กระบี่จงมา 957.2 มีคนตีกลอง

ตอนที่ 957.2 มีคนตีกลอง

สำหรับ​เถาถิงแล้ว​ ชิงเจีย​แห่ง​นคร​จิน​ชุ่ย​ก็​คือ​แม่นาง​น้อย​คน​หนึ่ง​ ถือเป็น​ผู้เยาว์​ใน​บ้าน​ตัวเอง​ครึ่งตัว​

เพราะ​หาก​สืบ​ย้อน​ไป​ยัง​ต้นกำเนิด​ นคร​จิน​ชุ่ย​ก็​มีสาย​สืบทอด​อยู่​สอง​สาย​ สาย​หนึ่ง​คล้ายคลึง​กับ​ระบบ​สืบทอด​ดั้งเดิม​ อีก​สาย​หนึ่ง​ถือเป็น​วิชา​ลับ​สาย​นอก​ และ​ผู้​ถ่ายทอด​มรรคา​บางคน​ของ​เถาถิงกับ​ชิงเจีย​ที่​สถานะ​ที่​ถูก​ปิดบัง​ไว้​ก็​มีเรื่องราว​ความเป็นมา​ ไม่ถือเป็น​คู่​บำเพ็ญ​เพียร​ แต่​หาก​จะพูดว่า​เป็น​ชู้รัก​ก็​ไม่น่าฟัง​อีก​

และ​ผู้​ถ่ายทอด​มรรคา​ของ​ชิงเจีย​ที่​ไม่ได้รับ​การ​บันทึก​ลง​ใน​ทำเนียบ​นคร​จิน​ชุ่ย​ก็​เคย​ทิ้ง​คำ​สั่งเสีย​ข้อ​หนึ่ง​ไว้​ให้​กับ​นคร​จิน​ชุ่ย​ บอ​กว่า​ใน​ดวงจันทร์​เฮ่าไฉ่มีบุคคล​เก่าแก่​ที่​หาก​อิง​ตามลำดับ​อาวุโส​แล้ว​ชิงเจีย​สามารถ​เรียก​ว่า​บรรพ​จารย์ไท่​ซ่างได้​อยู่​คน​หนึ่ง​ แต่​จะได้​พบ​กับ​บรรพ​จารย์​ท่าน​นี้​เมื่อไหร่​ เวลา​ใด​ กลับ​ไม่ได้​บอก​แน่ชัด​ แค่​อดทน​รอคอย​ไป​ก็​พอ​

เดิมที​ชิงเจีย​นึก​ว่า​นคร​จิน​ชุ่ย​จะสามารถ​มีภูเขา​ที่พึ่ง​ยิ่งใหญ่​โอฬาร​เพิ่ม​มาอีก​ลูก​หนึ่ง​ ผล​คือ​ดวงจันทร์​ดวง​หนึ่ง​ที่อยู่​บน​ฟ้าถูก​ผู้ฝึก​กระบี่​ของ​กำแพงเมือง​ปราณ​กระบี่​ที่​เป็น​เหมือน​วิญญาณ​ตามติด​ไม่ยอม​ไป​ผุด​ไป​เกิด​กลุ่ม​นั้น​ร่วมมือ​กัน​เคลื่อนย้าย​ไป​ไว้​ที่​ใต้​หล้า​มืด​สลัว​โดยตรง​ นี่​ทำให้​ชิงเจีย​ไม่รู้​ว่า​ควรจะ​หัวเราะ​หรือ​ร้องไห้​ดี​ แล้ว​จะให้​นาง​นับ​ญาติ​กลับ​เข้า​ตระกูล​อย่างไรเล่า​? เพียงแต่ว่า​นอกจาก​ความผิดหวัง​แล้ว​นาง​ก็​ยัง​รู้สึก​ผ่อนคลาย​ได้​หลาย​ส่วน​ เพราะ​ถึงอย่างไร​ใน​นคร​จิน​ชุ่ย​ก็​มีอาจารย์​เจิ้งที่​ตน​ยินดี​จะฝาก​ความเป็นความตาย​ไว้​ให้​เขา​ แค่นี้​ก็​เพียง​พอแล้ว​ หาก​จะให้​บรรพ​จารย์​ที่​อายุขัย​ใน​การ​ฝึก​ตน​ยาวนาน​ผู้​นั้น​หวน​กลับคืน​มายัง​โลก​มนุษย์​แล้ว​มาเยือน​นคร​จิน​ชุ่ย​ ไม่แน่​ว่า​นั่น​กลับ​จะกลายเป็น​หายนะ​อย่างหนึ่ง​ก็​เป็นได้​

ใน​สนามรบ​ของ​แจกัน​สมบัติ​ทวีป​ ราชวงศ์​ต้า​หลี​เคย​กว้าน​ริบ​ชุด​คลุม​อาคม​ที่​มาจาก​นคร​จิน​ชุ่ย​ไป​จน​หมด​ น่าเสียดาย​ที่​ไม่อาจ​จับตัว​ผู้ฝึก​ตน​ที่​เป็น​ผู้สืบทอด​ของ​นคร​จิน​ชุ่ย​ซึ่งเชี่ยวชาญ​วิชาการ​หล่อหลอม​มาได้​สำเร็จ​

เมื่อ​สามปีก่อน​ยวน​หู​เจ้านคร​ได้​จัด​พิธี​เฉลิมฉลอง​เลื่อนขั้น​เป็น​เซียน​เห​ริน​

นอก​จากห​ย่าง​จื่อ​ที่มา​เข้าร่วม​งานพิธี​ด้วยตัวเอง​แล้ว​ เถาถิงเอง​ก็​เคย​แอบ​ดอด​ออก​มาจาก​ภูเขาใหญ่​แสน​ลี้​เหมือนกัน​

ใน​เอกสารลับ​คฤหาสน์​หลบ​ร้อน​ สำหรับ​เรื่อง​นี้​ต่าง​ก็​มีบันทึก​ระบุ​ไว้​อย่าง​ชัดเจน​

เห็นได้ชัด​ว่า​ใต้​หล้า​ไพศาล​กับ​ใต้​หล้า​เปลี่ยว​ร้าง​ต่าง​ก็​อยู่​ใน​สถานการณ์​ที่​ลูกธนู​ขึ้นสาย​แล้ว​ สงคราม​ใหญ่​จึงสามารถ​ระเบิด​ขึ้น​ได้​ทุกเมื่อ​ และ​นคร​จิน​ชุ่ย​ที่​หาก​ไม่ใช่เพราะ​อาจารย์​เจิ้ง อันที่จริง​ก็​ไม่มีทางเลือก​ใดๆ​ ให้​พูดถึง​แล้ว​ หาก​ไม่เป็น​ฝ่าย​ไป​ขอ​พึ่งพา​ภูเขา​ทัว​เย​ว่​ ไม่อย่างนั้น​ก็​จะต้อง​ถูก​ใต้​หล้า​ไพศาล​โจมตี​ กลาย​ไป​เป็น​นักโทษ​ของ​อีก​ฝ่าย​

ชิงเจีย​สังเกตเห็น​ว่า​ดูเหมือน​อาจารย์​ท่าน​นี้​จะใจลอย​ไป​เล็กน้อย​ นาง​ไม่กล้า​รบกวน​การ​ปล่อย​ดวงจิต​ท่อง​ไป​หมื่น​ลี้​ของ​อีก​ฝ่าย​ เพียง​รอคอย​ประโยค​ถัดไป​อย่าง​ใจเย็น​

เพียง​ครู่เดียว​เจิ้งจวี​จงก็​คืนสติ​กลับมา​ เอ่ย​แค่​ประโยค​ที่​กระชับ​เรียบง่าย​กับ​นาง​ว่า​ “ก็​หนี​ไม่พ้น​ว่า​เปลี่ยน​ซิน​จวง​แห่ง​ภูเขา​ทัว​เย​ว่​เป็น​ศาล​บุ๋น​แผ่นดิน​กลาง​ นคร​จิน​ชุ่ย​เป็น​ฝ่าย​ลดราคา​ลง​ครึ่งหนึ่ง​ ขอ​ไป​ตั้งรกราก​อยู่​ที่​ฝูเหยา​ทวีป​ แล้วก็​เลือก​ทวีป​อื่น​อีก​สัก​แห่ง​ ยกตัวอย่างเช่น​ธวัล​ทวีป​ เลือก​ให้​มาเป็นที่ตั้ง​ของ​สำนัก​เบื้องล่าง​”

เห็นได้ชัด​ว่า​ชิงเจีย​ไม่มีความเห็น​ต่าง​กับ​เรื่อง​นี้​ ไม่มีสีหน้า​ตกตะลึง​ใดๆ​ สำนัก​ของ​เปลี่ยว​ร้าง​ที่​สามารถ​ปรับตัว​เข้ากับ​ดิน​และ​น้ำ​ของ​ไพศาล​ได้​มีจำนวน​น้อย​นิด​ บังเอิญ​ที่​นคร​จิน​ชุ่ย​เป็นหนึ่ง​ใน​นั้น​พอดี​ นาง​ถามอย่าง​ระมัดระวัง​ว่า​ “จะย้าย​ทรัพย์สมบัติ​ทั้งหมด​ของ​นคร​จิน​ชุ่ย​อย่างไร​? แล้ว​ควรจะ​เลือก​ผู้ฝึก​ตน​อย่างไร​?”

เจิ้งจวี​จงกล่าว​ “ตาม​ข้า​ไป​ก็​พอ​”

คง​เป็น​เพราะ​กังวล​ว่า​อีก​ฝ่าย​จะฟังไม่เข้าใจ​ เจิ้งจวี​จงจึงยิ้ม​อธิบาย​ว่า​ “ตลอดทั้ง​นคร​จิน​ชุ่ย​ได้​ถูก​ข้า​หลอม​เป็น​วัตถุ​แห่ง​ชะตาชีวิต​แล้ว​ เพื่อ​ปิดบัง​ภูเขา​ทัว​เย​ว่​ ไม่ให้​เผย​พิรุธ​จน​เดือดร้อน​ไป​ถึงสหาย​ยวน​หู​ เรื่อง​นี้​ก็​ต้อง​เสียเวลา​ข้า​ไป​หลาย​วัน​เลย​จริงๆ​”

เมื่อครู่นี้​การ​ที่​เจิ้งจวี​จงแบ่ง​สมาธิไป​คิด​เรื่อง​อื่น​เพราะ​กำลัง​พิจารณา​เรื่อง​หนึ่ง​ที่​ไม่เกี่ยวข้อง​กับ​เรื่อง​ที่​ทั้งสอง​กำลัง​พูดคุย​กัน​อยู่เลย​

และ​เรื่อง​นี้​ เจิ้งจวี​จงก็​เคย​พูดคุย​กับ​ชุย​ฉาน​แค่​คนเดียว​เท่านั้น​

ทัศนคติ​ของ​ทั้งสองฝ่าย​ไม่ต่างกัน​สัก​เท่าไร​ สรรพ​ชีวิต​ที่​มีสติปัญญา​ ภายใต้​การนำ​ของ​ผู้ฝึก​ตน​ ปู​ถนน​สร้าง​สะพาน​ เดิน​ไป​ยัง​นอก​ฟ้า คือ​ทางออก​เส้น​หนึ่ง​ที่​มองเห็น​ได้​ด้วย​ตาเปล่า​ จะต้อง​เอา​ดวงดาว​ของนอก​ฟ้าเหล่านั้น​มาเป็น​สะพาน​เชื่อมโยง​ หรือไม่​ก็​เป็น​ ‘แดน​บิน​ของ​สำนัก​’ ขอ​แค่​กระดาน​หมาก​ใหญ่​มาก​พอ​ ก็​สามารถ​หลุด​พ้นไป​จาก​การช่วงชิง​แพ้ชนะ​ ลดทอน​ความเสียหาย​ภายใน​ของ​ฟ้าดิน​ที่​กำหนด​ไว้​ บางที​เผ่า​มนุษย์​อาจ​เป็น​ผู้นำ​ ร่วมมือ​กับ​ผู้ฝึก​ตน​เผ่า​ต่างๆ​ อย่าง​จริงใจ​ เลือก​สถาน​ที่อยู่อาศัย​ตาม​ดวงดาว​ทั้งหลาย​นอก​ฟ้า ขยาย​เผ่าพันธุ์​ให้​เจริญเติบโต​…

แต่ลำพัง​เพียงแค่​ ‘ทาง​ไป​’ ใหม่เอี่ยม​ที่​ตอนนี้​ยัง​บอก​ได้​ยาก​เส้น​นี้​ หรือ​เส้นทาง​เชื่อมโยง​ที่​เป็น​ ‘ทาง​มา’ เส้น​เก่า​ ยังอยู่​ห่างไกล​เกิน​กว่า​จะพอ​มาก​นัก​ เพื่อ​ป้องกัน​เรื่อง​ไม่คาดฝัน​ก็​ยัง​ต้อง​ใช้เส้นทาง​บางอย่าง​ที่​ไม่เคย​มีมาก่อน​ ‘เดิน​ไป​ข้างใน​’ ให้​สรรพ​ชีวิต​ใน​ฟ้าดิน​มีวิธีการ​เอาชีวิต​รอด​อีก​รูปแบบ​หนึ่ง​ นั่น​ก็​คือ​ทาง​ถอย​ที่​จำเป็นต้อง​เตรียม​การวางแผน​ล่วงหน้า​แต่​เนิ่นๆ​

ซิ่ว​หู่​ชุย​ฉาน​ศึกษา​ความรู้​จนถึง​ขีดสุด​ สุดท้าย​สร้าง​คน​กระเบื้อง​ขึ้น​มา ก็​เพื่อ​พิสูจน์​ให้​เจิ้งจวี​จง และ​บรรพ​จารย์​สามลัทธิ​ได้​เห็น​เรื่อง​ไม่คาดฝัน​ที่​น่าหวาดกลัว​ของ​ ‘หนึ่ง​ใน​หมื่น​’ นี้​

ตัวอย่าง​ใน​ตอนนี้​ก็​วาง​อยู่​ตรงหน้า​ พวก​ท่าน​ทั้ง​สามคงจะ​ไม่แสร้ง​ทำเป็น​ว่า​มองไม่เห็น​หรอก​กระมัง​

เจิ้งจวี​จงมั่นใจ​เลย​ว่า​ หาก​เผ่า​มนุษย์​ทั้ง​ไม่อาจ​หา​ทางออก​ แล้วก็​ไม่อาจ​หาทาง​ถอย​ที่​สามารถ​รักษาตัว​รอด​อย่าง​สมบูรณ์​ได้​เจอ​ ถ้าอย่างนั้น​ไม่ช้าก็เร็ว​สักวันหนึ่ง​จะต้อง​ถูก​ตัวเอง​ทำลาย​ลง​เป็นแน่​

ก็​เหมือน​สิ่งศักดิ์สิทธิ์​ที่​เคย​อยู่​สูงเหนือ​ใคร​ที่​ทำลาย​สรรพ​ชีวิต​บน​พื้นดิน​ที่​ตัวเอง​สร้าง​ขึ้น​มาเอง​กับ​มือ​

ตัวเอง​ทุกคน​ที่​พวกเรา​ไม่กล้า​ยอมรับ​

ก็​คือ​สัตว์​ที่​ถูก​ขัง​ที่​ได้​แต่​เดิน​วน​ไป​วน​มาอยู่​ใน​กรง​ ก็​คือ​สิ่งศักดิ์สิทธิ์​ที่นั่ง​อยู่​ใน​ตำแหน่ง​สูงของ​ตำหนัก​ใหญ่​

ผู้ฝึก​ตน​ผู้​บรรลุ​มรรคา​ส่วนใหญ่​ไม่รู้​สักนิด​เลย​ว่า​คำ​ว่า​ก่อ​สำนัก​ตั้งตัว​เป็น​บรรพ​จารย์​ รากฐาน​ของ​การ​ก่อ​สำนัก​นั้น​ต้อง​ทำ​อะไร​ ตั้งตัว​เป็น​บรรพ​จารย์​ไป​เพื่อ​อะไร​

ดวงตา​ไม่สูงพอ​ มือ​ก็​ย่อม​ต่ำ​ยิ่งกว่า​ ถูก​กำหนด​มาแล้ว​ว่า​ยื่นมือ​ไป​ไม่โดน​ ‘ผ้าม่าน​ผืน​นั้น​’

ใน​ศาลา​ คน​ผู้​หนึ่ง​คิดถึง​ความเป็นความตาย​ของ​นคร​จิน​ชุ่ย​

คน​ผู้​หนึ่ง​พิจารณา​ถึงความเป็นความตาย​ของ​สรรพ​ชีวิต​ทั้งหมด​

นี่​ก็​คงจะ​เป็น​ความต่าง​ของ​พวกเขา​

มิน่าเล่า​นักพรต​ซุน​แห่ง​อาราม​เสวียน​ตู​ถึงได้​ยิ้ม​เอ่ย​ประโยค​หนึ่ง​ว่า​ ความต่าง​ระหว่าง​คน​กับ​คน​ มาก​ยิ่งกว่า​ความต่าง​ระหว่าง​คน​กับ​หมู​

เจิ้งจวี​จงโบก​ชาย​แขน​เสื้อ​เก็บ​ภาพ​เหตุการณ์​ผิดปกติ​ใน​ศาลา​ส่วน​นั้น​มา งอ​สอง​นิ้ว​เคาะ​ลง​บน​เสาศาลา​เบา​ๆ

งาน​ไม้ใน​โลก​มนุษย์​ รู​บาก​และ​เดือย​คือ​กุญแจ​สำคัญ​

อยู่​ใน​บ้าน​ อยู่​ใน​โรงเรียน​ด้านนอก​ ฝึก​ตน​อยู่​บน​ภูเขา​

อาศัย​สิ่งใด​มาเชื่อมโยง​ใจคน​?

เจิ้งจวี​จงลุกขึ้น​ยืน​ ยิ้ม​บาง​ๆ เอ่ย​ว่า​ “พวกเรา​ต่าง​ก็​เป็น​ตะเกียง​ดวง​หนึ่ง​ที่​เดี๋ยว​สว่าง​เดี๋ยว​หม่น​แสงอยู่​ใน​ฟ้าดิน​”

คำพูด​และ​การกระทำ​คือ​รู​บาก​และ​เดือย​ จิตใจ​ของ​มนุษย์​ร่วมกัน​สร้าง​ตะเกียง​

สร้างบ้าน​ก่อ​เรือน​ รวมกลุ่ม​กัน​เพื่อ​หา​ความอบอุ่น​

จากนั้น​เจิ้งจวี​จงก็​เดิน​นำ​ออก​ไป​จาก​ศาลา​เย​ว่​เหมย​ก่อน​ พา​ชิงเจีย​เดินเล่น​ไป​ใน​นคร​จิน​ชุ่ย​ ฤดูหนาว​ที่​หิมะ​ตก​โปรยปราย​ ตำหนัก​หอ​เรือน​ของ​นคร​จิน​ชุ่ย​โอ่อ่า​งามตระการตา​ สวยงาม​ประดุจ​ดินแดน​แห่ง​แก้ว​ใส

ชิงเจีย​ที่​ติดตาม​อยู่​ข้าง​กาย​เจิ้งจวี​จิงมิอาจ​ร่าย​เวท​คาถา​ได้​ จึงอำพราง​ตัวตน​ไป​ด้วย​เลย​ ใน​ตำหนัก​ใหญ่​ที่​ลักษณะ​คล้าย​ตำหนัก​ใน​วังหลวง​แห่ง​หนึ่ง​มีเด็กสาว​ที่​มวยผม​ทรง​วิญญาณ​งู นาง​กำลัง​เขย่ง​ปลายเท้า​ เอวบาง​จึงยืด​ตาม​ ใน​มือถือ​ท่อน​ไม้ยาว​ทุบตี​แผ่น​น้ำแข็ง​ ยาม​ที่​แผ่น​น้ำแข็ง​หล่น​กระทบ​พื้น​ก็​เกิด​เสียงดัง​เหมือน​เสียง​หยก​แตก​เป็น​ระลอก​ เสียงหัวเราะ​ของ​พวก​เด็กสาว​แว่ว​หวาน​ดุจ​เสียง​สกุณา​ขับร้อง​

เดิน​ออก​ไป​จาก​ตำหนัก​ เจิ้งจวี​จงพา​ชิงเจีย​มาถึงลำคลอง​สาย​หนึ่ง​ที่​โอบล้อม​นคร​จิน​ชุ่ย​อยู่​ด้านนอก​ พื้นผิว​ของ​ลำคลอง​กว้างขวาง​ น้ำ​ใต้​สะพาน​เกาะ​ตัว​เป็น​น้ำแข็ง​ มีเด็กน้อย​หลาย​คน​กำลัง​วิ่งไล่​จับ​กัน​อยู่​บน​แผ่น​น้ำแข็ง​อย่าง​สนุกสนาน​

เจิ้งจวี​จงเดิน​เลียบ​กระแสน้ำ​ตอน​บน​ของ​ลำคลอง​ไป​เรื่อยๆ​ กระทั่ง​มาหยุด​อยู่​ตรง​ทำนบ​กั้น​ริม​ลำคลอง​ ใต้​ฝ่าเท้า​คือ​ก้อนหิน​ลักษณะ​เรียว​ยาว​ที่​ถูก​ก่อ​ขึ้น​มา เกาะกลุ่ม​กัน​อยู่​ทั่ว​พื้นที่​ ระหว่าง​ร่อง​หิน​ราด​น้ำ​แป้ง​ข้าวเหนียว​ลง​ไป​ จากนั้น​ใช้ตะปู​ก้าม​หนีบ​ที่​ทำ​จาก​เหล็ก​และ​เดือย​ยึด​ไว้​ให้​แน่นหนา​ เหมือน​เกล็ดปลา​ที่​ทับซ้อน​กัน​เป็นชั้นๆ​ แล้วก็​เหมือน​กระดูกสันหลัง​ที่​โค้ง​โก่ง​ของ​คนแก่​

หลาย​ปี​มานี้​เจิ้งจวี​จงสงสัย​ใคร่รู้​มาโดยตลอด​ว่า​ ปี​นั้น​ฉีจิ้งชุน​อยู่​ใน​ถ้ำสวรรค์​หลี​จู สรุป​แล้ว​เขา​ทำได้​อย่างไร​ แล้ว​ฉีจิ้งชุน​ได้​เห็น​อะไร​กัน​แน่​

เรื่อง​ที่​ทำให้​เจิ้งจวี​จงรู้สึก​ว่า​น่าสนใจ​ได้​อย่าง​แท้จริง​ก็​คือ​ มีคน​ทำ​เรื่อง​ที่​ไม่ว่า​เขา​จะทุ่มเท​ความคิด​จิตใจ​แค่​ไหน​ ก็​ยังคง​ทำ​ไม่สำเร็จ​ได้​สำเร็จ​ เดิมที​เรื่องราว​ก็​มีการ​แบ่ง​เล็ก​ใหญ่​อยู่แล้ว​ เพียงแต่ว่า​ใน​ใจของ​เจิ้งจวี​จงกลับ​ไม่แน่​เสมอไป​ว่า​จะต้อง​มีการ​แบ่ง​สูงต่ำ​ หาก​เงิน​เกล็ด​หิมะ​ของ​บน​ภูเขา​เหรียญ​หนึ่ง​ จู่ๆ ก็​หัก​เป็น​เงิน​ของ​ล่าง​ภูเขา​ได้​แค่​หนึ่งร้อย​ตำลึง​เงิน​ สถานการณ์​ใน​ใต้​หล้า​จะเป็น​อย่างไร​? หรือ​ยกตัวอย่างเช่น​อยู่ดีๆ​ เงิน​เทพ​เซียน​สามชนิด​ทุก​เหรียญ​ของ​ฟ้าดิน​ก็​หาย​ไป​อย่างไร​้ร่องรอย​ เรื่องราว​จะพัฒนา​ไป​ใน​ทิศทาง​ใด​?

ได้ยิน​ว่า​ตอนที่​ชุย​ฉาน​เป็น​เด็ก​ ใน​บ้าน​มีผู้อาวุโส​ใน​ตระกูล​คน​หนึ่ง​ที่​ไม่อนุญาต​ให้​เขา​อ่าน​นิยาย​ต่อสู้​ใน​ยุทธ​ภพ​และ​นิยาย​รัก​ประโลมโลก​

รวมไปถึง​ไม่อนุญาต​ให้​ชุย​ฉาน​เล่น​หมากล้อม​ เพราะ​รู้สึก​ว่า​คน​ฉลาด​ง่าย​ที่จะ​หลงใหล​อยู่​กับ​สิ่งเหล่านี้​ จะเป็นการ​สิ้น​เปลืองเวลา​อัน​ดี​ไป​อย่าง​เปล่าประโยชน์​ จะถ่วง​รั้ง​การศึกษา​เล่าเรียน​ ชักนำ​ให้​เขา​ไม่ทำ​อะไร​เป็นการเป็นงาน​

ชิงเจีย​หันหน้า​ไป​มอง​อาจารย์​เจิ้ง ครู่​ต่อมา​นาง​ก็​หัวเราะ​อยู่​กับ​ตัวเอง​ ก่อน​จะปลุก​ความกล้า​เปิดปาก​ถามว่า​ “อาจารย์​ ท่าน​มอง​เรื่อง​ความรัก​ชาย​หญิง​อย่างไร​? ขอ​ข้า​ละลาบละล้วง​ถามสักหน่อย​ อาจารย์​เคย​มีสตรี​ที่รัก​บ้าง​หรือไม่​?”

เจิ้งจวี​จงส่ายหน้า​ด้วย​รอยยิ้ม​

ชั่วชีวิต​นี้​ชิงเจีย​ไม่เคย​มีคู่​บำเพ็ญ​เพียร​มาก่อน​จริงๆ​ และ​นาง​ก็​ไม่รู้สึก​ว่า​จำเป็น​ต้องหา​คนรัก​ แต่​นาง​กลับ​มีลูกศิษย์​ผู้สืบทอด​คน​หนึ่ง​ที่รัก​และ​เอ็นดู​มาก​เป็นพิเศษ​ นาง​ติดตาม​เพื่อนสนิท​คน​หนึ่ง​ที่​เป็น​ผู้เยาว์​ใน​ตระกูล​ของ​ปีศาจ​ใหญ่​กวาน​เซี่ยง​ แล้ว​พวก​นาง​ยัง​เรียก​ผู้ฝึก​ตน​หญิง​ที่​สนิท​คุ้นเคย​กัน​อีก​กลุ่ม​หนึ่ง​นั่ง​ราชรถ​ที่​มีประวัติ​ความเป็นมา​ เหล่า​สตรี​ที่​ต่าง​ก็​มีภูมิหลัง​มีประวัติ​ความเป็นมา​ทั้ง​กลุ่ม​เดิน​ทางขึ้น​เหนือ​ไป​ท่องเที่ยว​ที่​กำแพงเมือง​ปราณ​กระบี่​ด้วยกัน​ ว่า​กัน​ว่า​ไม่อาจ​ขึ้นไป​บน​หัว​กำแพงเมือง​ได้​สำเร็จ​ แต่กลับ​ได้​เห็น​อิ่น​กวาน​หนุ่ม​ที่​สวม​ชุด​คลุม​อาคม​สีแดงสด​อยู่​ไกลๆ​ ราชรถ​ยัง​โดน​เวท​อสนี​บท​หนึ่ง​กระแทก​ใส่ด้วย​ ไม่ได้​ไป​เสียเที่ยว​

ได้​เห็น​อิ่น​กวาน​หนุ่ม​ที่​ชื่อเสียง​เลื่องลือ​ไป​ทั้ง​ใต้​หล้า​

ทำให้​พวก​นาง​ลิงโลด​เบิกบานใจ​กัน​สุดขีด​ เกิด​ความรู้สึก​แบบ​เดียวกัน​

แค่​สอง​คำ​ว่า​ หล่อ​จริงๆ​!

หลัง​กลับ​มาถึงบ้านเกิด​ ลูกศิษย์​ผู้สืบทอด​ของ​ชิงเจีย​คน​นี้​ก็​ลุ่มหลง​เขา​จะเป็น​จะตาย​ ราวกับ​ถูก​ธาตุ​มาร​เข้า​แทรก​อย่างไร​อย่างนั้น​

เจิ้งจวี​จงพลัน​เอ่ย​ด้วย​สีหน้า​เรียบ​เฉย​ว่า​ “เมื่อ​มนุษย์​เรา​มีรัก​ ก็​เหมือน​ถือ​คบเพลิง​เดิน​ทวน​กระแสลม​ ต้อง​ร้อน​ลวก​มือ​แน่นอน​”

ชิงเจีย​ไม่กล้า​ถามอะไร​มากความ​อีก​

เจิ้งจวี​จงก้าวเดิน​เนิบ​ช้า ก่อนหน้านี้​ตอน​ที่อยู่​ท่าเรือ​ฉิงจี ตนเอง​อีก​คน​หนึ่ง​ได้​เจอ​กับ​อู๋ซวงเจี้ยง​แห่ง​ตำหนัก​สุ้ยฉู​จริงๆ​

นคร​จักรพรรดิ​ขาว​แห่ง​ใต้​หล้า​ไพศาล​ ตำหนัก​สุ้ยฉู​แห่ง​ใต้​หล้า​มืด​สลัว​

ต่าง​ก็​เป็น​สอง​สถานที่​ที่​ผู้คน​ให้การ​ยอมรับ​ว่า​พลัง​การควบคุม​ของ​สำนัก​แข็งแกร่ง​ที่สุด​ ผู้ฝึก​ตน​ทุกคน​ต่าง​ก็​เคารพนับถือ​เจ้าสำนัก​ของ​ตัวเอง​ประดุจ​เทพเจ้า​

ตอนนั้น​เจิ้งจวี​จงพูด​เข้า​ประเด็น​โดยตรง​ว่า​ ‘เจ้าตำหนัก​อู๋​ไม่ควร​มาเร็ว​ขนาด​นี้​’

อู๋ซวงเจี้ยง​ยิ้ม​บาง​ๆ เอ่ย​ว่า​ ‘ขวด​หล่น​พื้น​ย่อม​แตก​ ถ้าอย่างนั้น​ก็​อย่า​สนใจ​อย่าง​อื่น​อีก​เลย​’

แต่​ใน​เมื่อ​อู๋ซวงเจี้ยง​ก็​มาแล้ว​ นั่น​ก็​หมายความว่า​ซิ่ว​หู่​ได้​เริ่ม​รวบ​แห​ใน​บาง​ระดับ​แล้ว​ เจิ้งจวี​จงก็​จะต้อง​ลง​มือหนึ่ง​ครั้ง​ตาม​ข้อตกลง​ก่อนหน้านี้​

ตอนนั้น​อู๋ซวงเจี้ยง​มอง​ม่าน​ฟ้าทาง​ฝั่งของ​กำแพงเมือง​ปราณ​กระบี่​ ดวงจันทร์​ดวง​หนึ่ง​ถูกลาก​ไป​ยัง​ใต้​หล้า​มืด​สลัว​ เขา​ถามว่า​ ‘ดูเหมือนว่า​จะไม่ได้​ตี​กัน​?’

เจิ้งจวี​จงกล่าว​ ‘เพราะ​เฉิน​ผิง​อัน​ยัง​อำมหิต​ไม่มาก​พอ​’

สุดท้าย​การ​เลือก​นั้น​ของ​เฉิน​ผิง​อัน​ก็​ไม่ถือว่า​ทำให้​คนอื่น​รู้สึก​คาดไม่ถึง​เกินไป​นัก​

ลู่​เฉิน​เจ้าลัทธิ​สามแห่ง​ป๋า​ยอ​วี้​จิง อีก​นิดเดียว​ก็​เกือบจะ​ตาย​ด้วย​น้ำมือ​ของ​คน​คน​หนึ่ง​แล้ว​

……

ใต้​หล้า​มืด​สลัว​ ใจกลาง​ของ​ฟ้าดิน​ ยอดเขา​รุ่น​เย​ว่​ตั้ง​ตระหง่าน​โดดเด่น​

แยกจาก​กับ​หลิน​เจียง​เซียน​บน​เส้นทาง​ภูเขา​แล้ว​ เจ้าแห่ง​ถ้ำปี้​เซียว​ก็​ทิ้ง​ชีกู่​ไว้​คนเดียว​ ส่วน​ตัวเอง​พา​หวัง​หยวน​ลู่​ลูกศิษย์​ผู้สืบทอด​ที่​เพิ่งจะ​มากราบ​ภูเขา​ที่นี่​และ​นักพรต​น้อย​เซาฮว่อ​ฉายา​ว่า​จิน​จิ่งออก​ไป​จาก​ยอดเขา​รุ่น​เย​ว่​ด้วยกัน​ มุ่งหน้า​ไป​ยัง​ลาน​ประกอบ​พิธีกรรม​เรียบง่าย​ใน​ดวงจันทร์​เฮ่าไฉ่

ใน​ฐานะ​ของขวัญ​รับ​ลูกศิษย์​ นักพรต​เฒ่าเอา​ตำหนัก​ขนาด​จิ๋ว​เล็ก​เท่า​ฝ่ามือ​หลัง​หนึ่ง​โยน​ให้​หวัง​หยวน​ลู่​ เหลือบตา​มอง​นักพรต​น้อย​ “สถานที่​แห่ง​นี้​เป็น​ของ​หวัง​หยวน​ลู่​ จิน​จิ่ง ขอ​แค่​หวัง​หยวน​ลู่​ไม่มีความเห็น​ต่าง​ ในอนาคต​เจ้าสามารถ​ฝึก​ตน​หลอม​โอสถ​อยู่​ข้างใน​นี้​ได้​”

ส่วน​เรื่อง​พิธี​กราบ​อาจารย์​นั้น​ก็​ช่างเถิด​ เพราะ​หวัง​หยวน​ลู่​เอง​ก็​คง​ไม่ปรารถนา​ให้​มีพิธีการ​ยิบ​ย่อย​นี้​เช่นกัน​

หวัง​หยวน​ลู่​ใช้สอง​มือ​รับ​ ‘ซาก​ปรัก​ตำหนัก​เซียน​’ ที่​ไม่รู้​ประวัติ​ความเป็นมา​หลัง​นั้น​เอาไว้​ ความ​ล้ำค่า​หา​ยาก​ของ​มัน​ก็​ไม่มีอะไร​ให้​ต้องสงสัย​เลย​

นักพรต​น้อย​น้อม​รับ​บัญชา​จาก​ท่าน​อาจารย์​ ไม่กล้า​มีคำ​บ่น​ใดๆ​ ต่าง​คน​ต่าง​ก็​มีชะตาชีวิต​เป็น​ของ​ตัวเอง​ ใน​เมื่อ​อิจฉา​ไป​ก็​เท่านั้น​ แล้ว​ไย​ต้อง​อิจฉา​กัน​ด้วย​เล่า​…มารดา​มัน​เถอะ​ เห็น​แล้ว​อยากได้​จริงๆ​

นักพรต​ผู้เฒ่า​ไม่สนใจ​เจ้าคน​สอง​คน​ที่​มีความคิด​แตก​ต่างกัน​ไป​ เดิน​เข้าไป​ใน​ห้อง​เพียงลำพัง​ แค่​บอก​ให้​จิน​จิ่งไป​เฝ้าดู​ไฟที่​ใช้หลอม​โอสถ​ใน​เตา​ต่อ​ แล้วก็​ถือโอกาส​นี้​ให้​เขา​ถ่ายทอด​คาถา​หลอม​โอสถ​บท​หนึ่ง​ให้​หวัง​หยวน​ลู่​ด้วย​ สอน​ได้​มาก​น้อย​แค่​ไหน​ เรียน​ได้​มาก​น้อย​แค่​ไหน​ ต่าง​คน​ต่าง​อาศัย​ความสามารถ​ของ​ตัวเอง​

หวัง​หยวน​ลู่​เก็บ​สมบัติ​หนัก​ชิ้น​นั้น​ใส่ไว้​ใน​ชาย​แขน​เสื้อ​ ของ​มาอยู่​ใน​กระเป๋า​แล้ว​ถึงจะสบายใจ​ ครั้น​จึงเปิดปาก​ถามว่า​ “ศิษย์​พี่​จิน​จิ่ง ความเป็นมา​ของ​วัตถุ​ชิ้น​นี้​ ลอง​เล่า​ให้​ข้า​ฟังหน่อย​ได้​ไหม​?”

เห็นแก่​คำ​เรียกขาน​ว่า​ ‘ศิษย์​พี่​’ นักพรต​น้อย​กลอกตา​มอง​บน​เอ่ย​ว่า​ “เคย​ได้ยิน​ประโยค​หนึ่ง​หรือไม่​?”

ผล​คือ​รอ​ฟังอยู่​นาน​ก็​ยัง​ไม่ได้ยิน​ประโยค​ถัดไป​ หวัง​หยวน​ลู่​อึ้ง​งัน​ไป​ทันที​

นักพรต​น้อย​ถึงได้​เดิน​อาด​ๆ ข้าม​ธรณีประตู​ ไป​นั่งลง​บน​ม้านั่ง​ที่​วาง​ไว้​ข้าง​เตา​หลอม​โอสถ​ ยิ้ม​เอ่ย​ว่า​ “มีคำพูด​โบร่ำโบราณ​ประโยค​หนึ่ง​บอ​กว่า​ มังกร​ซ่อนตัว​อยู่​ใน​หลุม​น้ำ​ลู่​ ไฟช่วย​ตำหนัก​ไท่หยาง​ เคย​ได้ยิน​ไหม​?”

หวัง​หยวน​ลู่​นั่ง​ยอง​ด้าน​ข้าง​ ส่ายหน้า​ “ไม่เคย​ได้ยิน​”

นักพรต​น้อย​หลุด​หัวเราะ​พรืด​ “กบ​ใน​กะลา​!”

หวัง​หยวน​ว​ลู่​หัวเราะ​ร่วน​ไม่ตอบโต้​ ใคร​เป็น​กบ​ใน​กะลา​ยัง​บอก​ได้​ยาก​นะ​

นักพรต​น้อย​เอ่ย​ต่อ​อี​กว่า​ “เล่าลือ​ว่า​เป็น​สิ่งของ​ของ​หนึ่ง​ใน​ห้า​เทพ​ชั้น​สูงสุด​ของ​บรรพ​กา​ล.​..”

พูด​มาถึงตรงนี้​ นักพรต​น้อย​ก็​รีบ​หยุด​ปาก​ ยื่น​นิ้วชี้​ไป​ที่​ฝ้าเพดาน​ “หลุม​น้ำ​ลู่​แห่ง​นั้น​คือ​คฤหาสน์​หลบ​ร้อน​ของ​เทพ​วารี​บรรพกาล​ แต่​ถือว่า​เป็น​แค่​หนึ่ง​ใน​นั้น​เท่านั้น​ ทว่า​ตำหนัก​ไท่หยาง​นี้​คือ​อาณาเขต​ของ​ใคร​ เจ้าลอง​ไป​เดา​ดู​เอา​เอง​เถอะ​ ถึงอย่างไร​ระดับ​ขั้น​ก็​สูงกว่า​หลุม​น้ำ​ลู่​แล้วกัน​ เล่าลือ​กัน​ว่า​เคย​เป็นหนึ่ง​ใน​สถานที่​หลอม​กระบี่​ ผู้ฝึก​ตน​ภายนอก​จะไป​รู้​อะไร​ ดีแต่​เล่าลือ​กัน​ไป​ปากต่อปาก​อย่าง​ส่งเดช​เท่านั้น​ ต่าง​ก็​พูด​กัน​ว่า​ถูก​โจมตี​จน​แหลก​สลาย​ไป​แล้ว​ แต่​อันที่จริง​กลับ​อยู่​ที่​นาย​ท่าน​บ้าน​ข้า​ ถือว่า​เป็น​สมบัติ​ที่​ดีเยี่ยม​มาก​ๆ เลย​ล่ะ​ สามารถ​เป็น​ทรัพย์สมบัติ​…ห้า​อันดับ​แรก​ของ​นาย​ท่าน​บ้าน​ข้า​ได้​เลย​ เจ้าได้​ไป​ครอง​ก็​แอบ​ดีใจ​เงียบๆ​ ไป​เถอะ​”

หวัง​หยวน​ลู่​เอ่ย​อย่าง​ปลงอนิจจัง​ “ศิษย์​พี่​จิน​จิ่งรู้เรื่อง​เยอะ​จริงๆ​”

——

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset