไม่ได้กังวลอะไรมาก
เพียงแต่…
“น่าอัศจรรย์จริง ๆ เยว่หลีกับอานั่วซือเป็นคนเดียวกัน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทั้งสองคนไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดแต่กลับดูเหมือนกันยิ่ง”
เดี๋ยวก่อน…
เขายังไม่ได้ตอบว่าเหตุใดตนเองถึงมีสีขาว ไม่ใช่สีดำ
เยว่หลีที่อยู่ด้านนอกลุกขึ้นเดินกลับเข้ามาในกระโจมอีกครั้งเพื่อตอบคำถามของเสี่ยวเป่า
“หลังกลายเป็นมังกรแล้วเส้นขนกับเขาของข้าเป็นสีขาว”
“เจ้าไม่ได้กลายเป็นมังกรไม่ใช่หรือ”
“กลายเป็นมังกรเรียบร้อย แต่ตายแล้ว”
เขาเกือบดับสูญ ยังดีที่เทียนเต้าเปิดเส้นทางให้ภูตพฤกษาตัวน้อยทันเวลา วิญญาณของเขาเลยหลบเข้ามาได้ทัน
แต่เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป อีกทั้งวิญญาณยังถูกแบ่งเป็นสอง เขาจึงสูญเสียความทรงจำ
หลังจากที่ร่างกายฟื้นตัว ความทรงจำก็ค่อย ๆ กลับมา สิ่งแรกที่เขาต้องการจะทำคือตามหาอีกร่างของตนเอง แต่ยังไม่รู้ว่าจะสามารถหาวิธีผสานกันได้หรือไม่
อันที่จริงเขาวางแผนว่าหากสังหารอีกร่างทิ้งจะสามารถผสานวิญญาณเข้ามาได้หรือไม่ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าอีกร่างหนึ่งจะมาข้องเกี่ยวกับเสี่ยวเป่าด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นยังแข็งแกร่งเกินไป ดูแล้วไม่น่าสังหารได้เลย
นับเป็นเรื่องยุ่งยากมาก
ความจริงเยว่หลีรู้สึกได้ว่าอานั่วซือก็พร้อมจะลงมือสังหารเขาเช่นเดียวกัน
เยว่หลี : เช่นนั้นต้องคิดหาหนทางสังหารเขาให้ได้ก่อน!
สักพักใหญ่ พี่สี่และพี่ห้าถึงค่อยประมวลผลได้ว่าน้องหญิงของพวกเขาเป็นภูตพฤกษากลับชาติมาเกิด
เสี่ยวเป่าพาท่านพ่อเข้าไปสร้างความสัมพันธ์กับหมอผีและหัวหน้าเผ่า ถือโอกาสหาโสมเหมันต์ไปด้วย
ส่วนเยว่หลีกับอานั่วซือนั้น… ล้วนต่างคิดหาวิธีสังหารอีกฝ่าย
ครั้งแรกยามอานั่วซือออกไปล่าสัตว์ เยว่หลีโปรยผงล่อสัตว์ลงบนร่างทำให้เขาถูกสัตว์ร้ายรุมโจมตี
ทว่าด้วยร่างกายที่แข็งแรง ทำให้สามารถตีฝ่าวงล้อมออกมาได้ แม้จะได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ถึงตาย
แต่เยว่หลีระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ขณะที่อานั่วซือกำลังลงมือกับหมอนบนเตียงที่ถูกผ้าห่มคลุมเอาไว้ เยว่หลีก็วิ่งไปฟ้องเสี่ยวเป่า อานั่วซือจึงไม่กล้าลงมืออีก
ทั้งสองต่างขัดหูขัดตากันเป็นอย่างยิ่ง
เสี่ยวเป่ารู้สึกเหนื่อยใจ “พวกเจ้าทั้งสองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสู้กันจนตายไปข้างหรือ”
เยว่หลีตอบ “ถ้าเช่นนั้นยังมีวิธีสุดท้ายอยู่”
เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วเหยียดยิ้มมองอานั่วซือ
“ข้าจำค่ายกลหนึ่งได้ สามารถผสานวิญญาณที่แยกจากให้เป็นหนึ่ง แต่ยังต้องรับทัณฑ์สวรรค์ผ่าลงมาอีกหน สุดท้ายใครจะอยู่จะตายก็ขึ้นอยู่กับประสงค์ของสวรรค์แล้ว”
เสี่ยวเป่ากล่าว “ที่จริงก็ไม่จำเป็น พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ทั้งสองคนก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
ทว่าทั้งสองต่างร้องออกมาพร้อมกัน “ไม่ได้ มีข้าไม่มีเขา!”
บรรยากาศราวกับมีเพลิงสงครามอันดุเดือดลุกโหม
เสี่ยวเป่า : …นี่ไม่จำเป็นเลยจริง ๆ
[1] จิตใต้สำนึกของลูกนก เป็นพฤติกรรมของลูกสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ปีก เมื่อออกจากไข่มาจะคิดว่าสิ่งแรกที่เห็นคือมารดาของตน