บทที่ 789 การปกป้องจากพี่ชาย
ทหารหน่วยกล้าตายสองนายบุกเข้ามายังบริเวณลานหลังร้านค้า
อาจารย์แม่หนานเซียงตะโกนบอกสามีของนาง “เจ้าพาพวกเขาหนีออกไป ข้าจะคุ้มกันให้!”
อาจารย์หลู่ “ไม่! เจ้าพาพวกเขาไป! ข้าจะเป็นคนคุ้มกันเอง!”
อาจารย์แม่หนานเซียงเริ่มมีน้ำโห “ถ้ายังพูดจาเหลวไหลอีกข้าจะหย่ากับเจ้านะ!”
แม้อาจารย์แม่หนานเซียงจะสูญเสียกำลังภายในไปแล้ว แต่นางสามารถใช้ยาพิษและอุปกรณ์ต่างๆ ได้ดี ดังนั้นอาจารย์แม่หนานเซียงน่าจะรับมือตรงนี้ได้ดีกว่าอาจารย์หลู่ผู้ซึ่งปราบเจ้าอาชาไนยแทบจะไม่ได้
“เหอะ! ไม่มีใครหนีออกไปได้ทั้งนั้น!” ทหารหน่วยกล้าตายโพล่งขึ้น
อาจารย์แม่หนานเซียงยิงลูกดอกออกไปเพื่อหาจังหวะให้พวกเขาหลบหนี “รีบไปเร็วเข้า!”
อาจารย์หลู่กัดฟันแน่น แล้วคว้าเด็กทั้งสองพร้อมกับคนแก่ที่อยู่บนหลังกระโดดข้ามกำแพงออกไป
แต่น่าเสียดายที่ไม่นานพวกทหารหน่วยกล้าตายคนที่เหลือตามพวกเขาทัน
พวกมันมาด้วยกันแปดคน และล้อมพวกเขาไว้ทั้งหน้าและหลัง
คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น “ส่งเด็กสองคนนั้นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ รับรองว่าศพของเจ้าจะสวยแน่นอน!”
“บัดซบ!” อาจารย์หลู่สบถเสียงแข็ง “แน่จริงก็เข้ามา! ดูซิว่าจะแน่สักแค่ไหนเชียว!”
ขู่เสร็จ เขาหันไปกระซิบถามลูกศิษย์ทั้งสอง “กล่องกลไกนั่นใช้ยังไง ยังจำได้ไหม”
กล่องกลไกที่เขาเอ่ยถึงหาใช่สิ่งประดิษฐ์ของเสี่ยวซุ่น แต่เป็นอันที่ถูกสร้างขึ้นโดยเขาเอง และมันสามารถช่วยชีวิตได้อย่างแท้จริง
เพียงแต่ว่ามันใช้เวลานานมากในการทำ จนถึงตอนนี้ เขาสร้างได้เพียงสองอันเท่านั้นและได้มอบให้กับเด็กสองคนแล้ว ทั้งเขาและอาจารย์แม่หนานเซียงไม่มีใครมีติดตัวเลยสักคน
พวกเขาพยักหน้า
อาจารย์หลู่ข่มเสียงของตัวเองลง “ประเดี๋ยวข้าจะล่อพวกมันออกไป พวกเจ้าแยกกันนะ หาที่หลบให้ดี ใช้วิธีหายใจที่ข้าเคยสอนไว้ ซ่อนลมหายใจของตัวเองให้ได้ อย่าให้ใครได้ยิน”
เขาไม่เคยที่จะเห็นด้วยกับการกระทำที่หุนหันพลันแล่นของภรรยา ทั้งห้ามไม่ให้นางเป็นศัตรูกับราชวงศ์แคว้นเจา ห้ามไม่ให้นางมาที่แคว้นเยี่ยน นางเป็นแค่อาจารย์ ไม่ใช่แม่ของพวกเขา
แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เขายังคงเสี่ยงชีวิตของตัวเองโดยไม่ลังเลที่จะหาทางให้ลูกศิษย์ทั้งสองของเขามีชีวิตรอด
กู้เสี่ยวซุ่นจับมือของกู้เหยี่ยนไว้แน่น พร้อมเอ่ยตอบ “เข้าใจแล้วขอรับ ท่านพ่อ”
คำว่าพ่อจากปากลูกศิษย์ ทำเอาอาจารย์หลู่ถึงกับรู้สึกแสบจมูก
ปกติเสี่ยวซุ่นมักจะเรียกเขาว่าท่านปรมาจารย์ บางครั้งก็เรียกพ่อบุญธรมม
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กคนนี้เรียกเขาว่าพ่อ และอาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้
นัยน์ตาของเขาเริ่มมีน้ำใสๆ รื้นขึ้น
คนเราแม้จะอายุมากแล้ว แต่บ่อน้ำตาก็ยังตื้นอยู่ดี
อาจารย์หลู่หัวเราะหนึ่งที ก่อนจะหันไปตะโกนใส่ทหารหน่วยกล้าตายที่ตามมาด้านหลัง “ก็มาสิ! แน่จริงก็เข้ามาเลย!”
อีกฝ่ายไม่เอ่ยพร่ำทำเพลง เล็งดาบเข้าไปที่เขาแล้วบุกโจมตีทันที
ขอโทษด้วยท่านผู้อาวุโส ถ้าให้เด็กสองคนนั้นแบกท่านไปด้วยคงหนีพวกมันไม่ไหว ท่านต้องอยู่ด้วยกันกับข้าแล้วล่ะ!
อาจารย์หลู่ถอดสายรัดออก
ผู้อาวุโสเมิ่งที่เพิ่งตื่นไม่นาน จู่ๆ ก็ถูกทิ้งไว้ข้างทางอย่างน่าอดสู
ผู้อาวุโสเมิ่ง “…”
แม้อาจารย์หลู่จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกทหารหน่วยกล้าตายด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ลดละความตั้งใจและสู้กลับอย่างไม่รักตัวกลัวตาย
ตอนแรกเป็นกู้เสี่ยวซุ่นที่คว้ามือของกู้เหยี่ยน แต่ทันใดนั้น กู้เหยี่ยนกลับบิดข้อแขนแล้วเปลี่ยนมาจับมือของกู้เสี่ยวซุ่นแทน
“ไปกัน!” กู้เหยี่ยนเอ่ยในทันใด
ทั้งสองรีบวิ่งออกจากถนนและหนีเอาชีวิตรอดในค่ำคืนอันรกร้าง
ตอนที่เขาถูกดาบฟาด เขาแทบไม่ร้องสักแอะ เพื่อไม่ให้เด็กสองคนใจอ่อน เขาแค่กัดฟัน และกลืนความเจ็บปวดทั้งหมดกลับเข้าไปในลำคอ
ทว่าพวกมันก็ยังคงตามพวกเขาไป
“ตรงนั้นมีบ่อน้ำ!”
กู้เหยี่ยนมองไปข้างหน้าพร้อมเอ่ยขึ้น “ไปหลบตรงนั้นกัน!”
กู้เสี่ยวซุ่นอยู่ในน้ำได้
เขาเปิดฝาบ่อน้ำออก แล้วกระโดดลงไป จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้น เอามือปัดหยดน้ำบนหน้าออก แล้วยื่นมือให้กู้เหยี่ยน “ลงมาเร็วเข้า ข้ารับเจ้าไว้เอง!”
ทว่ากู้เหยี่ยนกลับยืนเฉยๆ พร้อมกับมองน้องชายผู้ซึ่งเต็มไปด้วยกำลังใจ เขาโค้งริมฝีปากเล็กน้อย และคว้าฝาปิดท่อระบายน้ำด้วยสุดกำลัง
กู้เสี่ยวซุ่นเริ่มเห็นท่าไม่ดี จึงถามกลับไป “กู้เหยี่ยน! คิดจะทำอะไรน่ะ!”
“อย่าส่งเสียงสิ” กู้เหยี่ยนเอ่ย
กู้เสี่ยวซุ่นทำท่าเตรียมปีนขึ้นไป “นี่! ลงมาเดี๋ยวนี้นะ!”
“ข้าเป็นพี่ชายเจ้า” กู้เหยี่ยนกล่าว
คราวนี้ ให้ข้าเป็นฝ่ายปกป้องเจ้าบ้าง
ร่างกายของเขาอ่อนแอมาก เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มีเพื่อปิดฝาท่อน้ำอันหนักหน่วง
จากนั้นเขาจึงรีบสับขาวิ่งออกไป!
ระหว่างที่วิ่ง เขาก็ตะโกนขึ้น “พวกเราแยกกันไปนะ! เจ้าไปทางนั้น!”
พวกทหารหน่วยกล้าตายที่ไล่ตามเขามาจึงไม่มีใครสนใจบ่อน้ำสักคน
กู้เหยี่ยนเร่งความเร็วและวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต
เขาป่วยมาสิบหกปีแล้ว เดินแทบไม่ได้ หายใจไม่ออก หลังจากการผ่าตัด ในที่สุดเขาก็รู้ว่าการเป็นคนปกตินั้นมันดีแค่ไหน
เขาไม่เคยวิ่งอย่างดุเดือดขนาดนี้มาก่อน
เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาหดตัวอย่างรุนแรง ราวกับว่ามีพลังอันยิ่งใหญ่ไหลผ่านร่างกายของเขา
ความรู้สึกของคนปกติมันเป็นแบบนี้เองหรือ
ดีจัง
ในที่สุดเขาก็ได้รับรู้มันแล้ว
“หยุดนะ! ไม่อย่างนั้นข้าจะลงมือ!”
ทหารหน่วยกล้าตายคนหนึ่งตะโกนบอกกับกู้เหยี่ยน
แน่นอนว่ากู้เหยี่ยนไม่หยุด เขาวิ่งไปข้างหน้าด้วยกำลังทั้งหมดของเขาราวกับเด็กที่ไม่เคยกินขนมมาก่อนและอยากจะกินทั้งหมดในคราวเดียว
ดูเหมือนเขาจะอยากวิ่งทั้งหมดในคราวเดียว
พวกทหารมีรับสั่งว่าให้จับเด็กคนนี้แบบตัวเป็นๆ ก็แค่จับนี่ ไม่ได้มาเชิญสักหน่อย
เจ็บตัวนิดหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง แค่ให้มีลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็พอ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อฟัง ก็รีบพุ่งฝ่ามือเล็งไปที่แผ่นหลังของกู้เหยี่ยน!
เขาไม่รู้ว่ากู้เหยี่ยนเป็นคนอ่อนแอ และฝ่ามือนี้ก็เพียงพอที่จะทำร้ายหัวใจที่เพิ่งจะได้รับการซ่อมแซมมาหมาดๆ อีกครั้ง!
ในตอนนั้นเอง เสียงกีบม้าเร็วราวกับสายฟ้าที่ผ่าในตอนกลางคืนดังขึ้น ตามมาด้วยทวนพู่แดงที่พุ่งมาด้วยความเร็วแล้วปักเข้าที่หัวไหล่ของทหารหน่วยกล้าตาย!
เสียงร้องโหยหวยดังขึ้น
พลังของทวนพู่แดงนั้นรุนแรงเกินกว่าที่ทหารหน่วยกล้าตายจินตนาการ เขาไม่สามารถต่อสู้กลับได้ ร่างของเขาล้มลงอย่างแรงบนถนนที่ร้อนจัด
ปรากฏกู้เจียวขี่เจ้าเฮยเฟิงมาทางนี้และเต็มเปี่ยมด้วยรังสีอำมหิต
กู้เจียวรัดบังเหียนจนแน่นและยืนอยู่ตรงหน้ากู้เหยี่ยน ก่อจะหันไปทางทหารหน่วยกล้าตายที่กำลังนอนจมกองเลือด “ใครใช้ให้เจ้าเอามือสกปรกๆ มาแตะต้องน้องชายข้า”
ทหารหน่วยกล้าตายยังคงอาเจียนเป็นเลือด เขาดึงกริชออกมาจากเอว แต่ก่อนที่เขาจะได้เคลื่อนไหว เจ้าเฮยเฟิงก็ใช้เท้ากดหน้าอกของเขาลง ทำให้เขาก็เสียชีวิตทันที!
กู้เจียวดึงทวนพู่แดงขึ้นมา
ส่วนทหารอีกคน เมื่อเห็นว่าท่าไม่ดี ก็เลยเตรียมจะวิ่งหนี!
เขาต้องกลับไปหาพรรคพวก!
แต่เขาทำแบบนั้นได้ด้วยรึ
ทันใดนั้น ทวนพู่สีแดงของกู้เจียวก็ได้แทงทะลุหัวใจของเขาในทันทีโดยไม่ให้โอกาสเขาหลบหนี!
กู้เจียวดึงทวนกลับมา แล้วหยุดยืนที่หน้ากู้เหยี่ยน
กู้เหยี่ยนอยู่นสภาพอิดโรยอย่างมาก
เขาได้แต่มองกู้เจียวตาปริบๆ
กู้เจียวยื่นมือให้เขา
กู้เหยี่ยนยื่นมือให้กู้เจียวด้วยความรู้สึกละอายใจ กู้เจียวดึงเขาขึ้นมาแล้วให้เขานั่งหลัง
กู้เจียวถามเขาอย่างจริงจัง “จู่ๆ ก็อยากรับบทเป็นพี่ชายขึ้นมารึ”
ดวงตาของกู้เหยี่ยนเป็นประกาย เขาเหยียดแขนออกเพื่อกอดเอวและทิ้งน้ำหนักลงบนแผ่นหลังของนาง พร้อมกับเอ่ยอย่างไร้ยางอาย “ไอ้หยา ข้าเริ่มเวียนหัวนิดหน่อยแล้ว นี่ข้าวิ่งเร็วเกินไปหรือเปล่า…หัวใจของข้าด้วย เจ็บ…หัวใจวายอีกแล้วเหรอ…”
กู้เจียวหลับตาลงพร้อมกำบังเหียนแน่น
นี่น้องชายแท้ๆ นะ ระงับอารมณ์โกรธไว้ ระงับไว้…
พวกเขารีบไปหาท่านอาจารย์ทั้งสอง
อาจารย์แม่หนานเซียงออกมาจากลานร้านค้าแล้ว และกำลังถูกโจรหกคนล้อมไว้พร้อมกับอาจารย์หลู่
ดูเหมือนว่าทหารหน่วยกล้าตายที่ถูกส่งมาครั้งนี้ไม่ได้มีฝีมือมากนัก ทั้งกู้เจียวและเฮยเฟิงจัดการพวกเขาได้อย่างสบายๆ
แม้พวกอาจารย์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่โชคดีที่อาการไม่ได้เจ็บสาหัส
ส่วนผู้อาวุโสเมิ่งเวลานี้ไม่ต่างอะไรกันกับคนที่ตายแล้ว ไม่มีใครไปยุ่งกับเขา เขาปลอดภัยดี
กู้เจียวกับกู้เหยี่ยนไปตรงจุดที่กู้เสี่ยวซุ่นซ่อนตัว กู้เจียวเปิดฝาบ่อน้ำออก และดึงร่างกู้เสี่ยวซุ่นที่กำลังปีนเกือบถึงปากบ่อขึ้นมา
กู้เสี่ยวซุ่นเปียกแฉะไปทั้งร่าง ที่ขนตาของเขาก็เต็มไปด้วยหยดน้ำ
อย่างกู้เหยี่ยนน่ะหรือจะวิ่งได้ไวกว่าเขา!
นี่ใครให้มันรู้เสียบ้าง เท้าไฟแห่งหมู่บ้านชิงเฉวียนเลยเชียวนะ!
จะแปดลี้สิบลี้ก็ไม่หวั่น!
ถ้าจะให้ใครเป็นคนล่อศัตรู คนคนนั้นต้องเป็นเขาสิถึงจะสมเหตุสมผล!
กู้เหยี่ยนเบ้ปากใส่ “ก็ข้าเป็นพี่ชายนี่”
ค่ำคืนนี้ กู้เจียวใช้ตราอาญาสิทธิ์ของกั๋วซือในการออกมานอกเมือง ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ามาถึงช้ากว่านี้จะเกิดอะไรขึ้น
ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านอีกแล้วนะ กั๋วซือ
สภาพของท่านอาจารย์ทั้งสองเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นเองก็สะบักสะบอมไม่แพ้กัน ต่อให้มีตราอาญาสิทธิ์ของกั๋วซือ แต่ด้วยสภาพแบบนี้ยังไงก็หนีไม่พ้นที่จะต้องถูกตรวจสอบอยู่ดี
และเนื่องจากพวกเขาเองไม่มีตราอาญาสิทธิ์ด้านในเมือง จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะได้เข้าไปข้างใน
จะให้กลับไปที่เรือนก็ไม่ได้เพราะกลายเป็นเป้าสายตาของพวกตระกูลหันไปแล้ว
กู้เจียวจึงตัดสินใจ “เราไปหาโรงเตี๊ยมกันเถอะ อาการบาดเจ็บของพวกท่านจะต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด”
“เจ็บนิดเดียวเองไม่เป็นไรหรอก” อาจารย์แม่หนานเซียงเอ่ยราวกับเป็นเรื่องเล็ก “เจียวเจียว คนพวกนั้นเป็นใครกัน”
“ทหารหน่วยกล้าตายของตระกูลหัน” กู้เจียวตอบ
ต้องหาที่พักใหม่ที่ปลอดภัยให้พวกเขา
แต่ที่ไหนดีเล่า