ตอนที่ 427 เพื่อนๆ ของหูอวิ๋น
นอกประตูเรือนของจี้หยวน หูอวิ๋นลุกขึ้นยืนแล้วสะบัดขนและเกาหู คิดแล้วไม่กล้าดันประตูเข้าไปอีก ทำได้เพียงเดินไปยังเรือนของตนเอง
ที่เรือนตระกูลอิ๋น คนตระกูลอิ๋นไม่เพียงเห็นจี้หยวนเป็นแขก แม้แต่หูอวิ๋นก็ได้รับการต้อนรับเช่นเดียวกับแขกอย่างแท้จริง ย่อมมีเรือนพักแขกของมันเองอยู่ข้างๆ ลานกว้าง ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นเรือนของจี้หยวน
ทว่าเพิ่งเดินถึงประตูเรือนตนเอง หูอวิ๋นหยุดฝีเท้า เงยหน้าดวงจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้า จากนั้นมองไปข้างๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงค่อยกระโจนตัวจากไป
ตอนนี้หูอวิ๋นไม่อยากฝึกปราณและไม่อยากนอนหลับ มันกลับไปยังห้องหนังสือของอิ๋นชิงอีกครั้ง ในฐานะที่เป็นสหายแสนดีของอิ๋นชิง ความจริงมันเข้าอกเข้าใจอิ๋นชิงเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน อิ๋นชิงอาจประทับใจองค์หญิงผู้นั้นตั้งแต่แรกเห็นกระมัง ไม่เช่นนั้นคงไม่ตั้งใจขนาดนี้
เมื่อเดินถึงข้างนอกห้องหนังสือของอิ๋นชิง ข้างในนั้นยังคงจุดตะเกียงสว่างจ้าดังคาด ครั้งนี้หูอวิ๋นไม่ได้ทำตัวลับๆ ล่อๆ อีก แต่เคาะประตูอยู่ข้างนอกอย่างเปิดเผย
ก๊อกๆๆ…
“อิ๋นชิง ข้าเอง เข้าไปได้หรือไม่”
“เข้ามาเถอะ”
ได้ยินอิ๋นชิงพูดแล้วหูอวิ๋นเปิดประตูเข้าไปทันที จากนั้นรีบปิดประตูสนิทแน่น ป้องกันไม่ให้ไอร้อนภายในเรือนหนีหายไป
มันเงยหน้ามองอิ๋นชิง พบว่าภายใต้ไฟตะเกียงสว่างไสวสองดวง อิ๋นชิงกำลังจับพู่กันวาดภาพอยู่บนโต๊ะ หูอวิ๋นจึงย่องไปถึงข้างกายเขา จากนั้นกระโดดขึ้นบนเก้าอี้ไร้พนักพิงของอิ๋นชิง อุ้งเท้าเกาะขอบโต๊ะมองภาพวาดของเขา
อิ๋นชิงไม่ได้พูดอะไร ราวกับความสนใจทั้งหมดอยู่บนภาพวาด แม้ขอบเสื้อมุมเล็กๆ ก็ยังตั้งอกตั้งใจวาดมาก แต่ชัดเจนว่าเขาไม่ได้ลืมสหายแสนดีของตนเอง เมื่อวาดส่วนหนึ่งเสร็จเตรียมเปลี่ยนพู่กันและน้ำหมึก เขาหันไปมองหูอวิ๋น
“ห้องครัวยังมีไก่ทอดเหลืออยู่ครึ่งตัว เมื่อครู่นี้ที่ห้องอาหารกินเหลือ นอกจากอิ๋นจ้งดึงน่องไก่ไปน่องหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ครบ หากเจ้าไม่ถือสาข้าจะให้คนไปนำมาให้เจ้า”
“ไม่ถือสาๆ รีบนำมาให้ข้าเร็ว!”
หูอวิ๋นอยากกินไก่ทอดมานานแล้ว ได้ยินเช่นนั้นไหนเลยจะยังสนใจอะไรมากอีก
พูดแล้วหูอวิ๋นวางพู่กันลง เปิดประตูก้าวออกไปอย่างช้าๆ เพื่อสั่งข้ารับใช้ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
หูอวิ๋นเห็นอิ๋นชิงไปแล้วจึงกดอุ้งเท้าหน้าลงบนโต๊ะหนังสือ เข้าใกล้ภาพวาดมากขึ้น มองดูคนบนภาพอย่างละเอียด
แม้ใช้เวลาเพียงครึ่งคืน ทว่าอิ๋นชิงวาดโครงรูปคนที่ควรมีเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือต้องใช้เวลาสองสามวันถึงจะลงรายละเอียดเสร็จ
องค์หญิงฉางผิงบนภาพกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่ม ใบหน้าหันมองทางนี้ อมยิ้มเล็กน้อย นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหม ประดับสร้อยไข่มุก เรียวนิ้วงามเหมือนหยก ในมือจับไพ่ใบไม้ไว้ใบหนึ่ง นิ้วเรียวของนางยกขึ้นเล็กน้อย เพียงมองใบหน้าดวงตานั้นก็เหม่อลอยแล้ว
“วาดออกมาได้ดีจริงๆ มิน่าเล่าท่านจี้ถึงบอกว่าความสามารถเทียบกับเทพได้”
ขณะมองดูอยู่นั้น หูอวิ๋นเหมือนกับเห็นอิ๋นชิงและองค์หญิงฉางผิงแต่งงานให้กำเนิดบุตร มองเห็นลูกหลานของพวกเขาอยู่กันพร้อมหน้า
‘ไม่รู้ว่าข้าจะได้เห็นของจริงหรือไม่ เห็นทีต้องตั้งใจฝึกฝน มีมรรควิถีมากพอจะได้เดินไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ!’
หูอวิ๋นรู้ว่าตนเองจะอยู่ที่จวนตระกูลอิ๋นไม่นาน เพราะท่านจี้อยู่ที่นี่ไม่นานเช่นกัน อีกทั้งท่านจี้ใกล้จากไปแล้ว และคงไม่มีทางให้ตนเองอยู่ที่จวนตระกูลอิ๋นต่อ แม้แต่หูอวิ๋นเองก็รู้ดีว่าอยู่ที่จวนตระกูลอิ๋นมีแต่โทษไม่มีประโยชน์ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น การฝึกปราณก็จะล่าช้าออกไปเรื่อยๆ
ท่านจี้มักออกไปข้างนอก หลายปีมานี้ช่วงเวลาที่ไม่ได้กลับเรือนสันติยาวนานขึ้นเรื่อยๆ หูอวิ๋นรู้สึกว่าเวลาที่เขากลับมาครั้งหน้าไม่มีทางสั้น ถ้าอย่างนั้นนอกจากอิ๋นชิงเจียดเวลามาเยี่ยมมันที่อำเภอหนิงอัน กว่ามันจะพบอิ๋นชิงและอาจารย์อิ๋นอีกครั้งก็น่าจะเนิ่นนานมาก
ทว่าหูอวิ๋นตระหนักได้ว่าอย่างไรตนเองก็เป็นปีศาจ อิ๋นชิงแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วก็ยังคงเป็นเพียงคนธรรมดา องค์หญิงผู้นี้ต้องติดตามเขาตลอดเวลาเช่นกัน อิ๋นชิงน่าจะไม่สะดวกพบหน้าเล่นสนุกกับปีศาจอย่างตนแล้ว
คิดแล้วหูอวิ๋นกลุ้มใจเล็กน้อย ความยินดีที่สหายพบเจอสตรีดีๆ สักคนหดหายไปบ้าง
“นี่ มรรควิถียังไม่พอ หากข้ามีมรรควิถีเท่ากับเจ้าภูเขาลู่ กลายร่างเป็นคนได้จริงๆ สวมชุดบัณฑิตถูกต้องสง่างาม เมื่ออยู่ต่อหน้าอิ๋นชิงและภรรยาเขา ข้าจะกล่าวว่า ‘สวัสดีน้องอิ๋น’ แล้วค่อยกล่าวอีกว่า ‘สวัสดีน้องสะใภ้’…”
อิ๋นชิงกลับมาที่ห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว หูอวิ๋นผละออกเพื่อให้อิ๋นชิงวาดภาพต่อได้ หลังจากวาดได้สักพักหนึ่ง อิ๋นชิงพลันหันไปมองหูอวิ๋น
“ไยวันนี้เจ้าเงียบขนาดนี้ ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย”
“ไม่มีอะไร ข้ารู้สึกว่าข้าฝึกปราณไม่ค่อยก้าวหน้า มีมรรควิถีเพียงเท่านี้มาแต่ไหนแต่ไร เศร้านัก!”
หูอวิ๋นนั่งบนเก้าอี้ อุ้งเท้าหน้าวางอยู่บนพนักวางแขน ท่าทางเหมือนคนเห็นแล้วน่าขันนัก โดยเฉพาะหางปุกปุยยังคงส่ายไปมา
“ฮ่าๆ แม้ข้าไม่นับว่าเข้าใจการฝึกปราณของปีศาจสักเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้อะไรอยู่บ้าง ปีนั้นพูดคุยเรื่องอัศจรรย์กับเต่าเฒ่าที่ริมแม่น้ำวสันต์อยู่บ่อยครั้ง เจ้าเกิดปัญญาจนถึงวันนี้ คำนวณดูดีๆ ก็สี่หรือห้าสิบปีแล้วใช่หรือไม่ ความเร็วนี้ไม่นับว่าช้าหรอกกระมัง”
คำปลอบใจของอิ๋นชิงกลับไม่ได้ผลเท่าไหร่ หูอวิ๋นถอนหายใจออกมา
“นั่นเพราะเจ้าเปรียบกับปีศาจเหล่านั้น ข้าได้รับคำชี้แนะจากท่านจี้ แม้ไม่รู้ว่ามรรควิถีของท่านจี้สูงล้ำแค่ไหน แต่ต้องเป็นระดับที่ข้าเงยหน้ามองก็มองไม่เห็นอย่างแน่นอน เจ้ารู้ว่ามีปีศาจที่ได้รับโอกาส ‘เซียนชี้ทาง’ น้อยมากกระมัง เฮ้อ ไม่พูดแล้ว ไก่ทอดจะมาเมื่อไหร่”
“ทางห้องครัวกำลังอุ่นร้อนอยู่ อีกไม่นานก็จะมาแล้ว”
เห็นหูอวิ๋นยังคิดเรื่องอาหารได้ อิ๋นชิงจึงวางใจลง หันกายไปวาดภาพอย่างสงบใจ
ทว่าคืนนี้หูอวิ๋นกลับไม่ได้อยู่ที่ห้องหนังสือนาน มันกินไก่ทอดไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว จากนั้นเหลือน่องไก่น่องหนึ่งไว้ให้อิ๋นชิงก่อนกลับไป บอกว่าต้องการฝึกปราณไม่อยากเกียจคร้าน
เรื่องงานแต่งของอิ๋นชิงใช่ว่าจะกำหนดได้ภายในเวลาอันสั้น แต่ความเป็นไปได้ที่งานแต่งจะเกิดขึ้นในสองสามปีนี้สูงมาก จี้หยวนรู้สึกว่าเขาควรเจียดเวลาไปร่วมงาน
กระนั้นตอนนี้เล่า ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา ครั้งนี้จี้หยวนอยู่ที่จวนตระกูลอิ๋นนานทีเดียว แต่เขาไม่คิดอยู่ที่เมืองหลวงนานเกินไป ดังนั้นบอกลาคนตระกูลอิ๋นหลังจากเทศกาลหยวนเซียวได้ไม่นาน แน่นอนว่าตอนจี้หยวนไปนั้น เขาพาหูอวิ๋นไปด้วย
…
วันที่ยี่สิบเดือนหนึ่ง จี้หยวนและหูอวิ๋นออกจากจังหวัดจิงจี เหยียบเมฆมุ่งหน้าไปยังรัฐจี เพียงแต่จี้หยวนไม่ได้รีบร้อนกลับจังหวัดเต๋อเซิ่ง กลับร่อนลงที่จังหวัดชุนฮุ่ยอย่างเชื่องช้า
หูอวิ๋นสายตาไม่เลว มองเห็นเมืองที่อยู่ติดกับแม่น้ำคดเคี้ยวบนก้อนเมฆแต่ไกล พลันรู้ได้ว่าไม่ได้กำลังกลับบ้าน
“ท่านจี้ พวกเราจะไปแม่น้ำวสันต์หรือ ไปเจอเต่าเฒ่ากับปลาชิงฮื้อใช่หรือไม่”
หลังออกจากจังหวัดจิงจี หูอวิ๋นฮึกเหิมขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน น้ำเสียงเอ่ยวาจานี้เจอความตื่นเต้นเล็กน้อย
หากจะพูดขึ้นมาจริงๆ หูอวิ๋นรู้สึกว่าสหายของตนเองน่าจะมีสองคน คนหนึ่งคืออิ๋นชิง อีกคนหนึ่งคือปลาชิงฮื้อ ส่วนคนอื่นไม่ใช่ผู้อาวุโสก็มีความสัมพันธ์ดาษดื่น กระเรียนกระดาษอาจไม่เลว แต่สื่อสารกับกระเรียนกระดาษแล้วเหนื่อยเกินไป หูอวิ๋นไม่รู้ความคิดของกระเรียนกระดาษ
“ใช่ ไปจังหวัดชุนฮุ่ยหน่อย ดูว่าเต่าเฒ่าและปลาชิงฮื้อคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว แล้วก็ไปเจอไป๋ฉีด้วย”
“ไป๋ฉี?”
หูอวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย คิดอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังคิดไม่ออกว่าไป๋ฉีคือใคร เมื่อแน่ใจแล้วว่าตนเองไม่รู้จักเขา มันจึงถามไปตามตรง
“ท่านจี้ ไป๋ฉีคือใครหรือ”
จี้หยวนนึกได้ว่าหูอวิ๋นไม่เคยเจอไป๋ฉี ไม่รู้จักมันโดยสิ้นเชิง เขายิ้มกล่าวว่า
“เป็นเทพแม่น้ำวสันต์ มังกรเจียวขาว”
“เจียว มังกรเจียว?”
หูอวิ๋นตัวสั่นตามสัญชาตญาณ
“ท่านจี้ ขะ ข้าได้ยินมาว่าเผ่ามังกรกินจุ มังกรหลายตัวชอบกินปีศาจเป็นที่สุด อีกทั้งบังคับเมฆควบคุมฝนได้ ดังนั้นชาวบ้านจึงนับถือเป็นเทพวารี ขะ ข้าเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง…”
“กลัวกระมัง”
“อืม…”
“วางใจเถอะ มีข้าอยู่ทั้งคน!”
หูอวิ๋นวางใจลงเล็กน้อย คิดในใจว่าตอนนี้มีท่านจี้อยู่ด้วยต้องไม่เป็นไรจริงๆ
“ท่านจี้กับเทพแม่น้ำเป็นสหายกันหรือ”
จี้หยวนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“อาจนับไม่ได้ว่าเป็นสหาย แต่ครั้งก่อนรับปากว่าจะพาปีศาจตนหนึ่งมาให้มันกิน ข้าบังเอิญหาปีศาจที่เหมาะสมไม่พบ จึงพาเจ้าไปอย่างไรเล่า”
รแม้รู้ชัดว่าจี้หยวนกำลังล้อเล่น แต่หูอวิ๋นฟังแล้วยังคงตัวสั่น ฝืนยิ้มออกมา
“ท่านจี้ ท่านอย่าทำให้ข้ากลัวเลย ท่านก็รู้ว่าข้าปอดแหก…”
“ฮ่าๆๆๆๆ…”
จี้หยวนพาเสียงหัวเราะนี้บังคับเมฆร่อนลงริมแม่น้ำข้างนอกกำแพงเมืองจังหวัดชุนฮุ่ยโดยตรง จากนั้นเดินเท้าไปยังกำแพงเมือง
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ คนเข้าออกเมืองกันขวักไขว่ และนักท่องเที่ยว รวมถึงผู้ศรัทธามาเยือนศาลเทพแม่น้ำที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศาลแห่งแรกของแม่น้ำวสันต์ก็มีไม่น้อย
เทียบกับวัดต้าเหลียงแห่งอาณาจักรถิงเหลียงแล้วมีคนมาเยือนมากพอๆ กัน ทว่าศาลแม่เทพแม่น้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ที่จังหวัดชุนฮุ่ย ที่มากกว่านั้นเป็นเหมือนจุดชมทิวทัศน์ที่หนุ่มสาวมาเที่ยวเล่นกัน บัณฑิตก็เขียนอักษรต่อโคลงกลอน ขาดความปรารถนาอยู่หลายส่วน ทว่าเพิ่มความสง่างามขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเทียบกันแล้ว จี้หยวนชอบที่ศาลเทพแม่น้ำมากกว่า
ที่น่าบังเอิญคือตอนนี้เทพแม่น้ำวสันต์แปลงกายเป็นคนพอดิบพอดี กำลังสังเกตบัณฑิตที่กำลังเขียนตำราแต่งกลอนยู่ในศาล นอกจากนี้เขายังเป็น ‘บัณฑิตเล่าเรื่อง’ ที่มีชื่อเสียงของศาลเทพแม่น้ำด้วย
เพราะกำแพงศาลเทพแม่น้ำที่เหมาะให้จารึกตัวอักษรมีจำกัด หากไม่ใช่ผลงานชั้นเยี่ยมย่อมไม่มีสิทธิ์ได้อยู่บนกำแพงที่สามารถกันลมต้านฝนได้ในตอนนี้ และเทพแม่น้ำที่ใช้ชื่อแฝงว่าไป๋เหวินชวนก็มีชื่อเสียงในด้านวิจารณ์ผลงาน อีกทั้งผู้ดูแลศาลเคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง เขาบอกว่าขึ้นกำแพงได้ก็ต้องได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้บัณฑิตกลุ่มใหญ่ล้อมอยู่ข้างกำแพงข้างนอกศาลเทพแม่น้ำ ที่นี่วางโต๊ะหนังสือไว้แล้วหลายตัว มีหลายคนถือพู่กันเขียนตัวอักษรบนกระดาษขาว คนที่มุงดูรอบข้างไม่ได้มีเพียงบัณฑิต ยังมีหญิงสาวจำนวนหนึ่งด้วย บรรยากาศอบอุ่นไม่หยอก
“ล่องแม่น้ำย่ำน้ำวสันต์ตอนกลางวัน เข้าม่านชมโคมดอกไม้ในเวลากลางคืน…”
“ใช้ได้!”
“จริงด้วย บัณฑิตจ้าวเก่งกาจทีเดียว!”
“ใช่ๆ ท่านไป๋คิดว่าอย่างไร เขียนตัวอักษรบนกำแพงได้หรือไม่”
“นั่นสิๆ ท่านไป๋มองว่าอย่างไร”
ทุกคนขอให้ไป๋ฉีวิจารณ์ ฝ่ายไป๋ฉีที่อยู่ในรูปร่างของบัณฑิตวัยกลางคนยิ้มพลางลูบเครา จากนั้นเดินเข้าไปใกล้โต๊ะหนังสือ
“ประโยคนี้ใช้ได้ ทว่าสั้นไปหน่อย!”
“ฮ่าๆๆ ท่านไป๋ ข้ายังเขียนไม่เสร็จเลย รอข้าคนแซ่จ้าวเขียนเสร็จแล้วค่อยดูอีกทีเถอะ!”
“ได้ เช่นนั้นข้าคนแซ่ไป๋จะรอบัณฑิตจ้าวเขียนให้เสร็จ วันนี้…”
พูดถึงตรงนี้แล้ว ไป๋ฉีพลันหยุดชะงัก บนใบหน้าค่อยๆ ปรากฏสีหน้าประหลาดใจที่น่าแปลก เขาเดินไปข้างหน้าแล้วหันกาย สองอึดใจให้หลังรีบร้อนจากไป ทำให้บัณฑิตทั้งหลายงุนงงอยู่บ้าง ด้วยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ไป๋ฉีรีบเดินมาก ฝีเท้าว่องไวเป็นอย่างยิ่ง ในสายตาคนธรรมดาเพียงรู้สึกว่าเขาเดินเร็วเพราะรีบร้อน แต่ความจริงแล้วความเร็วมากยิ่งกว่านั้น ไม่กี่ลมหายใจก็ถึงด้านนอกศาลเทพแม่น้ำ ครั้นผ่านตลาดแผงลอยแล้วก็เลี้ยวไปยังด้านข้าง
บนผิวแม่น้ำด้านหนึ่งของศาลเทพแม่น้ำ ไป๋ฉีมองเห็นบัณฑิตสวมเสื้อสีขาว บนศีรษะประดับปิ่นหยก ปล่อยจอนผมและเรือนผมที่เหลือไว้ข้างหลังกำลังเดินมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ข้างกายติดตามด้วยจิ้งจอกแดงตัวหนึ่ง
ไป๋ฉีเร่งฝีเท้าขึ้นหลายส่วน สองมือประสานกันคารวะและทักทายเสียงดังแต่ไกล
“ท่านจี้มาเยือนแม่น้ำวสันต์ ข้าคนแซ่ไป๋ละเลยไม่มาต้อนรับ ถือว่าเสียมารยาทแล้ว!”