รูบนกำแพงนั้นมีขนาดไม่ใหญ่ แต่หากคลานไปทีละคนยังมีช่องว่างเหลืออีกมาก บริเวณรอบด้านภายในรูไม่เหมือนดินโคลน หากแต่เป็นกำแพงหินที่เย็นราวหยก สิ่งสำคัญคือสิ่งที่แผ่ออกมาจากกำแพงหินนั้นไม่ใช่พลังปีศาจ แต่เป็นพลังที่ทำให้พวกเขารู้สึกสบายอย่างมาก ราวกับสามารถเกื้อหนุนพลังลมปราณภายในร่างกายของพวกเขา พลังลมปราณที่สูญเสียไปฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว
แทบจะเป็นชั่วขณะที่พวกเธอคล้ายเข้าไป ด้านนอกก็มีเสียงการเลื้อยคลานดังขึ้น ปีศาจงูจากไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ทั้งสองคน: “…” ควรจะบอกว่าใจกว้างเกินไปหรือไม่ เขาไม่คิดแม้แต่จะรอดูก็หันหลังจากไป ไม่กลัวว่าทันทีที่เขาจากไป พวกเธอจะถอยออกมาเหรอ อวิ๋นเจี่ยวระอาเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีทีท่าจะถอยออกไป
“เจ้าหนู ปีศาจงูนั้นจากไปแล้ว พวกเราออกไปหรือไม่” เมื่อพบว่าปีศาจงูด้านนอกจากไปแล้ว ชายแก่จึงถามขึ้นเสียงเบา
“ไม่ พวกเราเข้าไปดูด้านใน!” เพราะจากคำพูดของปีศาจงูนั้นสามารถเห็นได้ว่านายท่านที่เขาพูดถึงคือเทพปีศาจที่พวกเขาตามหาเทพปีศาจ เพียงแต่เทพปีศาจแตกต่างจากสิ่งที่เขาได้ยินมาจากจี้เฟิง คนหนึ่งบอกดับสูญ อีกคนบอกหลับใหล แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน อย่างน้อยพวกเขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย “อาวุธคำสาปของอาจารย์ปู่อาจอยู่ภายในตำหนักแห่งนี้”
“ได้” ชายแก่พยักหน้า พร้อมคลานไปด้านหน้าต่อ สักพักราวกับนึกบางอย่างได้จึงพูดขึ้น “จริงสิ เจ้าหนูเมื่อกี้เจ้าพูดอะไรกับปีศาจงูนั้น เจ้าฟังสิ่งที่เขาพูดออกหรือ”
อวิ๋นเจี่ยวชะงักไป ก่อนจะมองไปด้านหน้าอย่างฉงน “เมื่อกี้ข้า…พูดภาษามนุษย์!”
“เอ๊ะ? ไม่ใช่!” ชายแก่เองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เขาคลานกลับมาทันที “ข้าได้ยินเจ้าพูดภาษาที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้าไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว ข้าเข้าใจว่าเจ้ารู้ภาษางูเสียอีก”
“ก่อนหน้านั้นล่ะ? เหล่าหมาป่ากะโหลก และสัตว์ประหลาดยักษ์ชิวอูนั้น เจ้าก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พวกมันพูดหรือ” อวิ๋นเจี่ยวถามอีกครั้ง
“เอ๊ะ? พวกมันพูดได้ด้วยหรือ” ชายแก่ยิ่งตกตะลึง “ข้าได้ยินเพียงเสียงร้องแปลกประหลาดของพวกมัน!”
“…” อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึงอย่างมาก ทั้งที่เธอไม่รู้สึกว่าภาษาของอีกฝ่ายแตกต่างจากพวกเขา แต่จากมุมมองของชายแก่กลับแปรเปลี่ยนเป็นอีกภาษาหนึ่ง เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เธอขมวดคิ้ว คิดหาสาเหตุไม่เจอภายในเวลานั้น ทำได้เพียงมุ่งหน้าต่อไป แต่รูนั้นเหมือนจะมีขนาดกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย จากตอนแรกที่ทำได้เพียงหมอบคลานนั้น เวลานี้พวกเธอสามารถลุกขึ้นเดินได้แล้ว
บนกำแพงหินข้างตัวนั้นก็ปรากฏแสบงสีม่วงอย่างเลือนลาง ราวกับเปิดไฟกลางคืนสีม่วง ส่องสว่างให้โดยรอบกลายเป็นสีม่วงอ่อน อวิ๋นเจี่ยวแยกไม่ออกว่ากำแพงหินรอบด้านทำมาจากวัสดุอะไร แต่มันมีผิวสัมผัสที่เรียบและลื่น ดูแล้วไม่เหมือนถูกตีทะลุเข้ามา หากแต่ผ่านการสร้างขึ้นโดยเฉพาะ อีกทั้งแสงสีม่วงพวกนี้ก็มีความแปลกประหลาด
“เจ้าหนู…” ชายแก่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ “แสงสีม่วงเหล่านี้มีปัญหาใช่หรือไม่ เหตุใดเมื่อถูกพวกมันส่องเข้า พลังลมปราณในตัวของข้าก็ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด”
อวิ๋นเจี่ยวสัมผัสตันเถียรของตนเอง ไม่เพียงชายแก่ แม้แต่พลังลมปราณภายในร่างกายของเธอก็ฟื้นคืนกลับมากว่าครึ่ง เส้นชีพจรเสวียนของเธอมาจากอาจารย์ปู่ นอกจากครั้งก่อนที่ดูดกลืนพลังเทพเข้าไปแล้ว ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่กินจนเต็มอิ่ม แต่แสงสีม่วงเหล่านี้กลับมีความเข้มข้นเสียยิ่งกว่าพลังเทพ
“ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่” เส้นชีพจรเสวียนของเธอมีความพิเศษจึงไม่จำเป็นต้องกังวล แต่ชายแก่ไม่เหมือนกัน พลังที่เข้มข้นเกินไป เส้นชีพจรเสวียนไม่อาจซึมซับได้
“ไม่มี!” ชายแก่ส่ายหัว เขาไม่เพียงไม่มีปัญหา แม้แต่กำลังก็มีแนวโน้มที่จะบรรลุไปอีกขั้น
อวิ๋นเจี่ยวจับชีพจรของเขาอย่างไม่วางใจ หลังจากที่พบว่าไม่มีความผิดปกติจึงโล่งอก เธอมองไปรอบด้านอย่างระแวง “พวกเรารีบเข้าไป ตามหาอาวุธคำสาปให้พบก่อน”
ชายแก่พยักหน้า ทั้งสองคนเร่งความเร็วในการเดินทาง
พวกเธอไม่ได้เดินเป็นเวลานานมาก ราวยี่สิบนาทีพวกเธอก็มาถึงสุดทาง บริเวณตรงหน้าปรากฏประตูไม้เรียบง่ายบายหนึ่ง เมื่อเทียบกับประตูหินที่มีแกะสลักค่ายกลซับซ้อนมากมายที่หน้าตำหนักนั้น ประตูไม้บานนี้เรียบง่ายอย่างมาก ดูจากสภาพแล้วเหมือนใช้แผ่นไม้ปะติดปะต่อเข้ากันอย่างไม่ใส่ใจ เอาไว้เพื่อปิดเอาไว้เท่านั้น
ชายแก่ผลักออกเบาๆ ประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย ด้านในคือตำหนักที่มีลักษณะหรูหราโอ่อ่า ภายในตำหนักมีขนาดใหญ่มาก มีเสาสูงหลายสิบต้นตั้งอยู่ บนเสามียันต์อักขระสีทองอยู่ ดูแล้วมีอายุยาวนาน
ภายในตำหนักเต็มไปด้วยอาวุธวิเศษนานาชนิด อีกทั้งยังมีสิ่งของที่ไม่ทราบชื่ออีกมากมาย กองอยู่ทั่วพื้น แต่ละชิ้นล้วนมีพลังที่น่าตกตะลึง มีพลังเซียน พลังปีศาจ หรือแม้กระทั่งพลังเทพ สิ่งที่มีมากที่สุดคือพลังที่มองไม่ออกว่าคือพลังอะไร
ตรงกลางของตำหนักใหญ่คือพลังสีม่วงที่ก่อตัวกัน บนก้อนพลังนั้นมีร่างที่นอนราบลอยอยู่เหนืออากาศ แสงสีทองทั่วทั้งท้องฟ้าสาดส่องลงมาจากยอดตำหนักกระทบเข้ากับร่างที่กำลังหลับใหล ทำให้อีกฝ่ายดูเหมือนกำลังเปล่งประกายแสงสีทอง
ชายแก่และอวิ๋นเจี่ยวเงยหน้ามองร่างที่อยู่เหนืออากาศนั้น คาดว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นนายท่านที่กำลังหลับใหลของปีศาจงูนั้น
“เขาคือเทพปีศาจหรือ” ชายแก่ตบหัวใจที่สั่นเทาเล็กน้อย “เขา…คงไม่ตื่นขึ้นมากะทันหันใช่หรือไม่!”
“คงจะไม่” ไม่ง่ายเช่นนั้น
“เช่นนั้น…อาวุธคำสาปจะอยู่ที่นี่จริงหรือ” ไป๋อวี้มองไปยังกองอาวุธและสิ่งของมากมายกลางตำหนัก ชิ้นไหนกัน
“คงจะใช่” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “ลองหาดูเถิด ในเมื่อเป็นอาวุธที่ลงคำสาปต่ออาจารย์ปู่ เช่นนั้นด้านบนคงต้องมีพลังของอาจารย์ปู่หลงเหลืออยู่”
“ได้!” ชายแก่พยักหน้า ก่อนจะชี้ไปด้านข้าง “ข้าเริ่มหาจากทางซ้าย!”
“ระวังกับดัก!” อวิ๋นเจี่ยวกำชับ ก่อนจะหันไปหาทางด้านขวา ทั้งสองคนแยกย้ายกันไปคนละด้าน เริ่มต้นการค้นหาด้วยคาถาค้นหา แต่หลังจากที่พวกเขาใช้คาถาค้นหาติดต่อกันไปหลายรอบ ก็ยังค้นหาสิ่งของที่มีพลังของอาจารย์ปู่ไม่พบ
อวิ๋นเจี่ยวกำมือแน่น หรือว่าเธอเดาผิด หรือว่ามาผิดที่
“เจ้าหนู ดูเร็ว!” ชายแก่ชี้ไปยังพลังสีม่วงเหนืออากาศนั้น ก่อนจะอุทานออกมา!
อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้ามองไปตามทิศทางที่เขาชี้ มองไปยังเทพปีศาจที่กำลังหลับใหลอยู่เหนืออากาศ เห็นเพียงแต่ภายในพลังสีม่วงที่ประคองตัวของอีกฝ่ายเอาไว้ มีหยกสีขาวชิ้นหนึ่งห้อยลงมา ส่วนอีกด้านผูกติดไว้บนตัวของ เทพปีศาจ บนหยกไม่มีพลังพิเศษอันใด เพียงแต่ด้านบนแกะสลักตัวอักษรที่โดดเด่นอย่างมาก...เยี่ยยวน!
อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึงเล็กน้อย ยังไม่ต้องพูดถึงอาวุธคำสาปของอาจารย์ปู่จะอยู่บนตัวของเทพปีศาจ แค่เพียงเรื่องการเขียนชื่อไว้ด้านบนนี้ก็แสดงถึงความใจใหญ่ของอีกฝ่าย นี่เป็นเหมือนการใบ้อย่างชัดเจน!
“ไม่รู้ว่าด้านบนมีค่ายกลใดหรือไม่ ข้าเข้าไปดู” อวิ๋นเจี่ยวกำชับ ไม่ว่ามีกับดักหรือไม่ เธอต้องเอาสิ่งนี้มาให้ได้ ดังนั้นจึงส่งยันต์ขนส่งให้ชายแก่ใบหนึ่ง “ท่านเตรียมไว้ให้ดี รอข้าหยิบอาวุธคำสาปได้ ท่านรีบกระตุ้นยันต์ พวกเรากลับเขตหมิ่นเฟิน!”