ทั้งสองกลับไม่ปล่อยผ่านไปในทันที แต่มองขึ้นลงอยู่หลายหนเพื่อสำรวจหงอวี้และหลินเมิ้งหยา
“ถอดผ้าคลุมออก”
ชายซึ่งยืนอยู่ทางด้านขวาเอ่ยขึ้น
เอาแล้วไงเล่า หัวใจของหลินเมิ้งหยาบีบตัวเข้าหากัน หรือพวกเขาต้องตรวจสอบว่าเป็นคนของหุยชุนฟางหรือไม่? แม้มั่วฉินจะช่วยแต่งหน้าให้นางแล้ว แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี
“พวกเจ้าทั้งสองเพิ่งมาใหม่อย่างนั้นหรือ? พวกนางเป็นสินค้าใหม่ที่ข้านำมามอบให้แขกผู้มีเกียรติสูงสุด พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
มั่วฉินเอ่ยเสียงเย็น ท่าทางแข็งกร้าว
ทั้งสามจงใจแสดงท่าทีสงบนิ่ง แต่ถ้าหากถูกจับได้เช่นนั้นก็…หนี!
หลังจากได้เห็นห้องมืดและสวนปลอม หลินเมิ้งหยาพอจะเดาได้ว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นคนมีไหวพริบ
หากวันนี้ถูกจับพิรุธได้ คาดว่าพวกนางคงมิอาจหนีออกไปจากที่นี่ได้อีกแล้ว
“พวกข้ามิได้อยากทำให้พวกเจ้าต้องลำบาก แต่นี่เป็นคำสั่งของนายท่าน ฉะนั้นพวกข้าต้องตรวจสอบให้ดีจึงจะปล่อยผ่านเข้าไปได้”
ชายฝั่งซ้ายมือเอ่ยขึ้นมาทันใด
แม้มั่วฉินจะเอ่ยวาจาไม่ไว้หน้า แต่พวกเขากลับมิได้แสดงความไม่พอใจออกมาเลยแม้แต่น้อย
ทว่าสายตาเย็นชาระคนสงสัยกลับจ้องทางหลินเมิ้งหยานิ่ง
กำหมัดแน่น นางคงต้องเสี่ยงดูสักครา
โชคดีที่เรือนร่างของนางมีความอ่อนเยาว์ของสาวน้อยแรกแย้ม หากอ้างว่าเป็นคนใหม่ บางทีอาจจะสามารถเข้าไปได้
มั่วฉินยังคิดอยากจะโต้เถียง ทว่าสัญชาตญาณของหลินเมิ้งหยากลับรับรู้ได้ถึงแววตามุ่งร้ายจากพวกเขา
นางรีบรั้งมั่วฉินเอาไว้ ก่อนจะจงใจเอ่ยเสียงอ่อนหวาน
“พี่มั่วฉิน เหตุใดต้องสร้างความลำบากใจให้พวกพี่ชายทั้งสองด้วยเล่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าเผยใบหน้าให้พวกเขาเห็นก็ได้”
มั่วฉินหันกลับมามองนางด้วยแววตาสงสัย แม้แต่หงอวี้เองก็นึกฉงน
เด็กคนนี้คิดจะทำอะไร?
เหตุเพราะเกรงว่าจะยิ่งทำให้พวกเขาสงสัย หลินเมิ้งหยาจึงลดผ้าคลุมหน้าลง
ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่งดงามเพริศพริ้งปรากฏต่อสายตาทุกคน
สายตาทั้งสองคู่จดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลินเมิ้งหยา มุมปากกระตุกยิ้มน้อยๆ นางพยายามหวนนึกถึงภาพความเย้ายวนของหงอวี้และจื่อหยุน
ทว่าท่าทางส่งสายตาเย้ายวนของนางเสมือนคนตาเป็นตะคริวเสียมากกว่า จากที่เคยคิดว่าจะเผยความใสซื่อไร้เดียงสาให้อีกฝ่ายได้เห็น กลับกลายเป็นว่านางส่งสายตารังเกียจเดียดฉันท์ให้พวกเขาไปแทนเสียนี่
ยามเฝ้าประตูทั้งสองมองซ้ายแลขวา ก่อนจะผลักประตูเปิดออกเพี่อปล่อยให้ทั้งสามเข้าไป
“ขอบใจ”
กว่าจะผ่านเข้ามาได้ไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย หลินเมิ้งหยารีบคลุมผ้าอีกครั้ง
คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด เมื่อครู่หัวใจของนางเกือบจะกระดอนหลุดออกทางเบ้าตาแล้ว
“เฮ้อ อันตรายยิ่งนัก ยังที่พวกเขาได้เห็นชุดของเจ้าจึงเชื่อไปแล้วกึ่งหนึ่ง”
หงอวี้ตบหน้าอกตนเองพลางกระซิบเสียงเบา
ทันทีที่พวกนางเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลงอีกครั้ง
คาดว่าห้องกว้างขวางแห่งนี้จะต้องเป็นห้องรับรองแขกอย่างแน่นอน ไม่ว่าพรมขนแกะหนานุ่มหรือเครื่องเรือนหรูหราเหล่านั้นล้วนแสดงให้ถึงฐานะมั่งคั่งของเถ้าแก่แห่งหุยชุนฟาง
หลินเมิ้งหยาที่ได้เห็นทั้งทองและหยกทางด้านนอกกลับมิได้แสดงท่าทางหลงใหลในสิ่งของมีค่าให้ได้เห็น
มั่วฉินมิได้เดินนำพวกนางเข้าไปภายใน ท่าทางของนางเสมือนคนกำลังกลัดกลุ้มใจอย่างไรอย่างนั้น
“มาถึงที่นี่แล้วแท้ๆ พี่มั่วฉินยังคิดไม่ตกเรื่องใดอีกหรือ?”
แม้จะรู้จักกันไม่นาน แต่ในสายตาของหลินเมิ้งหยา มั่วฉินเป็นคนแบ่งแยกความรักและความชังอย่างชัดเจน
หลังจากต่อสู้กับความคิดของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง มั่วฉินส่ายหน้าก่อนจะตอบ
“เจ้าไม่ควรมาที่นี่เลย แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ใบหน้าของเจ้าจะทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน”
ความหวาดระแวงในใจยิ่งทวีคูณ หลินเมิ้งหยายังคงไม่รู้ว่ามั่วฉินหมายความว่าอย่างไร
“เจ้าคิดว่าทำไมข้าจึงพาเจ้ามาที่นี่กันเล่า? อันที่จริงข้าทำเพื่อแลกเปลี่ยนชีวิตของใครบางคน นายท่านเคยให้ภาพวาดใบหนึ่งกับหัวหน้าทุกคนในหอนางโลม เขาบอกว่าจะต้องตามหาคนในภาพให้เจอ เจ้าอย่าโทษข้าเลย หากจะโทษจงโทษตัวเองที่มีหน้าตาเหมือนคนในภาพวาดเถิด”
ติดกับจนได้!
หัวใจของหลินเมิ้งหยาพลันเย็นเฉียบ แต่ไหนแต่ไรมานางมักหวาดระแวงพวกคนชั่วอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากความใสซื่อของหลินเมิ้งหยาคนเดิมหรือไม่ ดังนั้นนางจึงหลงผิดไว้ใจมั่วฉินอย่างง่ายดาย
“เจ้าคิดจะทำอะไร? มั่วฉิน ข้าขอร้องเจ้า เจ้าอย่าทำร้ายชิงเกอเลย นางเป็นผู้บริสุทธิ์ เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้าอยากช่วยเหลือน้องสาวของข้าเอง ดังนั้นเรื่องราวจึงเป็นเช่นนี้”
หงอวี้มีท่าทางกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด มือเล็กเอื้อมไปคว้ามือของมั่วฉินพลางส่งเสียงวิงวอน
“เลิกแสดงละครได้แล้ว หรือเจ้าไม่ได้รับภาพวาดจากนายท่าน? อย่าได้บอกข้าเลยว่าเพียงเพื่อช่วยน้องสาวของเจ้า เจ้าจึงตามข้ามาที่นี่ นับตั้งแต่วันที่เจ้ามาที่หุยชุนฟาง เจ้าเองก็ตามหาผู้หญิงในภาพวาดมาตลอดมิใช่หรือ?”
ราวกับโดนสายฟ้าฟาด หัวใจของหลินเมิ้งหยาเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
แต่ไหนแต่ไรมานางมิเคยคิดทำร้ายผู้อื่นง่ายๆ มาก่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะตกหลุมพรางถึงสองหนในคราวเดียว
“นั่นมัน….”
หงอวี้เห็นสีหน้าเย็นชาของหลินเมิ้งหยา นางจึงรีบร้อนอธิบาย
“มันคืออะไรกันเล่า? หากมิใช่เพราะต้องการช่วยน้องสาวของเจ้า เจ้าจะยินยอมสับเปลี่ยนหมุนเวียนตัวเองไปทั่วทุกหอนางโลมกระนั้นหรือ? อย่าลืมสิว่าเจ้ากลายเป็นนางโลมเลื่องชื่อแห่งต้าจิ้นตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว ฮึ ตอนนี้เจ้าจำยอมอยู่ที่นี่และเป็นที่รองรับอารมณ์ของจื่อหยุนคนนั้น!”
ราวกับมั่วฉินมิอาจทนดูท่าทางใสซื่อของหงอวี้ได้อีกต่อไป ฉะนั้นนางจึงพยายามไล่ต้อนอีกฝ่าย
ร่างกายหงอวี้สั่นเทิ้ม ฟันบนกัดริมฝีปากล่างแน่น แม้แต่สายตาของนางเองก็มิกล้าหันกลับมามอง หลินเมิ้งหยาจึงเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว
เพราะเหตุนี้นางจึงเจอทั้งสองในหุยชุนฟางง่ายๆ อย่างนั้นสินะ
ที่แท้ทั้งหมดก็เป็นกลลวง
“ใช่ ข้ายอมรับ นับตั้งแต่ตอนที่ชิงเกอก้าวเท้าเข้ามาในตำบลซื่อฟาง พวกเราเหล่านางโลมที่เคยเห็นภาพวาดภาพนั้นล้วนพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อชักนำนางมายังที่หุยชุนฟาง แต่ข้าหาได้คิดอยากทำร้ายนางไม่ ข้าจะพาชิงเกอไปประเดี๋ยวนี้ มั่วฉิน ข้าขอร้องเจ้า ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด”
หยาดน้ำตารินไหลออกจากดวงตาของหงอวี้ นางส่งเสียงวิงวอนมั่วฉิน แต่ไม่ว่าน้ำตาของนางจะรินไหลมากมายเพียงไหน ในสายตาของหลินเมิ้งหยา มันเป็นเพียงน้ำตาจระเข้ จอมปลอม ไร้ความจริงใจ
“เอาล่ะ เลิกแสดงละครได้แล้ว ในเมื่อนางมาถึงที่นี่ นั่นก็เป็นเพราะโชคชะตาของนางกำหนด ชิงเกอจงฟังให้ดี นี่เป็นคำแนะนำครั้งสุดท้ายของข้า คนที่นี่หาใช่คนไม่ พวกเขาล้วนเป็นปีศาจ หากเจ้าอยากมีชีวิตรอด เช่นนั้นจงรักษาตัวให้ดี หลังจากหาเพื่อนของเจ้าพบแล้ว เจ้าจงรีบออกไปจากที่นี่เสีย”
มั่วฉินชักสายตากลับ แม้จะยังมีความอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นนางก็หมุนตัวไปอีกทางแล้วเดินเข้าไปภายใน
แม้หลินเมิ้งหยาจะรู้แล้วว่าตนเองไม่อาจหนีออกไปจากหลุมพรางนี้ได้แล้ว แต่นางจะต้องช่วยเหลืออาซิ่วให้ได้ ฉะนั้นไม่ว่าจะต้องบุกป่าฝ่าดง นางก็จะไป
“หลังจากช่วยน้องสาวข้าได้แล้ว ข้าจะช่วยเจ้าออกไป แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของข้าก็ตาม”
เสียงมุ่งมั่นของหงอวี้ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง แม้น้ำเสียงจะมีความอ่อนแออยู่หลายส่วนก็ตาม
หลินเมิ้งหยาชะงักอยู่ชั่วอึดใจ แต่มิได้เผยสีหน้าใดๆ ออกมา
บางทีนางอาจให้อภัยหงอวี้ได้ในอนาคต แต่แน่นอนว่ามิใช่ตอนนี้
เดินผ่านห้องโถงกว้าง ไม่นานพวกนางก็ได้ยินเสียงดังเอะอะครื้นเครง
กลิ่นหอมนานาชนิดกอปรกับกลิ่นดินระเบิดสมผสานเข้าด้วยกันจนสีหน้าของหลินเมิ้งหยาเคร่งขรึมลงกว่าเดิม
เพียงเดินเข้าไปก็ได้เห็นห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งกำลังมีการแสดงเต้นระบำ
บนพื้นปูเอาไว้ด้วยพรมขนแกะหนานุ่ม อุณหภูมิภายในห้องค่อนข้างอบอุ่น พวกผู้ชายกึ่งนั่งกึ่งนอน ซ้ำยังสวมใส่เพียงเสื้อผ้าชั้นเดียว
ทว่าพวกเขากลับสวมหน้ากากหลากชนิดแตกต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้น ข้างกายของผู้ชายเหล่านั้นมีหญิงสาวหน้าตางดงามเพริศพริ้งคอยรับใช้
ก่อนเข้ามาที่นี่ หลินเมิ้งหยามองพวกเขาเป็นเพียงภาพประกอบในตำราเรียนเล่มหนึ่ง
หากพวกหมอศัลยแพทย์ต้องการนำพวกเขาไปเป็นอาจารย์ใหญ่ก็คงมิใช่เรื่องยาก
ระบบเซินหนงยังคงทำงานเป็นปกติในระบบประสาทส่วนกลาง กลิ่นฉุนกึกตลบอบอวลที่นี่ทำให้ระบบเซินหนงส่งเสียงร้องเตือนนางอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังพยายามแจ้งความไปยังตำรวจ
หลินเมิ้งหยารู้สึกฉงนกับโหมดการทำงานนี้
คิดไม่ถึงเลยว่าระบบเซินหนงจะเชื่อมต่อกับระบบของกรมตำรวจ แต่ปัญหาหลักก็คือที่นี่หาได้มี Wifi ดังนั้นจึงมิอาจแจ้งความได้อย่างแน่นอน
มั่วฉินและหงอวี้ต่างไม่เปิดเผยตัวตนของนาง กลับกัน พวกนางนำหน้ากากมามอบให้นางใส่ หลังจากเดินผ่านห้องโถงแล้ว ทั้งสามจึงเดินขึ้นบันไดและเข้าไปในห้องหนึ่งบนชั้นสอง
เมื่อเทียบกับที่อื่น อากาศในห้องนี้สะอาดกว่ามาก อย่างน้อยก็ไม่มีกลิ่นหอมชวนคลื่นเหียนมากมายนัก
มั่วฉินลังเล สุดท้ายนางเคาะประตู ไม่นานเสียงเกียจคร้านเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
“นั่นใคร?”
หลินเมิ้งหยาประหลาดใจขึ้นมาครามครัน นางได้ยินเสียงของเด็กชายวัยสิบกว่าขวบ
หรือเจ้าของหุยชุนฟางจะเป็นเด็กชายที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่? หรือไม่เด็กคนนี้ก็ต้องมีตำแหน่งค่อนข้างสูง
มั่วฉินที่มักจะเป็นคนเย่อหยิ่งเสมอลดเสียงให้เบาลง ก่อนจะตอบด้วยท่าทางนอบน้อม
“มั่วฉินและหงอวี้ที่ประจำการอยู่ในหอนางโลมชั้นนอกเจ้าค่ะ บังอาจถามใต้เท้าจูเหยียนว่านายท่านพอจะมีเวลาให้พวกเราเข้าพบหรือไม่?”
ใต้เท้าจูเหยียน? หลินเมิ้งหยายิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม เด็กคนหนึ่งได้รับความเคารพนบนอบจากมั่วฉินถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ตกลงเจ้าของหุยชุนฟางเป็นเทพเจ้าองค์ใดกันแน่?
เงียบอยู่ครู่หนึ่ง บางทีจูเหยียนอาจจะกำลังขอความเห็นจากผู้เป็นนาย ทั้งสามจึงยืนสงบนิ่งอยู่หน้าประตู
เวลาผ่านไปราวสองนาที ในที่สุดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เข้ามา”