บทที่ 790 คลั่งลูกสาว (2)
ทั้งสามคนจึงขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ข้างนอกเพื่อออกเดินทาง
พอมาถึงสถานที่นัดหมาย นายหน้าก็รีบประสานมือด้วยความเกรงใจ เขาไม่ได้ถามเซียวเหิงถึงท่านชายตัวใหญ่ตัวเล็กอีกสองคนที่มาด้วยกันว่าเป็นใครมาจากไหน เพียงแต่เอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ท่านชายหลง มาแล้วหรือขอรับ ข้าคุยกับเจ้าของบ้านแล้ว พวกเราสามารถเข้าไปดูบ้านได้เลยตอนนี้ขอรับ”
แล้วนายหน้าก็นำทางพวกไป
กู้เจียวกระซิบถามเซียวเหิง “ใช้ชื่อหลงอีรึ แล้วเวลาเซ็นสัญญาจะทำอย่างไร”
เซียวเหิงกระซิบตอบ “จี้จิ่วทำหนังสือนำทางปลอมไว้ให้แล้ว เอาใช้หลอกนายหน้าแค่คนเดียวก็พอ”
กู้เจียวยกนิ้วโป้งขึ้นมา สุดยอดไปเลยท่านจี้จิ่ว
ส่วนเสี่ยวจิ้งคงก็จูงมือผู้ใหญ่ทั้งสองทั้งเดินทั้งกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข!
และแล้วพวกเขาก็มาถึงบ้านที่นายหน้าเอ่ยถึง
ถนนสายนี้ค่อนข้างเงียบสงบ ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่ย้ายออกไปแล้ว ถึงแม้ทำเลดูเก่าไปหน่อย อย่างไรก็ตาม ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านยังใหม่อยู่ อีกทั้งมีแสงสว่างเข้าและมีการระบายอากาศดีเยี่ยม
เซียวเหิงมองไปที่นายหน้าที่กำลังเจรจากับเจ้าของบ้าน แล้วเอ่ยกับกู้เจียว “ที่นี่อยู่ใกล้กับสำนักบัณฑิตหลิงโปมาก เดินผ่านตรอกด้านหน้า และนั่งรถม้าไปทางทิศตะวันออกราวหนึ่งเค่อกว่าก็ถึง”
ขนาดพวกอาจารย์แม่อาจารย์แม่หนานเซียงยังถูกตามล่า เป้าหมายต่อไปของพวกมันคงหนีไม่พ้น ‘กู้เจียว’ แห่งสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน
กู้เฉิงเฟิงต้องรีบหายตัวไปจากสำนักบัณฑิต ส่วนเสี่ยวจิ้งคงยังต้องเรียนหนังสือต่อ
“ชอบที่นี่ไหม” กู้เจียวถามเสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้ตอบทันที เขาหันไปมองกู้เจียวแล้วถามกลับ “ลิ่วหลังเป็นคนเลือกบ้านหลังนี้รึ”
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ แล้วพยักหน้า “ใช่ ข้าเลือกเอง ข้าให้…หลงอีเลือกให้น่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงยื่นแขนออกมา พร้อมตอบกลับ “เช่นนั้นข้าก็ชอบที่นี่!”
เซียวเหิงกระตุกมุมปากเล็กน้อยหลังได้ยินคำตอบของเจ้าตัวเล็ก
แต่พวกเขาไม่ได้พึงพอใจกับที่นี่เสียทีเดียว
แม้พื้นที่จะใหญ่ก็จริง แต่มีห้องเพียงแค่สามห้องเท่านั้น
“ไม่ใช่ว่ามีห้าห้องรึ” นายหน้าถามเจ้าของบ้าน
เจ้าของบ้านให้คำตอบ ”มีสองห้องที่ข้าใช้ทำเป็นห้องเก็บของ”
เฮ้อ โดนหลอกอีกแล้ว
นายหน้ายกมือปาดเหงื่อเย็น ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเซียวเหิง “เอ่อ เช่นนั้น ท่านชายหลง เราไปดูหลังอื่นกันดีกว่าขอรับ”
แต่สุดท้ายก็ไม่มีที่ไหนถูกใจพวกเขา
เสี่ยวจิ้งคงดึงมือกู้เจียว “ลิ่วหลัง นี่เราต้องเช่าบ้านที่อยู่บนถนนสายนี้อย่างเดียวรึ”
กู้เจียวตอบ “ไม่จำเป็น เพียงแต่ที่นี่อยู่ใกล้สำนักบัณฑิตของเจ้า”
เสี่ยวจิ้งคง “แล้วมีที่ที่ใกล้กว่านี้อีกไหม”
“เป็นไปไม่ได้” นายหน้าโพล่งขึ้นทันที “ข้าทำอาชีพนี้มาสามสิบปี คุ้นเคยกับทุกตรอกทุกซอยละแวกนี้ ถนนสายนี้อยู่ใกล้สำนักบัณฑิตหลิงโปมากที่สุดแล้ว ถ้าไปข้างหน้าอีกก็ไม่มีห้องให้เช่าแล้ว!”
ระหว่างนั้นเอง จู่ๆ เสี่ยวจิ้งคงก็คว้าเอกสารโฉนดที่ดินขึ้นมาจากกระเป๋าของเขา
นายหน้า “…”
เซียวเหิงทำท่าปวดศีรษะ “เจ้ามีโฉนดที่ดินอยู่ในมือแล้วทำไมไม่รีบบอกแต่แรกเล่า”
เสี่ยวจิ้งคงเบ้ปากกอดอกแน่น “ถ้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่ให้! เจียวเจียวถาม ข้าถึงให้!”
ตอนนี้นายหน้ากำลังสนใจกับโฉนดที่ดินของเสี่ยวจิ้งคง และไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
เซียวเหิงโต้กลับ “แล้วก่อนหน้านี้ที่เจียวเจียวพักอยู่เมืองชั้นนอกในบ้านเล็กๆ แคบๆ แบบนั้นล่ะ ไม่ยักเห็นเจ้าเอาโฉนดที่ดินออกมาเลย!”
จู่ๆ เจ้าตัวเล็กกลายเป็นคนผิดเฉย เขาแบมือแล้วอธิบาย “ก็ตอนนั้นเจียวเจียวบอกว่าอยากได้บ้านที่อยู่เมืองชั้นนอก ข้าไม่มีโฉนดบ้านที่อยู่เมืองชั้นนอกนี่นา!”
คำเอ่ยนี้ไม่ต่างอะไรกันกับคนฐานะไม่ดีที่ไปขอยืมรถของเพื่อนที่มีเงิน ก็มีรถไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่ให้ยืมล่ะ
เพื่อนที่มีเงินตอบไปว่า ก็นายบอกว่าจะยืมรถเก๋งธรรมดาไม่ใช่หรอ ฉันไม่มีรถเก๋งธรรมดา ฉันมีแค่เฟอรารี่เท่านั้น!
กู้เจียว ยอมแล้วจ้า!
เซียวเหิงทำหน้าปวดตับกว่าเดิม
ตั้งแต่แคว้นเจา จนมาถึงแคว้นเยี่ยน ยังจะต้องพึ่งบารมีที่อยู่อาศัยกับเจ้าเณรน้อยนี่อีกหรือ
ชาติที่แล้วเขาไปทำอะไรไว้ให้เจ้าเปี๊ยกนี่กันนะ
เจ้าตัวเล็กยืดอกขึ้น กระทืบเท้าแล้วเอ่ยขึ้น “ให้เช่าราคาน่ารัก ห้าร้อยตำลึงต่อเดือน!”
เซียวเหิงฟังแล้วถึงกับตัวหด
เจ้าเณรน้อย แบบนี้เขาเรียกว่าฟันกันชัดๆ !
ระหว่างที่พวกเขาทะเลาะกัน ทันใดนั้น ก็มีรถม้าคันหนึ่งมาจอดเทียบ
หน้าต่างรถม้าถูกเปิดออก ปรากฏใบหน้าของใต้เท้ารองจิ่ง เขาเอ่ยทักทายทุกคน “เอ๋ ชิ่งเอ๋อร์ ลิ่วหลัง พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ แล้วเจ้าปีศาจตัวน้อยนี้คือใคร”
เสี่ยวจิ้งคงเอามือเท้าเอว “ท่านต่างหากที่เป็นปีศาจน่ะ!”
“อ๋อ นึกออกแล้ว เจ้าคือ…คือนั่นไง คือ…” ช่วงที่กู้เจียวสลบไปสามวัน ตอนที่ใต้เท้ารองจิ่งกับอันกั๋วกงมาเยี่ยมนาง ก็เลยบังเอิญได้เจอกับเสี่ยวจิ้งคง
ตอนนั้นเสี่ยวจิ้งคงสวมเครื่องแบบทำให้ดูเป็นเด็กคงแก่เรียน วันนี้เสี่ยวจิ้งคงแต่งตัวในมาดท่านชายทำให้ใต้เท้ารองจิ่งเกือบจำเขาไม่ได้
“ข้าไม่ได้ชื่อว่านั่นไง! ข้าชื่อจิ้งคง!” เจ้าตัวเล็กโต้กลับ
ใต้เท้ารองจิ่งได้ยินดังนั้นก็โพล่งเสียงหัวเราะใส่ “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ชื่อนั่นแหละ! ข้าจำได้ละ เจ้าเคยช่วยองค์หญิงน้อยไว้ วีรบุรุษตัวจ้อย!”
ขณะเดียวกัน คนที่นั่งอยู่หลังใต้เท้ารองจิ่งกำลังส่งสายตาอำมหิตอยู่
มัวแต่เอ่ยมากไร้สาระ ข้าจะมองลูกสาวข้าก็มาบังข้าอีก
อยากจะต่อยเจ้าน้องชายคนนี้ให้สลบเหมือดไปสักทีจริงเชียว
ช่วยไม่ได้ที่สองพี่น้องคู่นี้ไม่ได้เข้าขากันมากนัก แต่พอกู้เจียวเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วมองผ่านหน้าต่าง
พอกู้เจียวเห็นกั๋วกงอันอยู่ข้างในนั้นก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
เช่นกันกับกั๋วกงอัน แววตาของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มจากข้างใน
หลังจากที่รู้ว่ากู้เจียวกำลังหาบ้านใหม่ อันกั๋วกงจึงเสนอให้พวกเขามาพักที่จวนกั๋วกง
“เอ่อ…” กู้เจียวลังเล
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวด กั๋วกงอันจึงใช้นิ้วเขียนที่พนักเก้าอี้ “ที่จวนกั๋วกงมีทหารยามคุ้มกัน ปลอดภัยกว่าที่จะให้พวกเจ้าพักด้านนอก”
เขาเขียนว่าพวกเจ้า ไม่ใช่เจ้า
กั๋วกงอันเดาว่ากู้เจียวคงไม่ได้กำลังหาบ้านให้ตัวเองอย่างแน่นอน
เพราะนางก็พักอยู่ที่ตำหนักกั๋วซืออยู่แล้ว คงไม่มีที่ไหนในเซิ่งตูปลอดภัยไปกว่าที่นั่นแล้ว
ใต้เท้ารองจิ่งพาจิ่งคงไปเล่นที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่สุดถนน ส่วนเซียวเหิงก็กำลังเจรจาอยู่กับนายหน้า
เหลือแค่กู้เจียวและกั๋วกงอันอยู่บนรถม้า
กู้เจียวพยายามพิจารณาข้อเสนอของกั๋วกง
กั๋วกงยังคงเขียนต่อ “อยู่ใกล้สำนักบัณฑิตหลิงโปด้วย จะได้ไปรับส่งเด็กได้”
กู้เจียวตกใจกับข้อความของเขา
นางไม่ได้เอ่ยถึงเสี่ยวจิ้งคงเลยด้วยซ้ำ เขารู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยวจิ้งคงจะเข้าอยู่ด้วย
พวกท่านเหมือนกันจริงๆ ทั้งท่านทั้งกั๋วซือ รอบรู้ไปหมด!
เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของกู้เจียว แววตาที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของกั๋วกงแทบจะล้นทะลักออกมา
เขาแสดงสีหน้ามากไม่ได้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้เขาคงฉีกยิ้มไปจนถึงใบหูแล้ว
กั๋วกงเขียนต่อ “มีของอร่อยๆ ให้กินทุกวัน มีทหารยามคอยคุ้มกัน และเงินมากมายที่ใช้ยังไงก็ไม่หมด”
กั๋วกงอันตอนนี้เริ่มเอ่ยจาเหมือนพวกมิจฉาชีพที่หลอกเด็กแล้วนะ!
กู้เจียวเอ่ยถามอย่างกังวล “ก็ไหนว่าจวนกั๋วกงล้มละลายแล้วมิใช่รึ”
กั๋วกงเขียนไปพร้อมกับยิ้มผ่านดวงตา “หาใหม่ได้แล้ว”
ราวกับเขาต้องการจะบอกว่า ข้าเป็น… พ่อบุญธรรมของเจ้า ก็เป็นพ่อค้าธรรมดาที่หาเงินเก่งนะ
กู้เจียวเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “เรื่องเงินไม่สำคัญหรอก แค่อยากสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพ่อบุญธรรมแค่นั้นเอง”
พอได้ยินประโยคนี้จากลูกบุญธรรม หัวใจของเขาก็พลันเบิกบาน
กู้เจียวไม่ใช่คนอ้อมค้อม จะไม่เอ่ยประโยคทำนองว่าถ้าพวกเราไปอยู่ที่นั่นอาจสร้างความวุ่นวายและนำพาอันตรายไปให้
ในเมื่อนางเป็นลูกบุญธรรมของกั๋วกงอัน เขาย่อมลงเรือลำเดียวกันกับพวกเขา หรืออันที่จริงแล้ว กั๋วกงอันไม่เคยหลุดพ้นจากความวุ่นวายนี้เลยด้วยซ้ำ
นับตั้งแต่วินาทีที่กั๋วกงอันใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพื่อช่วยทำศพให้ลูกเขย ก็เท่ากับได้แสดงจุดยืนของเขาให้ทั้งแคว้นได้รู้อย่างชัดเจน
กู้เจียวนำข้อเสนอของกั๋วกงไปเล่าให้เซียวเหิงฟัง
เซียวเหิงรู้สึกอยู่เสมอว่ากั๋วกงอันต้องการเป็นศัตรูกับเขาในฐานะพ่อตา หากเป็นเมื่อก่อน เซียวเหิงอาจไม่เห็นด้วย แต่พอนึกถึงใบหน้าที่เย่อหยิ่งของเจ้าเณรน้อยแล้ว ก็เริ่มรู้สึกว่านี่เป็นข้อเสนอที่ฟังดูไม่แย่เสียทีเดียว
ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากจ่ายห้าร้อยตำลึงทุกเดือนหรอกนะ!
เซียวเหิงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนเอ่ยออกมา “แล้วตราอาญาสิทธิ์ของพวกอาจารย์แม่อาจารย์แม่หนานเซียงละ…อืม ข้าขอคิดหาวิธีก่อน”
กู้เจียวร้องอ๋อหนึ่งที ก่อนตอบกลับไป “ไม่เป็นไร ท่านกั๋วกงบอกว่าทำให้ได้”
จู่ๆ เซียวเหิงรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าขึ้นมาทันที
นี่เขาไม่มีโอกาสแสดงความเก่งกาจใดๆ ต่อหน้าเจียวเจียวเลยหรือนี่
ความรู้สึกกดดันแบบนี้มันคืออะไรกันนะ
เปลี่ยนใจไปเช่าบ้านกับเจ้าตัวเล็กยังทันไหมนะ…
เมื่อจัดการเรื่องที่พักได้แล้ว กู้เจียวจึงกลับไปที่โรงเตี๊ยม ตอนแรกเสี่ยวจิ้งคงจะตามมาด้วย แต่ดันถูกเซียวเหิงลากตัวไปเสียก่อน
“ตอนนี้ หน้าที่ของเจ้าคือเป็นบ่าวรับใช้ของข้านะ” เซียวเหิงกัดฟันขู่เจ้าตัวเล็ก
เสี่ยวจิ้งคงยกมือทึ้งหัว
อ๊ากกก พี่เขยตัวแสบ ทำตัวน่ารังเกียจชะมัด!